ทางเลือก (1/2)
การเจอกันครั้งแรกหลังจากผ่านไปสามเดือนของฉันกับปืนแย่มากจนถึงมากที่สุด
สภาพของฉันในตอนนี้คือแก้มถูกเป้บีบ หน้าอกกับก้นถูกเป้จับ ปากของเป้อยู่บนกรามฉัน มือของฉันอยู่บนหน้าผากเขา ผมเพ้าของฉันกระเซอะกระเซิง และใบหน้าก็เต็มไปคราบน้ำตา
ปืนสบตากับฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งด้านหน้าสุดซึ่งมีกระเป๋าของฉันวางอยู่
แม้ปืนจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากฟุบหน้าลงบนโต๊ะ แต่บรรยากาศภายในห้องก็มาคุขึ้นมาทันตาเห็น เหล่านักศึกษาพากันหันหน้าไปคนละทาง บางคนกลืนน้ำลาย บางคนบีบมือตัวเอง แม้กระทั่งเป้ก็ยอมหยุดการกระทำน่ารังเกียจ เขายอมปล่อยฉันให้เป็นอิสระ และก่อนที่ฉันจะลงจากบันได ฉันก็ได้รับคำขู่ที่ดังมาจากคนด้านหลัง
“ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถ้ามึงอยู่คนเดียวเมื่อไหร่…มึงไม่รอดแน่”
ตึก ตึก ตึก
ฉันรีบวิ่งลงบันไดเหมือนเหยื่อหนีนักล่า นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับหายใจเข้าออกถี่ๆ หลับตาลงแล้วนับหนึ่งถึงสิบ เกือบลืมไปแล้วว่ามีปืนนั่งอยู่ข้างๆ แต่ถึงแม้ปืนจะน่ากลัวขนาดไหน แต่ ณ เวลานี้การมีเขาอยู่ทำให้ฉันสบายใจมากกว่าอยู่คนเดียว
จะหาว่าฉันเสียสติไปแล้วก็ได้ แต่ตอนที่ปืนเปิดประตูเข้ามา ลึกๆ ในใจของฉันก็หวังให้เขาเข้ามาช่วยฉัน แต่การที่เขาไม่สนใจมันก็ถูกแล้ว ฉันทำกับเขาไว้ขนาดนั้น ถ้าเขาแคร์ฉันสิถึงแปลก
ใช่ ความเกลียดชังจากปืนคือสิ่งที่ฉันสมควรได้รับ ฉันต้องเลิกเห็นแก่ตัวแล้วยอมรับความจริงสักทีว่าเราสองคนจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
.
.
.
.
.
การเรียนคาบเช้าจบลงโดยที่ปืนไม่เงยหน้าขึ้นมาจดเนื้อหาสักวินาที อาจารย์ก็ไม่กล้าปลุกเพราะกลัวเขา…เข้าใจไม่ผิดหรอก อาจารย์ร้อยทั้งร้อยก็กลัวเขาหมดนั่นแหละ
ทุกคนต่างรู้กันดีว่าปืนเลือดเย็นขนาดไหน เขาเป็นทายาทอันดับหนึ่งของแก๊งอสรพิษ หนึ่งในสี่กลุ่มมาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุด และตำแหน่งทายาทก็ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย ปืนมีคุณสมบัติเหมาะสมทุกอย่าง โดยเฉพาะความโหดเหี้ยมที่มีเกินกว่าหัวหน้าแก๊งคนปัจจุบันอย่างทรงยศ พ่อของเขาเสียอีก
ปืนถูกวางตัวให้เป็นทายาทตั้งแต่เกิด แต่หลังจากที่ทรงยศแต่งงานใหม่ เขาก็มีคู่แข่งที่ไม่ได้สมน้ำสมเนื้อ และใครๆ ต่างก็มองว่ายังไงปืนก็ยังคงรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ได้…
…ตายยากซะจริง
คู่แข่งของปืนคือคนที่ยืนดักรอฉันอยู่หน้าประตู ‘พีท’
ฉันสบตากับพีทเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลง เก็บกระเป๋าเตรียมตัวจะเดินผ่านร่างสูงไปโดยไม่คิดจะทักทาย แต่เขาก็ทำลายความตั้งใจของฉันด้วยการคว้าข้อมือเล็กไว้ได้ทันก่อนที่ฉันจะสามารถแฝงตัวเข้าไปในฝูงคนได้สำเร็จ
ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉันกับพีทพร้อมกับเสียงซุบซิบ ฉันลอบถอนหายใจ เงยหน้ามองพีทแล้วพูดเสียงเรียบ
“ปล่อย”
“เดี๋ยวก่อน” เขาพูดโดยไม่มองหน้าฉัน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องเข้าไปในห้องเหมือนกำลังตามหาใครบางคน ผ่านไปประมาณห้าวินาทีเขาก็เจอเป้าหมาย พีทดึงมือฉันให้เดินกลับเข้าไปในห้อง…ซึ่งมีปืนอยู่
“นี่ หยุด…”
“มึงคิดว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่?”
“….”
ฉันขมวดคิ้วเมื่อพีทเดินผ่านปืนไปหากลุ่มของเป้ที่กำลังจะเดินลงบันได…เขาไม่ได้มาหาเรื่องปืนหรอกเหรอ?
“อะไร? กูทำอะไร?”
แววตาของเป้เริ่มสั่นไหว แต่เขาก็ยังปากดีไม่เลิก
“มึงลวนลามแฟนกู” พีทกระชากคอเสื้อเป้ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟัน “มึงอยากตายนักใช่มั้ยไอ้เศษสวะ”
“อึก ปละ ปล่อยกู!”
เป้พยายามดึงมือพีทออกพร้อมกับส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้เพื่อน แต่ใครจะกล้ามีเรื่องกับพีทล่ะ ถึงเขาจะโหดไม่เท่าปืน แต่เขาก็อยู่ในแก๊งอสรพิษเหมือนกัน…
…แค่เป็นสมาชิกของแก๊งอสรพิษก็การันตีเรื่องความเลือดเย็นได้แล้ว
ปึง!
“อ๊ากกกก”
พีทเอื้อมมือไปจับท้ายทอยของเป้แล้วกระแทกเขาเข้ากับขอบโต๊ะ และมันไม่ได้จบแค่รอบเดียวซะด้วยสิ
ปึง! ปึง! ปึง!
“พีท พอแล้ว…พอแล้ว!!”
แม้จะไม่มีเสียงร้องออกมาจากปากของเป้แล้วแต่พีทก็ยังไม่หยุด ขอบโต๊ะสีขาวถูกแต่งแต้มไปด้วยเลือดเป็นวงกว้าง ฉันเห็นท่าไม่ดีจึงดึงตัวพีทเอาไว้พร้อมกับพูดเสียงสั่น
“พอเถอะ เดี๋ยวเขาก็ตายกันพอดี”
“ก็อยากให้มันตายอยู่”
“…เรายังอยู่ในมหาลัยนะพีท”
“เฮ้อ”
ฟุ่บ
พีทกลอกตามองเพดานก่อนจะปล่อยเป้ลงบนพื้น เขายังหายใจอยู่ ตาบวมตุ่ย หน้าผากมีรอยแผลแตกรอยใหญ่ จมูกมีเลือดกำเดาไหลออกมาเป็นทางยาว
“ขอโทษอาลัวซะ”
พีทบังคับให้เป้นั่งคุกเข่าแล้วกดท้ายทอยของเขาลงจนหน้าแนบพื้น
“ขะ ขอโทษ…”
“พูดดังๆ สิวะ ทีตอนทำเรื่องเหี้ยๆ ยังป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้ได้เลย”
“ขอโทษ! ขอโทษครับ!!”
“….”
“พวกมึงด้วย”
“ขะ ขอโทษ…พะ พวกเราขอโทษนะอาลัว”
กลุ่มของเป้พากันคุกเข่ากราบเท้าฉันอย่างกลัวตาย ฉันเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น…ฉันควรจะสะใจมั้ยนะ?
“เธอยกโทษให้พวกมันรึเปล่า?”
“ฮะ เอ่อ…อะ อืม” ฉันพยักหน้า ไม่กล้าสบตากับพีทด้วยซ้ำ
หมับ
มือเล็กถูกมือหนาคว้าไปกุมไว้แน่นก่อนที่เสียงอันทรงอำนาจจะเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีคล้ำ
“ฟังเอาไว้ให้ดีนะ”
เขาตวัดสายตาไปมองคนที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่นอกห้องแล้วหันมาปืน…
…ปืนหันมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“อาลัวเป็นแฟนกู ต่อจากนี้ถ้ากูเห็นใครรังแกเธออีก กูไม่เอาไว้แน่!!!”
จบประโยคนั้น พีทก็พาฉันออกจากห้อง พวกเราเดินผ่านปืน และหางตาของฉัน…ดันเหลือบไปเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขา
เป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยล่ะ
//
ตึก ตึก ตึก
“ปล่อยมือเราได้แล้ว”
เมื่อเช็กจนแน่ใจแล้วว่าตรงนี้ไม่มีคนอื่น ฉันจึงหยุดเดินแล้วสะบัดมือออกจากการเกาะกุม
“ทำไม? รังเกียจกันนักรึไง?”
“อืม”
“….”
“ทำไมพีทถึงบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนพีท?”
“ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่รึไง”
“เหอะ”
ฉันอยากหัวเราะกับคำพูดเมื่อครู่ให้ฟันร่วงหมดปาก
เป็นแฟนกันเนี่ยนะ?
พูดออกมาได้ เฮงซวย!
“เราไม่เคยเป็นแฟนนาย”
“แต่ทุกคนคิดว่ามันเป็นแบบนั้น” สีหน้าของพีทเรียบเฉย ไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยสักนิด “และถ้าเธอยังอยากเรียนต่อจนจบ เธอก็ต้องแสดงละครต่อ”
“….”
“เธอมีทางเลือกซะที่ไหนล่ะอาลัว”
ฉันกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ รู้สึกโกรธแต่ก็เถียงไม่ได้เพราะสิ่งที่เขาพูดมันเป็นความจริง
ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ถ้าฉันปฏิเสธสถานะแฟนจอมปลอมของพีท เป้จะต้องตามมารังควานฉันอีกแน่ และนอกจาเป้ก็ยังมีอีกหลายคนที่เกลียดและอยากทำลายฉัน ทั้งชายและหญิง ฉันอยู่ไม่รอดจนถึงปลายเทอมหรอก
“รู้เอาไว้ด้วยว่าที่เราเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะนาย”
ฉันพูดเสียงเบาแต่มั่นใจว่าอีกฝ่ายได้ยินทุกถ้อยคำ
พีทเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเอียงคอมองฉันยิ้มๆ
“แสดงว่าเธอยอมเป็นแฟนฉันแล้ว?”
“…ก็แค่แฟนหลอกๆ”
“อือออออฮึ”
“นายต้องรับปากเรามาก่อนว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก”
“ถ้ามันไม่มายุ่งกับเธอก่อน…”
“พีท” ฉันจ้องตาเขาอย่างจริงจัง “เราไม่อยากมีเรื่องกับใคร แค่นี้เราก็ถูกเกลียดจะแย่แล้ว เพราะงั้นขอเถอะ…อย่าทำให้เรื่องมันแย่ลงไปมากกว่านี้เลย”
“….”
“เรารู้ว่านายมองเราเป็นแค่เครื่องมือ แต่เราก็เป็นมนุษย์เหมือนๆ กันกับนาย เราทำตามที่นายบอกทุกอย่างอยู่แล้ว นายช่วยสงสารเราหน่อยเถอะ”
“ก็ไม่เห็นต้องดราม่าขนาดนั้น”
พีทพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า
“โอเค ฉันจะไม่ทำร้ายคนอื่นแล้ว…ทีนี้เราไปกินข้าวกันได้ยัง”
“…เราอยากกินคนเดียว”
ฉันจะทานข้าวกลางวันได้ยังไงในเมื่อฉันไม่มีเงินสักบาทน่ะ
“ไม่ได้ เป็นแฟนกันก็ต้องกินข้าวด้วยกันสิ เดี๋ยวคนก็สงสัยพอดี”
“แต่เรา…พีท!! ปล่อยเรานะ”
“ฮะๆ เธอนี่ดูจะชอบคำว่าปล่อยมากเลยนะ”
….
พูดไปก็เท่านั้นแหละ ยังไงพีทก็ไม่ฟังอยู่ดี
สุดท้ายฉันก็ถูกเขาลากมาโรงอาหารของคณะนิเทศจนได้
“ฉันยังไม่เคยกินข้าวคณะนี้เลย ช่วยแนะนำหน่อยสิ”
พออยู่ต่อหน้าผู้คนปุ๊บ ละครฉากใหญ่ก็เปิดม่านปั๊บ
คนมองเราสองคนตั้งแต่เท้าก้าวแรกเหยียบพื้นโรงอาหารแล้ว บางคนถึงกับยกกล้องขึ้นมาถ่ายเพื่อส่งต่อให้เพื่อนดู และพอพีทเห็นแบบนั้นก็ยิ่งได้ใจ เขาโอบไหล่ฉันแล้วเดินว่อนไปทั่วเหมือนกำลังเดินแบบ ส่วนฉันก็ทำในสิ่งที่ถนัดที่สุดคือ…ปั้นหน้านิ่ง
“กินราดหน้ากันมั้ย?”
“…แล้วแต่นายเถอะ”
ฉันพูดพลางหันไปมองรอบๆ ตัวเพื่อให้แน่ใจว่าปืนไม่ได้อยู่ที่นี่
ฉันกับปืนเรียนคณะเดียวกัน ปกติปืนไม่ค่อยโผล่มาที่โรงอาหารอยู่แล้ว แต่ฉันมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าวันนี้ฉันจะเจอเขาที่นี่…
ตึก
…แล้วก็เจอจริงๆ
ถ้าซื้อหวยแม่นแบบนี้ก็ดีน่ะสิ
กระจกบานเล็กบนกำแพงร้านสะท้อนภาพของปืนซึ่งอยู่ด้านหลังฉัน ฉันกลืนน้ำลายลงคอโดยอัตโนมัติ หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำด้วยความหวั่นวิตก ยิ่งรู้ว่าดวงตาสีควันบุหรี่กำลังจ้องฉันอยู่ ฉันก็ยิ่งเหงื่อแตกซ่ก ซวยกว่านั้นคือพีทเห็นปืนแล้ว เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาโอบเอวฉันแน่น
“พีท” ฉันกระซิบเสียงเบา
“ฉันไม่ทำอะไรหรอกน่า สัญญา” พูดด้วยสีหน้าระรื่นแบบนั้นใครมันจะไปเชื่อล่ะ!?
หนึ่งนาทีเหมือนหนึ่งปีไม่เกินจริง กว่าจะถึงคิวสั่งอาหาร ฉันเกือบจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว รีบๆ สั่งแล้วรีบๆ ไปนั่งเถอะ!
“เราไม่เอานะ”
“งั้นเธอจะกินอะไร?”
“เราไม่หิว…”
“ไม่หิวหรือไม่มีเงิน”
“….”
“เอาราดหน้าหมี่กรอบสองจานครับ” พีทหันไปสั่งอาหารกับป้าแล้วเขยิบไปตรงบริเวณรอรับ เขาหันมาพูดกับฉันเป็นเชิงล้อเลียน
“เพราะไม่กินข้าวไงถึงได้เตี้ยแบบนี้”
“เดี๋ยวเถอะ!” ฉันชูกำปั้นทำท่าจะทุบอีกฝ่ายแต่เขากลับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
โอ๊ยยย หงุดหงิดชะมัด!
“ราดหน้าหมี่กรอบสองจานได้แล้วจ้า”
“ขอบคุณค่ะ”
พีทมองฉันเล็กน้อยก่อนจะ…
“…ขอบคุณครับ”
อะไร อย่าบอกนะว่าเขาพูดขอบคุณตามฉันน่ะ
“มองทำไม?”
“เปล่า ก็แค่…”
ฉันรีบเบือนหน้าหนีเมื่อถูกจับได้ แต่สงสัยจะหันไปผิดทางถึงได้เจอกับสายตาอาฆาตแค้นของผู้ชายอีกคน
“….”
วินาทีที่ได้สบตากับปืน…ลมหายใจของฉันก็หยุดชะงักลง
ตึกตัก ตึกตัก
ขนทั้งกายลุกชัน ขาก้าวไม่ออก
รู้สึกเหมือนกำลังถูกจับกดน้ำไม่มีผิด…
“อาลัว”
เฮือก!
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่า เราโอเค…เราโอเค” ฉันไม่ได้บอกพีทหรอก ฉันบอกตัวเองต่างหาก
“ระ เราไปกันเถอะ”
“…ก็ได้”
ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้
แต่สายตาของปืนเมื่อครู่เหมือนกำลังส่งสัญญาณให้ฉันรับรู้ว่า…
…เวลาของฉันเหลืออีกไม่นานแล้ว
