บทที่ 4 หวนกลับสู่ถิ่นเดิม
บทที่ 4
หวนกลับสู่ถิ่นเดิม
ภายในบ้านตระกูลซ่ง
เวลาผ่านมาจวนจะสองเดือนแล้ว ที่ซ่งอวี้จินได้หลับไปเพราะพิษไข้ ซ่งไป๋อิ๋นยืนกอดอกมองร่างของหลานสาวในไส้ โดยตรงหน้ามีหมอคนหนึ่งกำลังจับชีพจรของซ่งอวี้จินอยู่
“เป็นยังไงบ้างคะ ” ซ่งไป๋อิ๋นถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ชีพจรยังเต้นอยู่ คนไข้น่าจะอยู่ในสภาวะจำศีลครับ”
หมอที่จับข้อมือข้างซ้ายของซ่งอวี้จินอยู่เอ่ยออกมา เมื่อตรวจเสร็จเขาก็เก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าไป ซ่งไป๋อิ๋นมองร่างของหลานสาวแล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมาราวกับจะสมเพช
“เธอมีโอกาสจะฟื้นไหมครับหมอ”
เป็นเสียงของซ่งตวน ชายวัยกลางคนที่มีศักดิ์เป็นลุงของซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง คาดเดาความคิดเขาไม่ได้เลยจริงๆ
“ไม่สามารถตอบได้จริง ๆ คงต้องรอเวลาอย่างเดียว”
หมอวัยกลางคนเอ่ยออกมา พร้อมกับยกกระเป๋ามาสะพายเอาไว้ เขาก้มหัวให้กับญาติทั้งสองของคนไข้เพื่อเป็นการบอกลา
“เจอกันอาทิตย์หน้านะครับ” เขากล่าวจบแล้วเดินออกจากห้องไป
ปัง!
เสียงปิดประตูดังขึ้น ซ่งไป๋อิ๋นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอเดินไปจับคางของซ่งอวี้จินแล้วโยกมันส่ายไปมาอย่างไม่พอใจ
“เด็กคนนี้สร้างภาระจริง ๆ จะตายก็ไม่ตายสักที”
ซ่งตวนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดเป็นอย่างมากหลังจากไม่มีคนนอกอยู่ในห้องแล้ว สายตาจงเกลียดจงชังจ้องมองร่างของหลานสาวในไส้ที่ยังคงนอนแน่นิ่ง
อย่างที่คุณหมอบอก ตอนนี้เธอกำลังจำศีลอยู่
“ปล่อยไว้แบบนี้แหละพี่ตวน ไปกันเถอะ” ซ่งไป๋อิ๋นเอ่ยออกมาแล้วเดินไปจับแขนพี่ชายและพาออกจากห้องไป โดยไม่สนใจไยดีร่างที่ผอมแห้งที่นอนหายใจเบาๆ อยู่ในห้องเลยแม้แต่น้อย
เฮือก! !
หลังจากที่ซ่งไป๋อิ๋นและซ่งตวนเดินออกจากห้องไปไม่นาน ร่างของ ซ่งอวี้จินก็กระตุกขึ้นทันที พลันดวงตาที่ปิดมานานเกือบสองเดือนของเธอเบิกกว้างขึ้น ราวกับกำลังเจอสิ่งที่น่าตกใจบางอย่าง
“แฮ่ก ๆ …” เสียงหอบหายใจกระชั้นชิดดังออกมาจากริมฝีปากของซ่งอวี้จิน เธอกะพริบตาสองสามที เพื่อให้ดวงตาหายพร่ามัว
สิ่งแรกที่เธอเห็นคือร่างกายที่ซูบผอมของตนเอง ดูเหมือนว่าเธอจะตัวสูงขึ้นประมาณสองเซนติเมตรได้ แต่ก็ยังคงผอมแห้งเหมือนเคย
มือของซ่งอวี้จินสั่นระริกราวกับคนทำอะไรไม่ถูก เธอยกมือที่สั่นเทาขึ้นมาบีบแก้มของตนเองอย่างแรงเพื่อเรียกสติ
“อ…โอ๊ย…เจ็บชะมัด…”
เพราะเล็บของเธอยังไม่ถูกตัดให้สั้น ทำให้อวี้จินเผลอใช้เล็บจิกลงไปบนแก้มจนเป็นรอยแดง ศีรษะถูกสะบัดไปมาสองสามที ทำให้เธอได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
นี่คือห้องของเธอ และเธอกลับมาแล้ว
ซ่งอวี้จินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ต่างออกไปคงเป็นฝุ่นที่จับข้าวของเครื่องใช้ จนทำให้เธออยากจะจามสักร้อยรอบ
“ฉัน…ยังไม่ตาย…”
ซ่งอวี้จินลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปตรงกระจกบานใหญ่ภายในห้องของเธอ มือผ่ายผอมถูกยกขึ้นมาปัดฝุ่นที่เกาะหนาออกจากกระจก เพื่อให้สามารถใช้งานมันได้
“แค่ก ๆ” เสียงจามที่เกิดจากฝุ่นดังขึ้น
ซ่งอวี้จินโบกมือไล่ฝุ่นสองสามที แล้วมองตนเองภายในกระจกด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ
เธอยังมีชีวิตอยู่! ซ่งอวี้จินยิ้มออกมาราวกับเจอสิ่งล้ำค่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่สมบัติอะไร มันคือชีวิตของเธอนี่เอง
แต่ไม่ทันที่ซ่งอวี้จินจะได้ดีใจนานมากนัก เธอก็ได้ยินเสียงรองเท้าที่กระทบลงกับพื้นจากข้างนอก และปลายทางของมันคือห้องที่เธออยู่
แกร๊ก !
เสียงเปิดประตูดังขึ้น เป็นร่างของซ่งไป๋อิ๋นที่เข้ามา เพราะได้ยินเสียงไอและจามมาจากในห้อง เดิมทีเธอคิดว่าตนเองหูฝาด แต่พอเข้ามาเธอก็พบต้นตอของเสียง
“ตื่นแล้วเหรอ ดี พรุ่งนี้ไปทำงานที่คอมมูนด้วยล่ะ”
ประโยคแรกหลังจากที่ซ่งอวี้จินได้ยินตอนที่ได้กลับมาโลกเดิม ไม่ใช่ประโยคแสดงความห่วงใย แต่มันคือประโยคคำสั่งให้ไปทำงานต่างหาก
“ป้าคะ…คือฉันเพิ่งตื่น”
ไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบ ซ่งไป๋อิ๋นก็สวนกลับมาด้วยเสียงที่ดังพอสมควร
“นี่! อย่ามาต่อรองกับฉันนะ! แกหลับไปเกือบสองเดือน! ฉันไม่เอาร่างของแกไปฝังก็ดีแค่ไหนแล้ว !” ซ่งไป๋อิ๋นชักสีหน้าแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ซ่งอวี้จินจึงทำได้แค่ก้มหน้าลง เพราะไม่อยากฟังถ้อยคำบั่นทอนจิตใจอีกแล้ว
“ค่ะ” สุดท้ายเธอก็ต้องจำยอม
ซ่งไป๋อิ๋นกระแทกส้นเท้าแล้วเดินออกจากห้องไป
ซ่งอวี้จินเดินไปนั่งตรงเตียงของตนแล้วเอนกายลงไป เธอต้องข่มตาให้หลับในคืนนี้ เพื่อเก็บแรงไว้ใช้ในการทำงานวันพรุ่งนี้…
ซ่งอวี้จินกลับมาทำงานที่คอมมูนที่เธอคุ้นเคยอีกครั้ง ด้วยความที่เธอหายหน้าหายตา จากการที่จิตวิญญาณล่องลอยไปอนาคตมาเกือบสองเดือน ทำให้คนอื่น ๆ ต่างก็สงสัยว่าเธอหายไปไหนมากันแน่
“อ้าว นี่อวี้จินยังมีชีวิตอยู่อีกรึ”
แม้จะดูเป็นประโยคที่ไม่น่ารับฟัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการหายหน้าหายตาของเธอ ทำให้ผู้คนต่างก็คิดว่าเธอเสียชีวิตไปเสียแล้ว
“นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก” เป็นเสียงของลุงคนหนึ่งเอ่ยทัก
“นั่นน่ะสิ หายหน้าหายตาไปตั้งเกือบสองเดือน ไม่มีใครเห็นเลย ไปไหนมาล่ะ” เสียงของป้าคนหนึ่งที่กำลังทำงานอยู่เอ่ย
ซ่งอวี้จินแสดงสีหน้าแห่งความลำบากใจออกมา แต่ทว่าเพียงครู่เดียว เธอก็นึกข้อแก้ตัวที่ฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาได้จึงตอบไปด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ
“เอ่อ…ฉันหายไปเพราะล้มป่วยจากพิษไข้ หมอกลัวว่าฉันจะแพร่เชื้อโรคให้คนอื่น ก็เลยให้กักตัวเอาไว้ก่อน ใช้เวลาตั้งหลายเดือนเลยค่ะ กว่าจะหาย” ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ
คนอื่น ๆ ในคอมมูนที่ได้ยินดังนั้น จึงพากันมองซ่งอวี้จินด้วยสายตาหวาดระแวง เพราะกลัวว่าเธอจะมาแพร่เชื้อโรคใส่ แม้ประเทศจีนจะรักษาโรคด้วยสมุนไพรเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังมีการแพทย์ค่อนข้างก้าวหน้าไปไกลกว่าชาติอื่น แต่ถึงอย่างนั้น คนในคอมมูนแห่งนี้ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการรักษาโรคติดต่อสักเท่าใดนัก
“ตอนนี้ฉันหายจากโรคนั้นแล้วจริง ๆ นะคะ”
เธอรีบเอ่ยออกมาเมื่อเห็นทุกคนในคอมมูนแสดงสีหน้ารังเกียจ การที่ทุกคนทำสีหน้าเช่นนั้น ทำให้เธอรู้สึกแย่ยิ่งนัก
“อย่ามาแพร่เชื้อโรคใส่ฉันนะ ฉันยังไม่อยากไปหาหมอ” คุณป้าท่านหนึ่งแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แล้วขยับหนีห่างจากเธอไปหลายเมตรพอสมควร
“สบายใจได้ค่ะ ไม่มีใครติดโรคแน่นอน”
