ep10
ปราณ แย้มสรวล พร้อมกับเสียงสรวลเบาๆ ของพระองค์ มือเล็กนุ่มนิ่มถูกรวบไว้ด้วยมืออันแข็งแกร่ง
“มือเช่นนี้ ใยรำดาบและกวัดแกว่งได้รวดเร็วยิ่ง”
“เราฝึกเพียงธนูเท่านั้น เหล่าข้าทาสเลื่องลือเกินจริง” นางแสร้งถ่อมตัว แต่หริปรเมศวรไม่หลงกลเอ่ยคำแทงใจ
“เมื่อวันก่อนที่ห้องบรรทมเรา มีนางโจรบุกเข้ามา สำรวจตรวจตราห้อง ราวกับว่ามีนางในซุกซ่อนอยู่ เพราะไม่แลทรัพย์ศฤงคารเลย”
“นางโจรนั่น คงโง่ที่ไม่แลสิ่งมีค่า หรือไม่ มันคงไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีค่า” นางกล่าวขัดขึ้น
“นางร่ายมนต์เก่งกาจ ทหารยามหลับใหล สมควรตายยิ่ง”
“ใช่ สมควรตายยิ่ง” นางรับคำ
“แต่เราข้องใจ ใยเราจึงไม่หลับในมนตราของนาง”
“เราจักรู้ได้เช่นไรเล่าองค์หริ”
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นซิเจ้าจักรู้ได้เช่นใด”
หริปรเมศวร เอื้อมมือเข้าไปในชายพก หยิบมณีเส้นหนึ่งออกมา กวัดไกวตรงหน้าปราณ สายสร้อยของมันขาดเสียแล้ว หากแต่ดวงตราสีน้ำเงินเข้มของมันมิชำรุดและยังเล่นแสงกับไฟแวววาว
“ราชินีของเราในอนาคต จักได้สิ่งนี้เป็นการตอบแทน”
“ของชำรุดเสียหาย เหตุใดจักนำมอบให้ราชินีของพระองค์” นางกล่าวยิ้มละไม และขัดเขิน
“หากเราไม่คว้าสร้อยไพลินสายนี้ไว้ บางทีชีวิตเราอาจดับสูญภายใต้คมดาบของนางโจร” หริปรเมศวร กล่าวยิ้มแย้ม คว้าเอวกลมกอดแนบข้าง
“นางเก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ” นางแสร้งถาม
“เราเกือบเสียทีนาง เพราะเพลงดาบอันแข็งแกร่งและอ่อนไหวในเวลาเดียวกัน บางทีเหมือนเพลี่ยงพล้ำ แต่บางทีกลับเป็นต่อ มิรู้เพลงดาบของอาจารย์ใด”
“เป็นเพลงดาบประจำตระกูลเรา สืบทอดกันมายาวนานนัก”
“นั่นซิ เราก็ว่า เจ้าต้องรู้”
“อุ๊ย” พระนางปราณ เลิกคิ้ว เสียที หริปรเมศวร ทั้งที่ระแวดระวังไว้แล้ว
“เรากอดเจ้าไว้เยี่ยงนี้ กับนางโจรเราก็กอดไว้เยี่ยงนี้”
ปราณ ผุดลุกเลี่ยงไปยังหน้าต่าง องค์หริ ตามติดโอบเอวไว้เช่นเดิมทำให้ซ้อนหลังกันอยู่ ยามนี้แสงจันทร์นวลกระจ่าง เสียงสังสรรค์ยังแว่วมากระทบ คืนนี้คงฉลองกันถึงเช้า ก่อนที่วันรุ่งจะเตรียมการรบ และเคลื่อนทัพในวันข้างหน้า
“ท่านจำเราได้เพราะได้กอดนางโจรเช่นนั้นฤๅ”
“เปล่าหรอก เราจำกลิ่นเจ้าได้ต่างหาก”
ปราณพลิกกลับมาเผชิญหน้าหริปรเมศวร ผู้เป็นพระสวามี ทำให้ยามนี้อ้อมกอดที่ซ้อนหลังกันอยู่ก็กลับมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
“จมูกท่านดีนัก”
“กลิ่นเจ้าหอมขจรไกลต่างหาก” ใช้โอกาสยามนี้ก้มลงหอมเนื้อนวล แม้ปราณเบี่ยงหลบก็ไม่อาจพ้นจมูกซุกซน
“เจ้าบอกเราได้ไหม ไยจึงลอบเข้าห้องบรรทมเรา”
นางนิ่งคิดชั่วครู่ แสร้งแนบหน้าลงบนอ้อมอก จะให้กล่าวคำอันใดได้ นางระแวงกลัวองค์หริ ซุกซ่อนใครอยู่ในห้องหับ นางหวั่นใจนักว่า หริปรเมศวรที่สบเนตรสะเรียจากมหิธรปุระราวตกหลุมรักนั้น จักลักลอบพบกันในที่รโหฐานลับหลังนาง กาลนั้นเกิดขึ้นในพิธีเตรียมการหมั้น
นางทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ว่าสายตาของผู้ที่กำลังจักอภิเษกกับนางนั้นแลไปยังสะเรียนางหนึ่งที่อยู่ร่วม นางงามสะคราญ และเพิ่งเดินทางมาจากมหิธรปุระ สัญชาตญาณของปราณ อดหวาดระแวงมิได้ว่า สายตาที่หริปรเมศวรมีให้สะเรียนางนั้นคล้ายกับว่า เป็นอาการตะลึงงันของบุรุษพบสะเรียงาม แตกต่างจากพระนางที่พบพระองค์ดังเช่นมิตรสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกันในป่าคล้องช้าง
อาการของการตกหลุมรัก มิอาจคาดเดา บุรุษผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับนางกลับมีใจให้สะเรียอื่น ดังนั้นนางจึงลอบเข้าห้องบรรทมด้วยตัวเอง มิคาดมนตราหลับใหลของนางไม่เพียงทำให้หริปรเมศวรไม่หลับใหล แต่เรี่ยวแรงก็ยังคงเดิมแถมปะดาบต้านนางได้จนเสียที ถูกโอบกอดไม่พอ ยังต้องถูกกระชากสร้อยไว้ดูต่างหน้า น่าอายนัก ฉะนี้ปราณจึงสำนึกได้ว่า หริปรเมศวรย่อมมีวิชาไม่ด้อยไปกว่านาง
นางอดระแวงไม่ได้ว่า หริปรเมศวร รักนางหรือไม่ สะเรียนางนั้น ทำให้ใจนางหวั่นไหว หากแต่วันนี้ รักแรกพบเช่นนั้น ฤาจะสู้น้ำมิตรที่หริปรเมศวรเลือกนางขึ้นเป็นคู่ชีวิต แม้ในใจนางจักถูกรบกวนว่า พระองค์เลือกนาง เพราะการศึก เจ้าชายต่างถิ่นต้องการรวมอาณาจักรจันทระและอาทิตยะเข้าด้วยกัน แคว้นอนินทิตปุระ รวมจันทระทางใต้ อันมีเมืองอนินทปุระ เป็นสำคัญ ส่วนเครือญาติแห่งนางนั้น รวมแคว้นในจันทระทางเหนือ อันมีเมืองสำคัญ ภวะปรุ ศรีขรเกษตร มหิธรปุระ และวยาธปุระ ดินแดนแถบนี้ คือ จันทระ ส่วนเศษเสี้ยวแห่งอาทิตยะคือเหล่าพนมจากไศเลนทรวงศ์ที่เคยกินเมืองแทบนี้ ก่อนจะขึ้นเป็นใหญ่ยังคาบสมุทรอันไกลโพ้น ปราณรู้ดีว่า สายวงศ์ของนางและหริปรเมศวร สืบเชื้อตั้งแต่อาณาจักรพนม จนมาถึงอาณาจักรจันทระ สืบสายวงศ์ไขว้กันไปมา แต่ยามนี้แตกแยกกระจัดกระจาย และต่างเป็นอิสระต่อกัน
หริปรเมศวร บางที อาจไม่จำเป็นที่เข้าสู่การอภิเษกสมรสกับนาง ด้วยปัญญาและฝีมือของพระองค์ อาณาจักรแลเครือญาติวงศ์จันทระบนแถบนี้ ย่อมย่อยยับแลนองเลือดหากไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ แต่นั่นก็ต้องเสี่ยงกับการยกทัพของวงศ์ไศเลนทร์ทางคาบสมุทร ซึ่งหริปรเมศวรอาจต้องเปิดศึก 2 ด้าน การอภิเษกสมรสจึงละมุนละม่อม ต่อการรวมอาณาจักรมากที่สุด
