บทที่ 5 ชะตาชีวิตที่ผันเปลี่ยน
บทที่ 5
ชะตาชีวิตที่ผันเปลี่ยน
ซ่งอวี้จินเอ่ยเสริมให้พวกเขาสบายใจขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ดูจะยังวิตกกังวลอยู่เลยไม่มีใครอยากจะอยู่ใกล้เธอเท่าไรนัก ตอนเช้าเธอเลยต้องทำงานด้วยความเงียบเหงา
เมื่อตั้งใจทำงานไปถึงช่วงเวลาเที่ยง ที่ดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงอย่างแรงกล้า ซ่งอวี้จินที่เกิดอาการหิวโซ เพราะใช้แรงเยอะจากการทำงานประกอบกับร่างกายยังไม่ฟื้นฟูจากอาการป่วยดี จึงเดินไปหาป้าสะใภ้ที่ทำงานที่มุมหนึ่งของคอมมูน
“คุณป้าคะ ฉันขอกินข้าวสักหน่อยได้ไหมคะ” ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงาน
ทว่าซ่งหรูเจียงผู้เป็นป้าสะใภ้ กลับทำเพียงปรายตามองเธออย่างเหยียดหยาม และเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“แกทำงานเองได้ ก็หากินเองสิ” เมื่อซ่งหรูเจียงกล่าวจบก็หันไปทำงานต่อ โดยไม่สนใจอวี้จินอีกเลย
นี่จะไม่ยอมให้เธอกินข้าวเลยจริง ๆ เหรอ
“แต่ฉันหิวมากเลยนะคะ อีกอย่างฉันก็ไม่มีเงินเลยด้วย คุณป้าแค่ให้ข้าวฉันสักมื้อ เป็นรางวัลที่ฉันตั้งใจช่วยงานไม่ได้เหรอคะ”
ซ่งอวี้จินพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขอร้อง ทว่ากลับไม่ได้ทำให้คนที่ใจดำอยู่แล้วเปลี่ยนความตั้งใจได้เลย มือซึ่งเริ่มเหี่ยวย่นผลักศีรษะเธอไม่แรงนักคล้ายเป็นคำเตือน
“เอ๊ะ อวี้จิน! ทำงานไม่ได้เรื่อง ยังจะกล้ามาทวงข้าวจากฉันอีกหรือ รีบไสหัวไป ก่อนที่ฉันจะโมโหมากไปกว่านี้”
ซ่งหรูเจียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดรำคาญ สายตาของเธอมอง หลานสาวราวกับมองเศษขยะกองหนึ่ง
“ป้าทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงคะ คิดจะแกล้งกันเหรอคะ”
ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริกอย่างคนทำตัวไม่ถูก ใบหน้าของเธอมีน้ำตาคลอเบ้าจนดูน่าสงสาร
“ฉันบอกให้ไสหัวไป !!” ซ่งหรูเจียงเอ่ยออกมาแล้วผลักหลานสาวด้วยน้ำหนักมือที่แรงพอสมควร
ปึก!
“อ…โอ๊ย!!” เสียงร้องครางแห่งความเจ็บปวด เล็ดลอดออกมาจากปากของหญิงสาว
การทะเลาะวิวาทรุนแรง ถึงขนาดที่ว่าซ่งอวี้จินถูกผลักจนหัวกระแทกพื้น ตรงหน้าผากของเธอถูกกระแทกแตก มีเลือดไหลซึมออกมา จนต้องยกมือกุมไว้
คนในคอมมูนต่างก็ตกใจที่เห็นเด็กสาวถูกกระทำรุนแรง แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย เพราะเกรงว่าจะถูกลูกหลงเอาเสียก่อน
อีกทั้งอารมณ์ของซ่งหรูเจียงเองก็ดูไม่น่าเข้าใกล้เสียเท่าไรอีกด้วย
แต่ทว่าในขณะนั้นมีนายพลใหญ่เฉินห่าวหรานและเฉินเหยียนเมิ่ง ภรรยาของเขากำลังตรวจราชการดูอยู่ในบริเวณนั้นพอดี พอพบเหตุการณ์ที่เด็กสาวถูกทำร้ายเช่นนี้ จึงรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือในทันที
“เฮ้ คุณจะทำแบบนี้กับเด็กผู้หญิงไม่ได้นะ”
นายทหารชั้นนายพลอย่างเฉินห่าวหรานเอ่ยปรามซ่งหรูเจียงที่ตบ ซ่งอวี้จินอีกรอบ จนเด็กสาวหน้าหันไปอีกทาง
เมื่อเห็นยศของนายพลคนนี้แล้ว หญิงวัยกลางคนจึงหยุดการกระทำไว้ก่อน เพราะเกรงว่าจะถูกจับส่งทางการในข้อหาทารุณกรรมเด็ก
ขณะเดียวกันนั้น เฉินเหยียนเมิ่งก็ตรงเข้ามาประคองร่างเด็กสาวพลางแตะคางของเธอเบา ๆ โดยไม่รังเกียจสักนิด
“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” น้ำเสียงของเฉินเหยียนเมิ่งเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณหญิง” ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ แม้ว่าเธอจะรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งร่างกายก็ตาม
“แต่ดูว่าตรงนี้จะเจ็บหนักนะ เลือดออกด้วยนี่”
ภรรยาของท่านนายพลใหญ่นำผ้าสะอาดมาซับเลือดบนหน้าผากให้ก่อนจะแทนที่ด้วยการแปะปลาสเตอร์ลงบนบาดแผลนั้น ไม่ให้เชื้อโรคเข้าได้
ความห่วงใยที่เธอไม่เคยได้รับ ทำให้อวี้จินรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“อ่า...ขอบคุณมากค่ะ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความสั่นเครือ ซ่งอวี้จินก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ
เฉินห่าวหรานขยับกายมาบังเด็กสาวที่อยู่กับภรรยาของเขา เพื่อปกป้องไม่ให้หญิงวัยกลางคนคนนี้เข้ามาทำร้ายได้อีก ก่อนจะประกาศกร้าว
“หากคุณยังก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียวล่ะก็ ผมคงต้องส่งเรื่องที่คุณทารุณกรรมหลานตัวเองให้ทางการ ชีวิตที่สงบสุขของคุณคงจบแล้วละครับ”
ประโยคนี้ของเฉินห่าวหราน ทำให้ซ่งหรูเจียงแสดงท่าทีอ่อนลงทันที เหตุการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตร หญิงใจร้ายคนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายคุกเข่าอ้อนวอนแทน
“ไม่! โปรดอย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะท่านนายพล ฉันยังอยากใช้ชีวิตอยู่เหมือนเดิมค่ะ ได้โปรดอย่าแจ้งทางการเลยนะคะ”
ซ่งหรูเจียงเอ่ยอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาคลอเบ้า แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เธอดูน่าสงสารเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องปฏิบัติกับเด็กสาวคนนี้ให้ดี ให้ข้าวเธอกินเสียด้วย แล้วก็อย่าใช้กำลังทำร้ายเธอด้วยอารมณ์”
เฉินห่าวหรานพูดด้วยท่าทางเด็ดขาดน่ากลัว จนหญิงวัยกลางคนต้องยอมรับคำสั่งทุกอย่างโดยไม่กล้าบิดพลิ้ว
“ฉันทราบแล้วค่ะท่านนายพล” น้ำเสียงของซ่งหรูเจียงเต็มไปด้วยความอ่อนแรง
นั่นถือเป็นเรื่องดีอย่างมากสำหรับซ่งอวี้จิน ดูเหมือนนายพลและภรรยาของท่าน จะมาช่วยให้เธอได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นจากญาติอย่างคาดไม่ถึง โชคดีเหลือเกินที่พวกท่านมาตรวจราชการที่คอมมูนในวันนี้
ขณะที่ซ่งอวี้จินกำลังยิ้มดีใจอยู่คนเดียว เฉินเหยียนเมิ่งซึ่งกำลังทำแผลให้เธอตรงหัวเข่า กลับเกิดความรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาว เหมือนเธอเห็นเด็กสาวคนนี้เป็นลูกคนหนึ่งขึ้นมา โดยที่เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน
เด็กคนนี้คงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ทั้งยากและลำบาก ดูน่าสงสารเหลือเกิน คนที่น่าจะเป็นป้าของเด็กสาว ก็ไม่ได้เลี้ยงดูให้ดีตามสมควร ถึงได้ผอมแห้งถึงเพียงนี้
พลันในวูบหนึ่งของความคิด เฉินเหยียนเมิ่งอยากเป็นคนชุบเลี้ยงเด็กคนนี้ให้เติบโตมาอย่างดีเสียเอง เนื่องจากหลังจากที่แต่งงาน เธอเองก็ไม่ได้มีลูกกับสามีอยู่แล้ว
ดังนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยถามชื่อของเด็กร่างผอมแห้งคนนี้ พลางใช้มือเรียวบางลูบผมเด็กน้อยตรงหน้าด้วยสัมผัสนุ่มนวล
“ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ” เฉินเหยียนเมิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นประหนึ่งแม่พระที่มาโปรด
“อวี้จินค่ะ ฉันชื่อ ซ่งอวี้จิน” ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว เธอก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกประหม่า
ซ่งอวี้จินงั้นเหรอ…เฉินเหยียนเมิ่งทวนชื่อของเด็กสาวภายในความคิดของตนเอง แล้วยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
“ยินดีที่ได้รู้จักนะจินเอ๋อร์ เดี๋ยวฉันมานะ” เฉินเหยียนเมิ่งเอ่ยแล้วเดินไปหาสามีของตนเองที่กำลังยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง
เฉินเหยียนเมิ่งได้เห็นสภาพของซ่งอวี้จินแล้วเกิดรู้สึกสงสาร ประกอบกับอยากดูแลเลี้ยงดูให้เด็กสาวโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคตที่ดี เธอจึงลุกขึ้นมากระซิบกระซาบปรึกษากับสามี
“ห่าวหรานคะ ฉันอยากรับจินเอ๋อร์มาอุปการะค่ะ” เธอเอ่ยกับสามีด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่
ฝ่ายเฉินห่าวหรานที่ได้ยินในสิ่งที่ภรรยาข้างกายเสนอมานั้นรู้สึกทั้งมึนงงและสับสน
“คุณว่าอะไรนะ จินเอ๋อร์คือใคร ” เฉินห่าวหรานเอ่ยถามออกมาเพื่อย้ำความเข้าใจอีกครั้ง
“เด็กสาวคนนี้ที่เราช่วยเหลือไว้ค่ะ เธอชื่อซ่งอวี้จิน ถ้าคุณอยากจะเมตตาเธอสักหน่อย เธอเป็นเด็กน่าสงสารนะคะ”เฉินเหยียนเมิ่งแตะแขนสามีเบา ๆ ราวกับจะอ้อนวอน
อันเนื่องมาจากสาเหตุที่ว่าทั้งคู่ไม่ได้มีทายาทเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้ง ก็ไม่อาจมีทายาทตระกูลเฉินได้เสียที แม้จะผ่านช่วงแต่งงานมานานพอควรแล้ว เฉินห่าวหรานจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจภรรยา
“อย่างนั้นผมจะลองจัดการดูนะ”
เขาเดินไปเจรจากับซ่งหรูเจียงอีกครั้ง ด้วยท่าทีที่อ่อนลงจากเดิมเล็กน้อย “คงต้องขอเปลี่ยนข้อตกลงสักหน่อย เพราะว่าผมกับภรรยาต้องการรับซ่งอวี้จินไปเลี้ยงดู” เฉินห่าวหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ
“อะไรนะคะท่านนายพล ” ซ่งหรูเจียงรู้สึกเหมือนหูดับชั่วคราว จึงเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ผมต้องการรับซ่งอวี้จินไปเลี้ยง คุณจะอนุญาตหรือเปล่าครับ”
ประโยคที่เฉินห่าวหรานเอ่ยย้ำอีกครั้งนั้น ทำให้ซ่งหรูเจียงเงียบไปพักใหญ่
“เรื่องนี้…คงต้องคุยกับหัวหน้าตระกูลซ่งนะคะ” ซ่งหรูเจียงเอ่ยออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
กลายเป็นว่าเย็นวันนั้น เรื่องราวที่นายพลใหญ่ต้องการรับเลี้ยงซ่งอวี้จินก็ไปถึงหูของบ้านใหญ่ตระกูลซ่ง
และเมื่อท่านนายพลมาเจรจาขอรับซ่งอวี้จิน ไปเลี้ยงดูด้วยตัวเองถึงที่บ้าน พร้อมกับหัวหน้าหมู่บ้าน ที่จะต้องมาทำเรื่องตัดขาดซ่งอวี้จินจากตระกูลซ่งให้ถูกต้องและเด็ดขาด
