บทที่ 6 เฉินอวี้จิน คือชื่อเธอ
บทที่ 6
เฉินอวี้จิน คือชื่อเธอ
ทางญาติทั้งหลายในตระกูลซ่งเมื่อได้ยินแบบนั้นจึงได้ตาลุกวาว จากความโลภที่ครอบงำจิตใจ นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาสามารถหาเงินก้อนใหญ่ได้ จากการขายซ่งอวี้จินให้แก่ครอบครัวคนใหญ่คนโต
“การที่ตระกูลเฉินต้องการรับเลี้ยงซ่งอวี้จินเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ทราบว่าพวกคุณเห็นด้วยหรือไม่ครับ ผมพร้อมที่จะจ่ายให้ตระกูลของคุณแลกกับการพาเธอมาเลี้ยงดูให้มีอนาคตที่ดี” เฉินห่าวหรานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ โดยที่เฉินเหยียนเมิ่งและซ่งอวี้จินนั่งอยู่ใกล้ ๆ
พวกเขาปรึกษากันสักพักก่อน ที่ซ่งตวนผู้เป็นหัวหน้าตระกูลซ่งและมีศักดิ์เป็นลุงของอวี้จินจะเอ่ยออกมา
“ตระกูลซ่งของเราคงจะลำบากไม่น้อย หากไม่มีเรี่ยวแรงของอวี้จิน ช่วยทำมาหากิน นอกจากนั้น ตระกูลของเราก็ยังผูกพันกันมากอีกด้วย ดังนั้นผมจึงขอเสนอให้คุณจ่ายเงินสองพันหยวน เป็นค่าทดแทนความเสียใจที่พวกเราต้องเสียเธอไป โดยไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร” ซ่งตวนเอ่ยออกมา โดยใช้น้ำเสียงที่ดูเศร้าสร้อย ราวกับเขาเสียใจที่ต้องพลัดพรากกับหลานสาว
แม้ว่าประโยคนี้ของหัวหน้าตระกูลซ่งจะไม่ได้ดูเป็นห่วงอวี้จิน อย่างแท้จริงสักเท่าไรนัก แต่เนื่องจากนายพลใหญ่และภรรยาอยู่ในสถานะที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงใด ๆ เกี่ยวกับเด็กสาวเลย พวกเขาได้เห็นเพียงแค่สภาพตอนที่เธอลำบากเท่านั้น จึงเตรียมจะตอบตกลงด้วยความจำยอม
ทว่าทันใดนั้น เด็กสาวที่กำลังจะถูกนำไปอุปการะกลับยกมือเพื่อคัดค้านขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ทุกคนในที่นี้หันหน้าไปหาเธออย่างพร้อมเพรียงโดยพลัน แต่ต่างกันตรงที่ฝ่ายตระกูลซ่ง ไม่ได้มองเธอด้วยสายตายินดีเลยแม้แต่น้อย กลับกันสองสามีภรรยาตระกูลเฉิน ยังดูพร้อมจะรับฟังเธอมากกว่าหลายเท่านักหากประเมินด้วยความรู้สึกที่แฝงออกมาผ่านทางแววตา
ซ่งอวี้จินไม่ต้องการให้ท่านนายพลและคุณหญิงต้องเสียเงินให้กับคนเห็นแก่ตัวเหล่านี้โดยใช่เหตุ จึงใช้วิธีการพูดความจริงที่ตัวเองพบเจอมาตลอด เพื่อที่จะคัดค้านในสิ่งที่ซ่งตวนเอ่ยออกมา
“ตั้งแต่พ่อแม่ฉันตายไป พวกคุณแทบจะไม่ได้เลี้ยงดูฉันด้วยซ้ำ เอาแต่ใช้งานอย่างเดียวเก็บเกี่ยวจากการใช้แรงงานของฉันมาตลอด เรื่องการกินไม่ต้องพูดถึง หลายครั้งฉันต้องไปหากินเอาเอง เพราะฉะนั้นพวกคุณไม่มีสิทธิ์ในการเรียกร้องเงินจากพวกเขาเลยสักนิด”
เสียงของเด็กสาวสั่นเครือ เมื่อพูดถึงเรื่องในอดีตที่เธอเผชิญมาโดยตลอด
“ใช่ ฉันก็เห็นด้วย ตั้งแต่พ่อแม่ของอวี้จินตายไป พวกตระกูลซ่งก็ใช้งานเธอเหมือนกับเป็นทาส แบบนี้ไม่ควรจ่ายให้แม้แต่หยวนเดียว ถ้าหากยังเรื่องมากอยู่อีก ฉันนี่แหละที่จะจะจัดการส่งคนตระกูลซ่งให้ทางการจัดการในข้อหาทารุณกรรมคนในบ้านเอง” หัวหน้าหมู่บ้านรีบพูดขึ้น
ไม่ใช่ที่ผ่านมาเขาไม่เอาใจใส่ แต่เพราะตระกูลซ่งเป็นตระกูลใหญ่มาก่อน เขาจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่คราวนี้ถึงเวลาจะต้องปลดปล่อยซ่งอวี้จินสักที
เมื่อได้ยินดังนั้น ตระกูลซ่งก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยเธอไปโดยไม่อาจคัดค้านหรือเรียกร้องอะไรได้ เพราะว่าที่ผ่านมาพวกเขาทำเช่นนั้นกับเธอจริง ๆ แม้ว่าคนในตระกูลจะรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย จึงมองซ่งอวี้จินด้วยสายตาคาดโทษอยู่ตลอด แต่เธอก็ไม่หลบตาเลยสักนิด
“เรื่องจริงเป็นอย่างนี้เอง...เด็กไม่พูดโกหก ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอรับจินเอ๋อร์ไปเลี้ยงดูโดยไม่มีการจ่ายเงินให้พวกคุณแล้วล่ะครับ”
เฉินห่าวหรานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้น เมื่อได้ฟังทุกอย่างจากปากของอวี้จินและหัวหน้าหมู่บ้าน
“อย่างนั้นก็ขอให้รีบทำเอกสารตัดขาด ต่อไปห้ามเธอใช้แซ่ซ่งอีกเป็นอันขาด และให้เธอรีบ ๆ ย้ายออกด้วยนะครับ คนในตระกูลอยากจะไปพักผ่อนเต็มทน” ซ่งตวนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดรำคาญและไม่แยแสหลานสาวที่ไร้ประโยชน์
จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านก็ทำหนังสือตัดขาดซ่งอวี้จินจากตระกูลซ่ง และให้หัวหน้าตระกูลซ่งอย่างซ่งตวนลงนาม เมื่อลงนามเสร็จเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นคนแรกและเดินขึ้นห้องไป ตามด้วยหัวหน้าหมู่บ้านที่กลับไปบ้านของเขาเมื่อทุกงานเรียบร้อยแล้ว
“พวกเราขออนุญาต เพียงแค่ช่วยเธอย้ายของในห้องออกมาเท่านั้นครับ ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ทำเสียงดังรบกวนพวกคุณ” เฉินห่าวหรานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ครั้นเมื่อเอ่ยจบ เฉินห่าวหรานและเฉินเหยียนเมิ่ง จึงเดินไปช่วยเด็กสาวเก็บของที่ห้อง ซ่งอวี้จินไม่เหมือนเด็กทั่วไป ตรงที่ไม่มีของเล่นหรือแม้กระทั่งตุ๊กตาในห้องเลย มีเพียงรูปภาพพ่อแม่ใบเก่า ๆ ในกรอบรูป ที่เด็กสาวเอาติดกระเป๋าไปด้วย พร้อมกับเสื้อผ้าซีดโทรมที่พอใส่ได้บางชุด นอกจากนั้นก็มีเพียงข้าวของจำเป็น ที่รวบรวมได้เพียงหนึ่งกระเป๋าใบเล็ก
“สัมภาระมีแค่นี้เหรอจินเอ๋อร์” เฉินห่าวหรานเอ่ยออกมาราวกับไม่เชื่อสายตาของตนเอง
“ใช่ค่ะ…มีแค่นี้ค่ะ…” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
เฉินห่าวหรานไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงเดินไปรับกระเป๋าใบเล็กจากเด็กสาวมาถือไว้
“งั้นพวกเราไปกันเถอะจินเอ๋อร์” เป็นเสียงของเฉินเหยียนเมิ่งเอ่ยออกมา เธอส่งยิ้มให้กับอวี้จินด้วยความอ่อนโยน
ซ่งอวี้จินพยักหน้าทันทีโดยไร้ความลังเล แน่นอนว่าวัยเด็กอันโหดร้ายที่ผ่านมา ทำให้เด็กสาวได้เรียนรู้ว่าเธอไม่อาจคาดหวังอะไรจากคนในครอบครัวได้เลย วันหนึ่งครอบครัวนี้ก็อาจทิ้งเธอหรือขายเธอให้แต่งไปกับคนอื่นเพื่อแลกกับสินสอดได้เช่นเดียวกัน นั่นเป็นการมองโลกตามความเป็นจริง
ดังนั้นเธอจึงควรต้องมีอะไรสักอย่างเผื่อไว้ สำหรับความไม่แน่นอนในชีวิต นั่นทำให้เธอคิดถึงความฝันในตอนที่เธอนอนป่วยอยู่
ทว่าว่าที่พ่อแม่บุญธรรมเอาใจใส่เธอมากกว่าที่คาดไว้หลายเท่านักจนน่าประหลาดใจ ไม่ว่าเธอต้องการสิ่งใด หรืออยากทำอะไร ก็ดูเหมือนกับว่าพวกเขาพร้อมจะเนรมิตให้ทุกอย่าง พอเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว พวกเขาก็ถือของออกจากบ้านตระกูลซ่งไปใส่ในรถ แล้วขับรถออกไปยังสำนักงานราชการ เพื่อจดทะเบียนรับเธอเป็นบุญธรรม โดยไม่มีการสนใจคนตระกูลซ่งแม้แต่นิดเดียว
อาจจะไร้มารยาทไปสักหน่อย แต่การที่พวกเขาเอ่ยไล่พวกเธอทางอ้อมก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้รักษามารยาทเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุผลให้ทางนี้ต้องแสดงความเคารพใด ๆ
การรับรองบุตรบุญธรรมนั้นไม่ได้มีขั้นตอนอะไรมากมาย เพียงแค่ส่งเอกสารตัดขาดที่หัวหน้าหมู่บ้านจัดทำขึ้นให้นายทะเบียนและกรอกข้อมูลลงในเอกสารที่นายทะเบียนส่งให้ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมการดำเนินการอีกไม่กี่หยวน
ใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง ก็จัดการเรื่องเอกสารกันเสร็จสรรพ
เฉินห่าวหรานและเฉินเหยียนเมิ่งได้เป็นพ่อแม่บุญธรรมอย่างเป็นทางการของซ่งอวี้จินที่ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็น เฉินอวี้จิน แล้ว
จากนั้นจึงพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ หรือที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘บ้าน’ ทันที
