ep9
อนินนาถข่มจิตเป็นสมาธิได้ไม่นาน ก็รู้ตัวว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัว แม้การเคลื่อนไหวจะแผ่วเบา แต่สัญชาตญาณบางอย่างทำให้หญิงสาวรู้ว่า สิ่งแปลกปลอมนั้นไม่ได้มาดี คิดได้ดังนั้น เธอถอนสมาธิลืมตาด้วยความหวาดระแวง ด้านหน้าไม่ปรากฏสิ่งใด แต่ด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลัง เหมือนยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ เธอนับหนึ่ง สอง ค่อย ๆ หันกลับไปมองด้านหลังของตัวเอง พลันที่สายตาสัมผัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณทำให้เธอผุดลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ขนตามแขนและแนวสันหลังลุกกรูเกลียว ประสาททุกส่วนตึงเครียด
สัตว์เดรัจฉานผู้ใช้ลำตัวเคลื่อนไหวยังอ้อยส้อยเลื้อยผ่านเธออย่างใจเย็น หากแต่คนที่มองอยู่เหมือนใจจะหยุดเต้น นาทีนี้ แม้ใจอยากเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือก็ทำไม่ได้ ด้วยอาการตะลึงลานจนไม่อาจกล่าวคำ
เจ้างูตัวใหญ่สีดำมะเมื่อม ยังเคลื่อนไหวเนิบนาบ โดยมิได้สนใจว่า ห่างเพียงไม่ถึงวานั้น มีสตรีนางหนึ่งยืนเบิกตากว้าง จะหัวเราะก็ไม่ได้ จะร่ำไห้ก็ไม่ออก ตั่งนั่งแม้สูงจากพื้น หากแต่ใกล้โคปุระซุ้มประตูหน้าต่างอันเป็นสื่อให้งูใหญ่เลื้อยเข้ามาสำรวจตรวจสอบ มันผงกชูหัวขึ้นในบางครั้ง แลเลื้อยผ่านไปมาอยู่ภายในห้อง ช้าชั่วกัปกัลป์ในความรู้สึกของอนินนาถ
“แผ่เมตตา ใช่แผ่เมตตา” อนินนาถพลันได้สติ รีบหลับตาสวดมนต์แผ่เมตตา หากแต่เหมือนงูใหญ่จักรู้ทันความคิด มันขู่ฝ่อลำตัวส่ายรวดเร็วแล้วชูคอค้ำอยู่ข้างตัวอนินนาถจนหญิงสาวไม่อาจต้านสติอยู่กับตัวจึงล้มฟุบสิ้นสมประดีในนาทีนั้นเอง
ข้าพระบาทแห่งพระนางเหนือหัวที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง ได้ยินเสียงล้มตึง จึงเปิดประตูเข้ามาทันเห็นงูใหญ่เลื้อยไหลออกนอกหน้าต่าง พวกนางไม่ได้ตกใจ หากแต่คุกเข่าถวายสักการะ
“ขอถวายพระพร องค์นาคราช ผู้มีพระบารมีเปี่ยมล้น ขอให้มากด้วยบารมียิ่งๆ ขึ้นเทอญ”
หลังหมอบกราบอยู่ชั่วครู่ พวกนางได้เข้าช่วยเหลืออนินนาถ ทั้งบีบนวดแขนขา แลหายาลมสมุนไพรขยี้ทาให้ฟื้นตื่น พวกนางมิได้สงสัย เหตุใดหญิงสาวจึงตกใจถึงเพียงนี้
“พระนางเหนือหัว คาดการณ์ไว้มิผิด นางไม่อาจต้านบารมีของพระนางเหนือหัวได้”
“ให้นางหลับ เราจักนำนิมิตนางในงานอภิเษก” ข้าพระบาทผู้อาวุโสสุดกล่าวขึ้น ทำให้ข้าพระบาทของพระนางเหนือหัวที่เหลือนำอนินนาถนอนลงบนตั่งให้สบายตัว ก่อนถอยออกมาจากห้อง ปล่อยให้ข้าพระบาท นางเกศมวย นำนิมิตแห่งนางไปในอดีตอันไกลโพ้น
เสียงสวดสรรเสริญทวยเทพบนปะรำพิธีอภิเษกแห่งเมืองวิเภทะ ภายในปรางค์ประธาน องค์สุวรรณลึงค์ ประดิษฐานอยู่เหนือพระแท่นโยนิโทรณะ ท่ามกลาง หมอกควันของผงกำยาน ขจายจากมุมทั้งสี่ เครื่องสังเวย ทั้งนม เนย น้ำผึ้ง น้ำจันทร์ ข้าวสาร ข้าวสุก และโมกขทะ วางเรียงราย พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เริ่มขึ้นเมื่อ โรยดินเทศลงเหนือสุวรรณลิงคค์แล้วราดด้วยน้ำนมบริสุทธิ์จากกุณโฑทองคำเมื่อผ่านดินเทศ น้ำนมบริสุทธิ์จึ่งกลายเป็นสีแดง ไหลไปตามท่อโสมสูตรสู่ภายนอก พิธีบวงสรวงมหาเทพ
มีผู้คนมืดฟ้ามัวดินละลานอยู่เต็มลานพิธี แสงไฟอารตีมิได้มืดดับมาหลายชั่วโมงแล้ว เพราะยังมีผู้คนเวียนเข้าอวยชัยให้พรแด่ หริปรเมศวร และปราณ คู่อภิเษก ผู้ซึ่งเป็นสหายของไกวัลย์ พราหมณ์หนุ่มซึ่งบัดนี้ เลี่ยงออกมาจากลานพิธีอย่างเงียบเชียบ
“อ้า..องค์พระศิวะ ไฉนจึงทรงเมินเฉยในคำพร่ำวอนของข้า” พราหมณ์หนุ่มรำพึงรำพัน กับต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้ามันคือหน้าผาสูงชันนึกอยากจะกระโจนเสียให้รู้รอด แต่ภาระเบื้องหน้ากับสหายหนุ่มอีกคนที่สาบานตนร่วมการศึก ทำให้ฝืนระงับข่มใจสะอื้นไห้ในอกเพียงเดียวดาย
สุราจอกแล้วจอกแล้วที่ล่วงผ่านลำคอของพราหมณ์หนุ่ม มิอาจดับกลุ่มในใจที่นับทุกนาที มีแต่ความเศร้ามากเท่าทวีคูณ สุรารสอันแสนวิเศษมันมิอาจตอบคำถามในใจของเขาได้ แต่อย่างน้อย มันได้ทำให้ห้วงเวลาของเขาไม่เคลื่อนช้าเกินไปนัก
ขณะเดียวกัน ในห้วงราตรีที่พระราชฐานชั้นในอันงดงาม ที่ถูกจัดแต่งด้วยเครื่องหอมและมวลพฤกษา เหล่าทาสี ทาสา ข้าทาสถวายการรับใช้จนเสร็จสิ้นพิธี จึงยอบตัวถอยห่างออกจากห้องหอ ทิ้งคู่สมรสอันสูงศักดิ์อยู่ลำพัง
หริปรเมศวร หรือองค์หริ องค์นัดดาแห่งแคว้นอนินทิตะปุระ ถอดศิราภรณ์เหนือเศียรของพระองค์วางบนแท่นเหนือที่ประทับ แล้วหันกลับมาถอดรัดเกล้าที่ประดับเศียรของปราณ ทรงพระสรวลเล็กน้อย เมื่อเห็นสะเรียที่รักออกอาการขัดเขิน
“เจ้าไม่ต้องอายเรา พวกเราคุ้นเคยกันอยู่มิใช่หรือ” บุรุษที่ยามนี้มิต่างจากสามัญชน เชยคางนางอันเป็นที่รักด้วยอารมณ์สิเน่หา
“นับแต่ท่าน ทรงช่วยชีวิตเรากับท่านไกวัลย์ เราจึงนับท่านเป็นเพื่อนตาย แลในเวลานี้ได้ถวายกายและใจเป็นคู่ชีวิตกับท่านด้วย สถานะของเราจึงไม่เหมือนเดิม” ปราณ เอ่ยตอบด้วยท่าทีเอียงอาย
“เจ้าเป็นทั้งมิตรของเรา แลเป็นทั้งคู่ชีวิตของเรา ย่อมอยู่เหนือกว่าคนอื่นทั้งมวล”
“เรายินดีนัก เมื่อท่านเลือกเราเป็นคู่ชีวิต ยามนี้เราสมรสด้วยท่าน สมควรเรียกท่านด้วยนามอื่น”
“เรายังยินดีให้เจ้า เรียกเราเช่นเดิม ยังไม่อยากให้เจ้านุ่มนิ่ม เป็นเจ้าน้อง เจ้าพี่ แต่อยากให้เจ้าเป็นเจ้า เป็นเพื่อนคู่คิดของเรา และเป็นกษัตริยาเคียงข้างเราในวันที่เราได้เป็นกษัตริย์”
“มิใช่ราชินี หรอกรึ”
“เจ้าเป็นมากกว่าราชินี ปัญญาของเจ้า ฝีมือของเจ้ามากกว่าการเป็นแค่ราชินีของเรา เพราะเจ้าจักเป็นนักรบเคียงข้างเราในการศึก และเป็นคู่คิดในยามปกครองบ้านเมือง”
