บท
ตั้งค่า

ep19

ข้าพระบาทของพระนางเหนือหัว จับกุมอนินนาถไว้คนละด้านแล้วกึ่งจับจูงกึ่งลากไปยังห้องที่เดิมของเธอ อนินนาถหันมองพระนางกัมพุชลักษมี จนลับสายตา

“เกศมวย เกศปรีย์”

“ข้าพระบาท กระหม่อมอยู่นี่แล้ว”

“ดรุณีที่ตามเจ้ามารับใช้เรา ปลดปล่อยเขาไป เหลือเพียงเรา 5 คนเท่านั้น ก็พอแล้ว”

“ดรุณีพวกนั้น คือ เหล่าอัปสราบนปราสาทที่พระนางรับสั่งช่างให้สลักไว้ พวกนางมิได้ถูกบังคับให้อยู่ที่นี่นะกระหม่อม” เกศปรีย์ท้วงขึ้น

“มิจองจำ ก็เหมือนถูกจองจำไว้กับภาพสลัก พวกนางบางคน ยอมรับใช้เรา แต่บางคนทนรับใช้เรา ปลดปล่อยพวกนางไปเถิด เราอนุญาตแล้ว ไม่ต้องรอให้หมดวาสนาต่อกัน”

“รับทราบ กระหม่อม”

ยามนี้พระนางเหนือหัว นั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ เบื้องหน้าพญานาคราช นับพันปีที่เกิดและดับในร่างโอปติกะ เพื่อรอปลดบ่วงกรรม อัปสราข้าพระบาทตามมารอรับใช้ ปลดปล่อยไปหลายรุ่น แต่ก็ยังแวะเวียนตามมารับใช้ไม่ขาด พอหมดวาสนาต่อกันก็ดับไป โอปาติกะอย่างนาง ยืนยงดูผู้คนเกิด และดับสูญ หลายภพหลายชาติ เกิดเวทนา จนความแค้นที่สั่งสมน่าจะเลือนหาย หากแต่บ่วงกรรมกลับไม่ทำให้นางได้พ้นจากสภาพที่วนเวียนอยู่เช่นนี้

อนินนาถ หรือ นิลกาฬ นางเป็นธิดาขององค์พระทิตยนันทราช ผู้กำลังจะถูกเลือกขึ้นครองราชสมบัติ หุ่นเชิดของชวา หากแต่พระองค์สมคบคิดกับพระหริปรเมศวร ที่จะรวมอาณาจักรจันทระมากกว่าที่จะยอมเป็นเมืองขึ้นชวาอีกต่อไป และพระทิตยนันทราชนี่เอง ที่เป็นไส้ศึกตัวจริงโดยที่พระญาติวงศ์ผู้แปรพักตร์มิทันได้รู้ตัว และพระองค์นี่เองที่ทำให้ผู้แทนพระองค์ของกษัตริย์แห่งชวาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ

นิลกาฬเอ๋ย....ธิดาแห่งเชื้อสายอนินทิตะปุระ ผู้หวังครองบัลลังก์ร่วมกับหริปรเมศวร ใครเล่าจะคาดคิดว่า การณ์ใหญ่ที่วางแผนหลายช่วงชั้นอายุ ของพระเจ้านฤบดินทราทิตย์ จะถูกชาวเผ่าภวาลัยทำลายลงอย่างด้วยน้ำมือของสะเรียนางหนึ่ง

..................................

“หลวงพ่อครับ” เสียงกัลป์เรียก แผ่วเบา เมื่อเห็นว่า ยามนี้

ฝนหลงฤดูเริ่มปรอยลงมาทำให้การนั่งทำสมาธิของหลวงพ่ออาจเกิดอุปสรรคเนื่องจากท่านเลือกนั่งอยู่กลางลานของระเบียงที่พัก

หลวงพ่อถอนจิตออกจากสมาธิ หันไปยิ้มให้กัลป์ พลางขยับลุกขึ้น ด้วยเห็นเหตุที่ถูกรบกวนสมาธิ

“ฝนมันไล่ ไม่ให้ตามติด แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่ปรามเท่านั้น” หลวงพ่อเปรยขึ้นเบา ๆ แล้วเดินเข้าที่พัก กัลป์ตามติด เพราะต้องการรู้ว่า หลวงพ่อส่งญาณอะไร และมีคำตอบจาก “เธอ” หรือไม่

“แนะฝนหยุดแล้ว” หลวงพ่อกล่าวยิ้ม ๆ “อืม จะได้พักผ่อนกันเสียที ดึกแล้ว” หลวงพ่อกล่าวขึ้น ราวกับไล่กัลป์ในทางอ้อม

“เอ่อ... ครับหลวงพ่อ ถ้าต้องการเรียกใช้ผม ผมอยู่ห้องข้าง ๆ ให้เจ้าเดี่ยว นี่ไปเรียกผมได้ทุกเวลานะครับ”

“ฮืม ขอบใจ พรุ่งนี้เช้า ค่อยถามในสิ่งที่เจ้าอยากรู้นะ” หลวงพ่อกล่าวยิ้ม ๆ ในใจท่านรู้ว่า เมื่อกิเลสครอบงำ ทำให้เราไม่รู้ในสิ่งที่อยากรู้

“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”

“ผมพยายามนั่งสมาธิ แต่ไม่เป็นผล” กัลป์สารภาพกับหลวงพ่อ

“เพราะโยมเกิดกิเลส อยากรู้ อยากเห็น จนทำให้จิตไม่นิ่งพอ ขณะที่เขาเอง ก็ยังไม่อยากติดต่อกับโยม ทำให้ไม่สามารถรับคลื่นของเขาได้” หลวงพ่อยิ้มพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ

เช้าวันนี้ อากาศสดชื่น หมอกระเรี่ยยอดไม้ตามภูผาเบื้องล่าง ทำให้ดงป่าด้านล่างกลายเป็นทะเลหมอกที่สวยงามจับใจ หากแต่ความโศกซึมของชายหนุ่มทำให้เขากลับมองข้ามความงามนี้

“ทำอย่างไร ผมจึงจะติดต่อเขาได้ครับ”

“อาตมาเองก็ไม่รู้หรอก มันเป็นเรื่องของบุญของกรรม”

“ภาพสลักศิวลึงค์นั่น เกี่ยวพันกับผมใช่ไหมครับ หลวงพ่อ” ชายหนุ่ม กระหวัดนึกถึง ภาพสลักบนพื้นหินที่สระตราว

“แม้มิอาจเคียงคู่ แต่จะขอเฝ้าดูทั้งคู่มิห่างหาย” เสียงคำแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล กัลป์สดับฟังด้วยอาการนิ่งอึ้ง

“แม้มิอาจเคียงคู่ จะขอเฝ้าดูทั้งคู่มิห่างหาย หมายความว่า...” กัลป์นิ่งคิด โดยลืมไปว่า เบื้องหน้าเขานั้น คือ พระภิกษุผู้ทรงญาณ

“ภาพสลักที่ทำมุมไปยังสถูปคู่ และยังทำมุมไปยังปราสาทเขาพระวิหาร ทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกัน” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น

“หมายถึงผม?”

“เสียงที่โยมได้ยิน ลองตรองดูด้วยสมาธิ ญาณของโยมไม่ได้ขี้ริ้ว ผิดแต่ยามนี้ หลอมรวมเป็นสมาธิไม่ได้ ลองตั้งใจอีกทีเถิด เดินจงกรม จับสมาธิในการเดิน แล้วค่อยมานั่งกำหนดลมหายใจ นะโยมนะ”

“ครับหลวงพ่อ”

..................................

หริปรเมศวร กลับออกมาจากการเยี่ยมสหายด้วยความโปร่งใจไม่น้อย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า สะเรียนางหนึ่งลอบมองเขาอยู่หลังม่าน เงาที่ทาบทับกับแสงตะวัน และเสียงขยับตัวมิพ้นการสังเกตของหริปรเมศวร ไปได้ แรกนั้นเขารู้สึกว่า ต้องระวังตัว หากแต่เมื่อสอบถามกับนางรับใช้ จึงรู้ว่า มีน้องสาวของพราหมณ์หนุ่มมาอาศัยอยู่และคอยปรนนิบัติเมื่อยามเจ็บไข้ดังนี้ พระองค์จึงรู้ว่า หลังม่านนั้น ต้องเป็นสะเรีย และสะเรียนางนั้นคือ นางที่ต้องใจยามแรกเห็น ชาณหวี นามของนางช่างไพเราะนัก

“ชาณหวี น้องข้า เจ้าไยจึงลอบมององค์หริ อย่างเสียมารยาทนัก” พราหมณ์หนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อคล้อยหลังหริปรเมศวร และไล่เหล่าบริวารออกไปนอกห้อง

“พี่ชาย น้องมิบังอาจ ลอบออกไปก็มิทัน”

“ใยไม่ใช่เพราะเจ้า มีใจให้เขาหรอกหรือ จึงลอบมองอยู่เช่นนั้น” น้ำเสียงมิได้ใส่ใจ หากแต่คำพูดบาดลึกลงในใจ ความรู้สึกผิดของชาณหวีจึงทำให้นางอับอายตัวร้อนไปหมด จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel