บทที่3
เครื่องมือสื่อสารราคาแพงยังอยู่ในกำมือหนา คำพูดและเสียงห้ามของผู้เป็นแม่ยังคงเฝ้าเวียนอยู่ในสมอง แม้จะผ่านไปไม่กี่วินาที โดยเหมือนกับว่า คำพูดนั้นกำลังเวียนเริ่มต้นใหม่อยู่เช่นเดิม
“ผมไม่ยอมแพ้ ให้คนที่ฉกฉวยโอกาส ยามที่เราล้มแล้วข้าม โดยไม่ได้เอาคืนหรอกครับ”
เสียงแหบแห้งเอ่ยเปล่งออกมาเบาๆ เหมือนต้องการฝากลมไปอีกต่อ เพื่อเป็นคำถามให้คนเป็นแม่ที่อยู่ไกลคนละฝากโลก เขาไม่อยากให้คนในครอบครับรู้ว่าเขาจะทำอะไร และพยายามคิดว่าสิ่งที่คุณแม่ร้องขอ เป็นคนละเรื่องกัน!
ความอ้างว้างไร้คนเคียงบ่าเคียงไหล่ไม่เจ็บปวดเท่าครอบครัวที่มีอยู่ครบ แต่กลับไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้า ความอบอุ่นที่ควรได้รับจากคนในครอบครัว มันช่างหากไกลความจริง อ้อมอกอุ่นที่เขาอยากพักพิงยามอ่อนล้า ฝ่ามือนุ่มๆ บีบกระชับยามเหน็ดเหนื่อยหรือคำพูดอ่อนหวานปลอบประโลมยามที่ท้อแท้ แต่กลับไม่มียามที่เขาต้องการ...
กรามหนาขบเข้าหากันจนเกิดเสียง เส้นเลือดบนหน้าผากบวมบูด มือหนากำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นขึ้นตามแรงโทสะที่สะสม หากเจ้าสิ่งนั้น กลายเป็นสิ่งที่เขาอยากเอาคืน คงแหลกลานคามือไปแล้ว
เขาจะฉีกหน้ากากผู้ดี ให้แหลกคามือ เพื่อลบมลทินและกู้ศักดิ์ศรีของพ่อแม่...
ณ ห้องพักโรงแรม NY. สำหรับลูกผู้บริหาร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและศูนย์การค้าราคาแพง ณริสา ณรงค์พล วัย 25 ปี สาวสวยจ้ำเท้าบางเดินไปมาเหมือนหนูติดจั่นในห้องพักหรูที่ถูกประดับประดาด้วยข้าวของราคาแพง แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ได้เรียกความรู้สึกดีที่น่าจะเป็นของเธอในตอนนี้
มือเรียวกำแน่นและถูกันไปมา เธอต้องรีบกลับบ้านและสิ่งที่เธอรอคอยคือตั๋วเครื่องบิน เพราะบ้านมีใครบางคนรอเธออยู่...
ความสับสนกำลังเล่นงาน ทำหัวสมองข้างหนึ่งเจ็บจี๊ด ยามคิดถึงคำพูดที่ต่อสายมาหาเธอ เขารู้เบอร์เธอได้ไง...? แล้วจริงหรือเปล่า พ่อเธอกำลังล้มละลาย โดยหาแหล่งเงินกู้เงินจากที่อื่นไม่ได้... ? มันเป็นไปได้อย่างไร ที่พ่อของเธอเป็นถึงนักธุรกิจใหญ่ แต่กลับเปิดเครดิตเงินกู้ไม่ได้เลย...?
“โอ๊ย ทำไมถึงได้ปวดหัวแบบนี้นี่...” ฝ่ามือเรียวเปลี่ยนมากุมศีรษะข้างหนึ่งของตัวเองไว้แล้วตบไปเบาๆ หลายๆ ครั้งเหมือนว่าให้บรรเทาลง
หลายวันมานี้ การคิดทบทวนเรื่องทุกอย่างถึงความเป็นไปได้ของบริษัทพ่อ แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด จนตอนนี้เธอรู้สึกว่าสมองของเธอคงบวมไปแล้ว จากการใช้ความคิดอย่างหนัก หากแต่ปัญหานั้นจะสลัดทิ้งไปก็ไม่ได้
แม้สภาพความเป็นอยู่ที่สวยหรู โดยเพื่อนหนุ่มเลือกสรรมาให้ เพื่อให้เธอได้ผ่อนคลาย แต่นั่นมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง หากครอบครัวเธอมีปัญหา ลูกคนเดียวอย่างเธอจะนิ่งดูดายได้อย่างไร!
สิ่งฟุ้งเฟ้อเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ แต่เพื่อนหนุ่มให้เหตุผลจนเธอไม่กล้าปฏิเสธ หรือบอกปัดให้ดูเป็นการทำลายน้ำใจอีกฝ่าย แต่นั้นเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่ามันเคยเป็นความฝัน เพราะเธอก็มีความฝันอยากมาในที่แห่งนี้เช่นกัน และเธอก็ได้มีโอกาสกว่าใครหลายๆ คน เพราะเพื่อจะมาเยี่ยมชม ณ ที่แห่งนี้ ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า...
มหานครนิวยอร์กอาจเคยได้รับการสถาปนาโดยชาวดัตช์ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีแก่นแท้ของความเป็นอเมริกันมากที่สุดเมืองหนึ่ง หนุ่มสาวชาวอเมริกันต่างมีความใฝ่ฝันที่จะมาเสี่ยงโชคเพื่อแจ้งเกิดในย่านศิลปะและย่านธุรกิจในเมืองนี้ ในขณะที่นักท่องเที่ยวนั้นไม่ต้องการอะไรมากมาย ขอเพียงแค่ได้มาเห็นและเก็บเกี่ยวประสบการณ์กลับไปให้มากที่สุดระหว่างช่วงวันหยุดก็เพียงพอ...
แต่สำหรับเธอ อะไรๆ ข้างกายก็ไม่สามารถทำให้เรื่องบางเรื่องลบทิ้งลงไปได้ ใครบางคนกำลังเป็นทุกข์ แล้วเธอจะมาอยู่สุขสบายได้อย่างไร
ถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับไปหาครอบครัวที่ส่งเสียจนเธอจบโทตามที่ตั้งใจไว้ และหันกลับไปดูแลพวกท่าน มันถึงเวลาแล้ว...
ก๊อก ก๊อก...
ณริสาออกอาการเจ็บหัวจี๊ด มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณขมับด้านที่เธอจับไว้ กระตุกถี่ๆ ก่อนจะละความเจ็บนั้นไว้ เมื่อเสียงด้านนอกดังผ่านประตูเข้ามา เท้าบางหยุดกึก ตวัดสายตาจับจ้องไปยังต้นเสียง อาการของคนที่เดินกระวนกระวายหยุดพักลง แล้วตรงดิ่งไปยังประตู ก่อนจะส่องตาดูที่ช่องเล็กๆ ว่าใคร ริมฝีปากบางยิ้มบางๆ ก่อนจะเปิดประตูให้
“เป็นไง?” หล่อนซัดด้วยคำถามทันทีเมื่อประตูอ้าออก
โจเซฟที่เพิ่งกลับจากจัดการเรื่องบางอย่างให้เธอ หยุดนิ่งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโผล่หน้าเข้ามา เพื่อนสาวจะซัดด้วยคำถามง่ายๆ แต่นั่นเข้าใจความรู้สึกของหล่อนดี อาการคนคิดถึงบ้าน!
“ได้มาแล้ว ดูซะมั่งว่าใครทำ ของกล้วยๆ” เขาโชว์ตั๋วเครื่องบินในมือสองใบ ให้คนที่โผล่เข้ามาอย่างปลาบปลื้ม ก่อนจะก้าวพ้นประตูเข้ามาด้านใน แล้วปิดสนิทลง
โจเซฟเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยเดนมาร์ก รูปร่างสูงใหญ่สมส่วน วัย 28 ปี มองหญิงสาวที่ตนเองหลงรักข้างกาย บัดนี้นัยน์ตาของหล่อนยังมีแววเศร้าหลงเหลือให้เห็น เขารู้ว่าเพื่อนสาวที่ใครๆคิดว่าเป็นแฟนกันตลอดมา จะพยายามปกปิดด้วยท่าทีแล้วก็ตาม หากแต่เขาคิดว่าบางทีการปลอบโยนจากเขา อาจทำให้ดูเหมือนว่าหล่อนอ่อนแอขึ้นอีก เขาเลยทำเป็นไม่เห็นความอ่อนแอที่แสดงออกมาในบ้างครั้งของหล่อน และแม้อยากเข้าไปโอบกอดร่างบางเพื่อส่งความห่วงใยให้กัน แต่ก็ต้องสะกัดกลั้นด้วยความไม่เหมาะไม่ควรเอาไว้ เพราะความเป็นคนไว้ตัวของหล่อนด้วย
“ขอบคุณมากๆ นะ...” เสียงหวานนุ่มลึก พยายามแสดงอาการดีใจออกมา ทั้งที่จริงหากเธอกลับไทยครั้งนี้ เรื่องทุกอย่างคงหนักหนาจนหาทางแก้ลำบาก “แล้วทำไมสองใบล่ะ หรือ...?” คิ้วเรียวยาวดั่งคันศรขมวดเข้าหากัน
“ผมจะกลับไปกับสาด้วย” เสียงระรื่นเอ่ยตอบ พร้อมเดินเข้าด้านในด้วยความเคยชิน
“อ้าว ไหนบอกว่าจะไม่กลับก่อนไง นึกยังไงอีกคะ” เธอถามหน้าตื่นด้วยความคิดไม่ถึง อีกฝ่ายยิ้มแหยๆ
