ฝันร้าย (2/2)
“อ่ะ นี่ค่าจ้าง ส่วนนี่ของแถม”
ฉันรับแบงค์ร้อยสามใบกับนมรสจืดหนึ่งขวดมาจากพี่พู่ เจ้าของร้านก่อนจะกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะ”
“กินข้าวกินปลาบ้างนะ ผอมจนจะกลายเป็นกระดูกเดินได้อยู่แล้ว”
…นี่สภาพของฉันโทรมจนคนอื่นสังเกตเห็นเลยเหรอเนี่ย
“หรือพี่ใช้งานเธอหนักเกินไป?”
“ไม่เลยค่ะ หนูสบายดี…จริงๆ นะคะ”
ฉันรีบพูดเพราะกลัวพี่พู่เลิกจ้างฉัน ความจริงพี่เขาใจดีกับฉันมากเลยนะ เธอรู้ว่าฉันไม่มีเงินซื้อข้าวก็เลยแถมนมให้ฉันตลอด ถ้าฉันไม่ได้พี่พู่ ฉันน่าจะซูบผอมยิ่งกว่านี้อีก
“อืม จะเชื่อละกัน”
พี่พู่ตอบแบบส่งๆ แล้วก้มหน้าลงเช็กสต็อกสินค้าต่อ
พี่พู่เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ชื่อดัง ฉันรู้แค่ว่าครอบครัวของเธอทรงอิทธิพลมากจนตำรวจยังไม่กล้ายุ่ง ร้านเบเกอรี่ที่เปิดก็ทำเป็นงานอดิเรกเท่านั้นแต่ดันถูกปากเหล่านักรีวิวจนดังเป็นพลุแตก การขี่จักรยานของร้านไปส่งนมให้บ้านในระแวกใกล้เคียงไม่ถึงยี่สิบหลังแลกกับค่าแรงสามร้อยถือเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากสำหรับฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณตัวเองมาตลอดที่วันนั้นตัดสินใจมาสมัครงาน และขอบคุณพี่พู่ที่เลือกฉันให้ทำงานนี้ด้วย ระดับพี่พู่ เงินห้าพันคงเป็นแค่เศษกระดาษสีเทาห้าใบเองมั้ง…
…ต่างจากฉันที่แม้จะทำงานควบสิบกะก็ยังได้แค่ครึ่งเดียว
“ไม่รีบไปเรียนเหรอ?”
“อ้อค่ะ สวัสดีค่ะ”
ฉันยกมือไหว้อีกฝ่าย กลับหลังหันและกำลังจะก้าวเท้าเดิน แต่จู่ๆ สมองก็ฉุกคิดเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ก่อน
ต่อให้วันนี้ฉันทำงานจนหมดลมหายใจ ฉันก็ได้เงินไม่ถึงห้าพันอยู่ดี
ฉันควรจะหาทางลัด…
“พี่พู่คะ”
“ว่า?”
“คือ…หนูขอยืมเงินพี่สักห้าพันได้มั้ยคะ?”
กึก
พี่พู่หยุดกดเครื่องคิดเลขแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองฉัน
“จะเอาไปทำอะไร?” น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดุแต่ก็เยือกเย็นจนฉันเสียวสันหลังวาบ
“หนูมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้น่ะค่ะ”
“ใช้เองเหรอ?”
“…ค่ะ”
“….”
ฉันคิดว่าฉันโกหกเนียนแล้วนะ แต่สายตาของพี่พู่ทำให้ฉันรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงก็ไม่รู้
“พี่ขอโทษนะ แต่พี่ไม่เคยให้ใครยืมเงินฟรีๆ”
“นะ หนูทำงานชดใช้ได้นะคะ พี่ไม่ต้องให้เงินค่าส่งนมหนูจนกว่าจะครบห้าพัน…”
“แล้วพี่จะรู้ได้ยังไงว่าอาลัวจะอยู่ชดใช้เงินพี่จนครบ พี่ยังไม่อยากทำร้ายเธอนะ”
ทำไม…พี่พู่พูดจาน่ากลัวจัง
“หนูอยู่ชดใช้จนครบแน่นอนค่ะ หนูสาบาน…”
“เอางี้ดีกว่า” พี่พู่พูดอย่างตัดปัญหา “เธออยากได้เงินห้าพันใช่มั้ย?”
“…ใช่ค่ะ”
“พี่มีงานให้เธอทำ สนใจมั้ย?”
“งาน?”
“งานที่ไม่ใช่งานส่งนมตอนเช้าน่ะ”
“….”
“ลองฟังรายละเอียดดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้”
.
.
.
.
.
งานที่พี่พู่เสนอให้ฉันทำคืองานเซอร์วิสลูกค้าในไนท์คลับซึ่งเธอเป็นเจ้าของ เธอบอกว่าความจริงพนักงานในร้านครบจำนวนแล้ว แต่ถ้าฉันสนใจทำก็สามารถเริ่มงานได้คืนนี้เลย เพราะเธอถูกใจและอยากได้ฉันมาเป็นพนักงานตั้งนานแล้ว
ฉันเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่พู่ทำธุรกิจประเภทนี้ด้วย การเป็นพนักงานในไนท์คลับไม่เคยอยู่ในลิสต์ของฉันเลย โดยเฉพาะงานที่ต้องไปเซอร์วิสคนอื่น ฉันยิ่งไม่อยากทำ ไม่ใช่เพราะรังเกียจงาน แต่เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าจะทำได้ดีพอ ฉันไม่ถนัดคุยกับคน ไม่รู้ต้องทำยังไงเพื่อให้พวกเขาพอใจ ฉันกลัวว่าฉันจะทำให้ร้านเสียหาย
ถ้าเป็นสมัยก่อนฉันคงพี่พู่ปฏิเสธไปแล้ว แต่เพราะฉันจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ฉันจึงต้องตอบตกลงไปโดยมีข้อแม้ว่า ถ้าฉันทำพัง พี่พู่ห้ามด่าฉันเด็ดขาด
‘โอ๊ย เธอไม่ทำร้านพังหรอกอาลัว เธอจะทำให้ร้านปังต่างหาก!’
ไม่รู้ว่าพี่พู่ไปเอาความมั่นใจว่าจากไหนถึงพูดแบบนั้น ฉันธรรมดามากเลยนะ บุคคลิกก็ไม่ดี แต่พี่พู่ก็ยังยืนยันว่าจับฉันแต่งหน้าแต่งตัวนิดหน่อยก็สวยสะบัดแล้ว ฉันไม่อยากเถียงเธอก็เลยเออออตามไป
ฉันถามพี่พู่ไปแล้วว่าระดับไหนถึงจะเรียกว่าเซอร์วิส ซึ่งพี่พู่ตอบว่าระดับไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับฉัน ถ้าฉันไม่ยินยอมที่จะทำก็ไม่ต้องทำ แต่ถ้าฉันยอมทำตามที่ลูกค้ารีเควส ฉันก็อาจจะได้เงินมากกว่าห้าพัน นั่นหมายความว่าระดับการบริการไม่มีกฎตายตัวขึ้นอยู่กับว่าพนักงานต้องการเงินเยอะขนาดไหน และในกรณีของฉัน…
…ฉันต้องการเงินเยอะมากกว่าห้าพัน
เงินห้าพันมันเป็นแค่ค่าใช้จ่ายของวันนี้ วันพรุ่งนี้แม่ก็ต้องขอเงินอีก ดังนั้นยิ่งฉันได้เงินเยอะมากเท่าไหร่ ฉันก็จะมีให้แม่ได้มากเท่านั้น ถึงฉันจะรู้ว่าท่านเอาเงินทั้งหมดไปลงกับการพนันก็เถอะ แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่ฉันคิดได้ในตอนนี้
สำหรับฉัน…ศักดิ์ศรีน่ะเสียได้ถ้าเงินมากพอ
“นี่ๆ ได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ รึเปล่า?”
ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งทานขนมปังกับนมในห้องเรียนอยู่นั้น เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น เธอคือหนึ่งในเพื่อนร่วมคลาสของฉัน…แป้ง
“กลิ่นอะไรเหรอแก”
“ก็กลิ่นกะหรี่…ปั๊บน่ะสิ ลอยหึ่งเลย”
ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าแป้งกำลังมองฉันอยู่ และน่าจะมีสายตาของเพื่อนอีกหลายคู่ที่จับจ้องมายังฉันพร้อมกับรอยยิ้มขบขัน
“เออ ได้กลิ่นละ โคตรเหม็นเลยว่ะ”
“จริง แล้วไหนจะกลิ่นเหม็นเน่าอีก…ใครทิ้งขยะเปียกไว้ในห้องเนี่ย”
“ไม่มีใครทิ้งขยะหรอกแก กลิ่นมันคงติดมากับอาลัวน่ะ ได้ข่าวว่าบ้านเธออยู่ข้างกองขยะแหละ”
“อุ๊ยตายละ! จริงรึเปล่าเนี่ยอาลัว นี่เธอมีบ้านด้วยเหรอ ฉันก็นึกว่าเธอนอนข้างถนนซะอีก”
ฉันทำเป็นไม่สนใจแล้วทานข้าวเช้าต่อแบบไม่ทุกข์ร้อน ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยโดนบุลลี่แบบนี้ ตอนปีหนึ่งฉันโดนคนทั้งในและนอกคณะหาเรื่องตลอดเพียงเพราะหน้านิ่งๆ ของฉันไปกระตุกต่อมหมั่นไส้ของพวกเขาเข้า ไหนจะเรื่องฐานะทางบ้านที่ไม่ดีของฉันอีก ฉันโดนเหน็บโดนแซะจนชินแล้ว จะมีช่วงที่ชีวิตสงบก็ตอนคบกับปืนนี่แหละ แต่พอฉันเลิกกับปืนแถมยังเลิกกันไม่ดี พวกเขาก็เลยเล่นแรงขึ้นไปอีก
ตุบ
ของแข็งบางอย่างลอยมากระแทกหลังศีรษะฉันพอดีเป๊ะ พอก้มลงไปดูที่พื้นถึงเห็นว่ามันคือกำไลข้อมือโลหะแบรนด์เนม
“อาลัว~ ช่วยเก็บให้หน่อยสิ พอดีฉันทำหลุดมือน่ะ”
พอแป้งพูดจบ เสียงหัวเราะคิกคักก็ตามมา ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะก้มลงไปเก็บกำไลราคาแพง ขาเรียวก้าวขาขึ้นบันไดไปหาแป้ง แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ขั้น…ฉันก็ถูกขัดขาจนเกือบล้ม
หมับ
“…อ๊ะ!”
และไม่ใช่โชคดีเลยที่ข้อมือของฉันถูก ‘เป้’ คว้าเอาไว้ก่อนที่หน้าจะทิ่มพื้น เพราะการช่วยเหลือจากเขาไม่เคยมาจากความหวังดีเลยน่ะสิ
“ระวังหน่อย เดี๋ยวหน้าก็หมดสวยกันพอดี” เขายกยิ้มมุมปาก “เธอมีดีแค่หน้ากับหุ่นนะ”
“…ปล่อยเรา”
“คนช่วยแทนที่จะขอบคุณ…ไร้มารยาทชะมัด”
“ขอบคุณ”
ฉันพูดโดยไม่มองหน้าเขา
“ไม่จริงใจเอาซะเลย” เป้พูดเสียงกลั้วหัวเราะ “หรือเธอไม่ชอบที่ฉันชมเธอ?”
“….”
“เธอควรภูมิใจนะ ฉันไม่ค่อยชมใครบ่อยๆ หรอก แถมหุ่นเธอก็ดีจริงๆ นั่นแหละโดยเฉพาะ…”
ฟุ่บ
“…นม”
“นี่!!!”
และสิ่งที่ฉันกลัวก็เกิดขึ้นจนได้
ดวงตาสีดำสนิทมองมือของเป้ที่อยู่บนหน้าอกสลับกับใบหน้ายียวนกวนประสาทก่อนจะพูดเสียงสั่น
“เอามือออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“จับเต็มไม้เต็มมือดีจริงจริ๊ง!!”
แทนที่เป้จะสำนึก เขากลับลอยหน้าลอยตาสำรอกถ้อยคำสกปรกออกมาพร้อมกับขยำเต้าอวบ ฉันช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นแต่คนที่มองมาด้วยความสะใจ ไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยฉันสักคน
“อึก ปล่อยนะ!!!”
พอตั้งสติได้ ฉันจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักอีกฝ่ายออกแล้วตบหน้าเขาด้วยความโกรธ
เพี๊ยะ!!
“หยุดทำตัวทุเรศสักทีเถอะ!!!”
….
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ คงไม่มีใครคาดคิดว่าฉันจะกล้ามีเรื่องกับลูกชายทหารยศใหญ่ แต่ฉันทนไม่ไหวแล้ว สิ่งที่เขาทำกับฉันมันไม่ถูกต้อง เขาสมควรโดนมากกว่าถูกตบด้วยซ้ำ
“เราจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคณบดี…”
หมับ!
“…อึก!”
ใบหน้าเล็กถูกมือใหญ่บีบอย่างแรงจนริมฝีปากเผยอออก ดวงตาของเป้แดงก่ำ เขาโน้มหน้าลงมาใกล้ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน
“มึงคิดว่าคณบดีจะเชื่อกะหรี่อย่างมึงงั้นเหรอ?”
“อึก อ่อย”
“มึงคิดว่าจะมีคนช่วยมึงได้รึไง!?!?”
“….”
“ช่วยส่องกระจกดูตัวเองด้วยนะว่ามึงเป็นใครแล้วกูเป็นใคร ตอนนี้มึงไม่มีคนคอยคุ้มกะลาหัวมึงแล้ว กูจะเอามึงตอนนี้ยังได้เลยอาลัว”
“….”
“อยากลองมั้ยล่ะ?”
สีหน้าตื่นตระหนกของฉันทำให้เป้แสยะยิ้ม เขาตวัดแขนโอบรอบเอวบางแล้วดันเข้าหาตัวจนหน้าอกของฉันแนบกับแผ่นอกของเขา
“ว่าไง อยากลองมั้ย…หืม” ไม่พูดเปล่า เขายังฉวยโอกาสหอมแก้มฉันด้วย แถมพอฉันพยายามหลบเขาก็ยิ่งฝังจมูกบนแก้มเนียนจนได้ยินเสียง ‘ฟอด’ ดังลั่น
“ระวังๆ หน่อยนะเป้ ยัยนี่มันร่านกว่าที่นายคิด ไม่อย่างนั้นมันคงไม่กล้านอกใจปืนหรอก”
“เหอะ เดี๋ยวแม่งเจอกูสักน้ำสองน้ำก็หายร่านแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
ที่น่าหดหู่คือไม่ได้มีแค่เป้ที่หัวเราะ ผู้ชายคนอื่นก็หัวเราะด้วยเหมือนกัน ส่วนพวกผู้หญิงก็มีทั้งคนที่สะใจและคนที่ไม่สนใจ แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีใครอยู่ข้างฉันสักคน
“ฮึก ปละ ปล่อยเรา ได้โปรด…”
บอกตามตรงว่าเหตุการณ์นี้เลวร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้มาก ฉันคิดว่าอย่างหนักก็คงจะแค่ถูกนินทา แต่นี่ฉันกำลังถูกคุกคามต่อหน้าคนครึ่งร้อย ฉันทั้งอับอายทั้งโกรธจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า และนั่นก็ยิ่งทำให้เป้ชอบใจเข้าไปอีก
“เธอไม่อยากลองมีอะไรกับฉันดูเหรอ? ฉันรับรองว่าเธอจะลืมพีทกับปืนไปเลยล่ะ”
“มะ ไม่…”
“ว่ายังไงนะ? อยากเหรอ?”
“ไม่ ไม่ เราไม่ยะ…”
“ถ้าอยากนักฉันก็จะจัดให้”
“ไม่เอา ฮึก ปล่อยนะ! อย่า…”
ตึง!
ก่อนที่เรื่องจะบานปลายจากการคุกคามเป็นการข่มขืน ใครบางคนก็ได้ผลักประตูห้องออกอย่างแรงจนมันกระแทกกับผนัง ทุกคนรวมถึงฉันหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ และเมื่อได้สบประสานกับดวงตาสีควันบุหรี่เย็นยะเยือก จากความโล่งใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความกลัวถึงขีดสุดทันที
คนที่อยู่หน้าประตูไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาวแต่เป็น ‘ฝันร้าย’ ที่ตามหลอกหลอนฉันมาตลอดสามเดือนต่างหากล่ะ
