ep16
“ถ้าเจ้าคิดว่าเป็นการซ้อมมือของช่างผู้ซุกซน ก็คิดได้ แต่ความเคารพของเผ่าภวาลัย ไม่มีใครทำเช่นนั้นดอก”
“ภาพสลักนี้มีความหมายอย่างไรกันครับหลวงพ่อ” กัลป์กล่าวขึ้นหลังจากสักการะภาพสลักศิวลึงค์เรียบร้อยแล้ว หากแต่หลวงพ่อยิ้มรับแล้วพยักหน้าให้กลับขึ้นด้านบน
“โยมกัลป์ ความรัก ความผูกพัน ประสงค์สร้างสิ่งใดก็สามารถทำได้”
“ทัชมาฮาล เลยนะครับหลวงพ่อที่กล่าวถึง”
“โน่นไง สัญลักษณ์ของความรักของคนที่นี่ เมื่อในอดีต”
หลวงพ่อชี้ไปยังสถูปคู่ ที่อยู่ไกลออกไป พวกเขากำลังจะเดินไปที่นั่น หากหลวงพ่อหยุดเดิน แล้วถามชายหนุ่มกลับมาว่า
“โยมสักการะ ศิวลึงค์นั่นแล้ว ไปต้องไปถึงสถูปคู่นั้นก็ได้ มองไกลๆ นี่ก็พอแล้วนะ”
“เอ่อ ผมเคยเข้าไปดูแล้วครับ ถ้าหลวงพ่อไม่เข้าไป ก็ไม่เป็นไร”
“เห็นอะไรบ้างเล่า ในสถูปนั้น”
“ก็ตามรูปทรงที่เห็นนั้น ทุกด้านปิดทึบหมดครับ แต่มีพวกชั่ว เจาะช่องหาของมีค่า เลยพบว่าด้านในเป็นห้องบรรจุสิ่งสักการะ อะไรสักอย่าง สถูปอันหนึ่ง พบแท่งคล้ายลึงค์อยู่ในนั้น แต่อีกอันยังไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ โจรมันคงเอาแล้วก็ได้ครับ”
“ทุกอย่างล้วนอนิจจัง เป็นไปตามกาลเวลา”
“กลับที่พักกันเถอะ อาตมาอยากพักผ่อน” หลวงพ่อกล่าวตัดบท
“ครับหลวงพ่อ” กัลป์ ตามหลังพระภิกษุที่เดินนำหน้าไปที่รถ เรียกเจ้าเดี่ยวเบา ๆ ที่ร่มไม้ อากาศร้อนระอุอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่า หากอาทิตย์ตกดินแล้ว บริเวณแถบนี้ก็เย็นยะเยือกไม่แพ้ขุนเขาในที่ใดๆ เลย
“มาแล้วรึ นิลกาฬ” พระนางเอ่ยทักขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเดินใกล้เข้ามาจากด้านหลัง พระนางรับรู้ด้วยจิตว่า ฝั่งหนึ่งสรงน้ำที่
เทวานุสาวรีย์ หากแต่อีกฟากหนึ่งสรงน้ำที่ภาพสลักริมสระตราว ในความผูกพันบางเบานั่น จะกระชับชิดเบื้องหน้าต่อไปหรือไม่ แล้วแต่บุญวาสนาจะนำพา
อนินนาถ ทรุดตัวลงบนพื้น พร้อมกับข้าพระบาท นางเกศมวย และนางเกศปรีย์ พี่น้องต่างวัย ส่วน กรปรำ และกรปรีย์ ขยับถอยออกไปแต่ไม่ห่าง พลับพลาชั่วคราวยามนี้ ม่านโบกไสว ตามแรงลมพัดเอื่อย อากาศยามนี้ มิรู้ว่าเวลาใด แต่เย็นฉ่ำใจอย่างบอกไม่ถูก พระนางยังยืนหันหลังให้เธอ เบื้องหน้าของพระนางเหนือหัวจดจ้องไปยังปราสาทบนยอดภูผาสูงชัน สักครู่พระนางจึงเบือนหน้ามาช้า ๆ แสงอาทิตย์หรือบารมี มิรู้ได้ ทำให้อนินนาถค้อมตัวลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ได้แต่ลนลานกราบกรานอยู่เบื้องหน้าพระนางเหนือหัว
“เจ้าไม่ต้องกลัวเราหรอก หากจักมองเรา ก็มอง หากไม่อยากมองเรา ก็ก้มกรานอยู่อย่างนั้น เราตามใจเจ้า” สิ้นเสียงของพระนาง ร่างที่ก้มกรานก็สั่นเทาขึ้นจนไม่อาจระงับ
“ดูท่าว่า เจ้าจะลืมความเข้มแข็งของเจ้าเสียแล้วรึ นิลกาฬ”
สุรเสียงนั้นอ่อนโยนลง และยังเจือด้วยความเอ็นดูไม่คลาย
อนินนาถข่มความหวาดกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุนั้นลง แต่ยังคงหมอบกรานแทบเท้า สายตาที่เหลือบมอง เห็นเพียงข้อพระบาทที่สวมกำไลทองรอบข้อ พระนางเยื้องย่างผ่านหน้าอนินนาถไปยังที่ประทับ
“ฉัน...” อนินนาถพยายามกล่าวคำ
“เจ้าไม่ต้องกลัวเรา แลไม่ต้องกล่าวคำราชาศัพท์อย่างที่เจ้านึกกลัว พูดในภาษาที่เจ้าเคยพูดเถิด ก่อนที่อาณาจักรเราจักสถาปนาระบบเทวราชาขึ้น เราก็พูดกันธรรมดาเยี่ยงนั้น ปะปนกันไป ไม่มีใครถือสา เพราะภาษามีเคลื่อนไหว มีดับ มีตาย และเกิดใหม่ เช่นเดียวกับมนุษย์อย่างเจ้า”
ชั่วครู่ อนินนาถเริ่มบรรเทาความหวาดกลัวโดยไม่ทราบสาเหตุนั้นลงได้ จึงเงยหน้า ขึ้นมองพระนางเหนือหัวที่ประทับอยู่ตรงหน้า
“พระนางปราณ”
“เจ้ารู้จักเรา ในนามของ ปราณ ตามจารึกนั้นก็ได้ หากแต่ตัวเรา ยามนี้ คือ กัมพุชลักษมี มเหสีแห่งเมืองหริหราลัย มิใช่ ปราณ แห่งเมืองวิเภทะของเผ่าภวาลัย”
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ฉันอยากกลับบ้าน”
อนินนาถไม่รอช้า บอกความประสงค์ของเธออย่างตรงไปตรงมา
“เจ้ามิต้องกลัว เรานำเจ้ามา เพื่อรอการชดใช้ และทำให้ฝันร้ายของเจ้าจบสิ้นลง”
“พระนางทราบฝันร้าย ของฉัน ฉันที่ฉันตกจากที่สูง ฝันที่เดินอยู่บนปราสาทอย่างโดดเดี่ยวแล้วพลัดตกลงมาโดยไม่มีใครช่วยเหลือ แล้วยังจะคำทำนายนั่นอีก”
“อยู่กับเรา แล้วเจ้าจะรู้เองว่า ฝันร้ายและคำทำนายที่พวกมันบอกเจ้านั้น จะเป็นอย่างไร”
อนินนาถก้มกราบด้วยหวาดกลัว เธอจะต้องอยู่กับสิ่งเร้นลับนี้ไปนานเท่าไหร่ หรือฝันร้ายนี้จะกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่ยอมตื่น
“เจ้าเห็นภวาลัยนั่นไหม ภวาลัยที่สร้างจากพระสวามีแห่งเรา ทุกภพทุกชาติ จักมีการบำบวงและทำนุอยู่มิขาด ชาวภวาลัยไม่เคยทอดทิ้งศาสนาบรรพตแห่งนี้ แลเจ้าดูนั่นซิ เทวานุสาวรีย์แห่งเรา ก็มิเคยถูกทอดทิ้งเช่นเดียวกัน”
อนินนาถทอดตามอง เทวานุสาวรีย์ ที่เธอสักการะก่อนขึ้นมาเข้าเฝ้าพระนาง ความเศร้าซึมจู่โจมเข้าสู่หัวใจเหมือนมีสัญญาณบางอย่างส่งมาอย่างแรงกล้า
“เทวานุสาวรีย์นี้ คือ สิ่งที่เรากับองค์เหนือหัวร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อบูชา พระศิวะ และพระแม่ปราวตี เราจักสร้างอาณาจักรจันทระร่วมกัน เช่นเดียวกับพระศิวะแลพระแม่สร้างชาวโลก หากแต่ทุกอย่างไม่เป็นดังเราประสงค์”
“ฉันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
“เจ้าฤา เวลานี้ ยังไม่เกี่ยวดอก นิมิตที่นำเจ้าไป เพียงแค่อยากให้เจ้ารับรู้เบื้องแรกแห่งการรวมอาณาจักร”
“นิมิตบอกว่า จะเกิดสงคราม”
“ใช่ เราเตรียมสงคราม เพื่อรวมอาณาจักร องค์หริปรเมศวร นำเรากลับสู่พระนครอนินทิตะปุระ แต่ก็ยั้งรออยู่ที่เมืองอมเรนทปุระ เมืองแฝดใกล้กัน ท่านไกวัลย์ยกพลขึ้นโอบด้านหลังของเมือง ฝ่ายเราเจรจาอยู่เบื้องหน้า หากแต่พระญาติผู้ตกเป็นเบี้ยล่างของชวามิยินยอมยกราชบัลลังก์แห่งแคว้นอนินทิตปุระให้องค์หริปรเมศวร พวกเราต้องสู่สงครามอย่างมิอาจเลี่ยง เพราะในมือเรามีจันทรวงศ์เมืองบนพร้อมอยู่แล้ว ก่อนลงสู่จันทรวงศ์เมืองล่าง ที่มีแคว้นอนินตปุระเป็นสำคัญ”
