บทที่ 3 นี่ฉันกำลังจะตายอีกแล้วเหรอ
บทที่ 3
นี่ฉันกำลังจะตายอีกแล้วเหรอ
ส่วนซ่งอวี้จินนั้นแม้ว่าเธอไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้ ทำให้เธอทำได้เพียงฟังและยืนดูกระบวนการทำเพียงเท่านั้น แต่ที่ทำให้เธอแปลกใจคือสิ่งที่หญิงสาวคนนั้นพูดสอนทุกคนนั้นหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ โดยที่เธอไม่ต้องตั้งใจจดจำเลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกว่ามันดูน่ามหัศจรรย์มากจริง ๆ
หลังจากจบการเรียนการสอนในวันนี้ กลุ่มของเสี่ยวเหมยก็เดินออกจากห้องเรียนไป ส่วนซ่งอวี้จินก็รีบตามไปติด ๆ
ระยะเวลาผ่านไป อวี้จินเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองใช้เวลาอยู่ในยุคนี้มานานแค่ไหนแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอสนุกกับที่นี่จริง ๆ มันดีเสียยิ่งกว่าตอนที่เธออยู่ที่โลกเก่าเสียอีก วันนี้เธอก็เดินตามกลุ่มของเสี่ยวเหมยมาเช่นเคย และเธอก็ยังรู้อีกว่าวันนี้จะมีการสอนแต่งหน้าในชั้นเรียนด้วย
“น่าสนุกแฮะ!”
เพราะเป็นเรื่องที่ตนเองยังไม่เคยเรียนรู้ ซ่งอวี้จินจึงกระตือรือร้นเป็นพิเศษ วันนี้ในห้องเรียนเต็มไปด้วยนักศึกษาซึ่งมากกว่าปกติ เธอจึงอนุมานว่าคนส่วนใหญ่น่าจะชอบเรียนวิชานี้กัน
รอไม่นานเสียงกริ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของอาจารย์สาวคนเดิมที่เคยสอนในคาบเรียนทำลิปสติก
“วันนี้นักศึกษาทุกคนดูตื่นเต้นกันนะคะ” อาจารย์สาวเอ่ยอย่างหยอกล้อ
“โธ่ หมิงเหล่าซือก็~” เป็นเสียงของนักศึกษาสาวที่นั่งตรงหน้าห้องพูดออกมา
“โอเค ๆ เหล่าซือไม่แกล้งแล้ว จับคู่กันได้เลยนะคะ วันนี้เราจะเรียนการแต่งหน้าให้สวยงามกัน”
หลังจากที่หมิงเหล่าซือเอ่ยจบ นักศึกษาทุกคนก็แบ่งกลุ่มกันจับคู่กันทันที ทุกคนนำเครื่องสำอางกันมาเองอย่างเตรียมพร้อมและเริ่มลงมือแต่งหน้าให้กับเพื่อนของตนเองทันที
ส่วนอวี้จินก็เดินไปดูการแต่งหน้าของทุกคน เธอหยุดพิจารณาตรงนักศึกษาคู่หนึ่งที่ดูเหมือนว่าคนที่เป็นฝ่ายแต่งหน้า ให้จะกรีดขอบตายาวเกินไปหน่อย
และอีกเช่นเคย เหมือนซ่งอวี้จินจะเรียนรู้การแต่งหน้าจากประสาทสัมผัส เพราะเพียงเธอวาดมือไปตรงหน้า เครื่องสำอางต่าง ๆ ก็เหมือนจะติดมือของเธอมา ที่ที่น่าแปลกใจคือ เครื่องสำอางเหล่านั้นยังอยู่ที่เดิม นั่นทำให้เธอยิ้มออก และลองเอาลิปสติกมาทางปากตัวเอง ซึ่งผลที่ได้รับก็คือ ปากของเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ นั่นทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างชอบใจ และกวาดเครื่องสำอางของทุกคนมาไว้ในมือ ซึ่งพอมาถึงมันก็หายไป แต่พอเธอนึกถึง มันก็ปรากฏขึ้นมาเหมือนกับเธอกำลังเล่นกลอยู่
“หางตายาวมากเลยแฮะ” ซ่งอวี้จินเอ่ยออกมาแล้วเดินไปดูหลายคู่กำลังแต่งหน้าให้กันอยู่ เธอจดจำทุกอย่างเข้ามาในหัว
“อันนี้ก็เลือกรองพื้นขาวเกินไป”
เธอเอ่ยแล้วเดินไปเรื่อย ๆ จนเสียงกริ่งหมดคาบดังขึ้น ทุกคนได้รับข้อคิดเห็นให้ไปปรับปรุงจากหมิงเหล่าซือและแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง…
ซ่งอวี้จินที่เพิ่งออกมาจากวิทยาลัยได้ แต่เดินเตร็ดเตร่ตามท้องถนนอีกตามเคย ตอนนี้คงค่ำมากแล้ว เธออนุมานจากการที่ท้องฟ้ามืดลงไปจนสามารถมองเห็นพระจันทร์ที่คอยทำหน้าที่ส่องแสงให้ความสว่างในยามกลางคืนอยู่ราง ๆ
วันนี้ดูเหมือนจะมีเทศกาลบางอย่าง ตามถนนหนทางมีร้านค้าหลากหลายที่มาตั้งร้านขายของเต็มไปหมด ทั้งพวงกุญแจ เครื่องประดับ เครื่องดื่มและอาหารมากมายหลายชนิดอีกทั้งผู้คนต่างก็แต่งกายกันอย่างสวยสดงดงาม ราวกับจะไปประกวดแข่งขันอย่างไรอย่างนั้น
“…” ซ่งอวี้จินเหลือบไปเห็นร้านอาหารที่มีครอบครัวหนึ่งกำลังทานอาหารอยู่ พ่อวัยกลางคนกำลังใช้ผ้าเช็ดปากให้กับบุตรสาวของตนเอง โดยมีแม่ที่ยิ้มอย่างสุขใจมองอยู่ข้าง ๆ
ครอบครัว…นั่นคือครอบครัวที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด
ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพุ่งเข้ามาโจมตีเธออีกครั้ง ซ่งอวี้จินเลือกที่จะเคลื่อนสายตาออกจากภาพบาดใจแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ ตามถนน ตอนนี้ตึกรามบ้านช่องล้วนติดไฟประดับ เมื่อเปิดไฟขึ้นพร้อมกัน ทำให้ตอนนี้มีแสงสีละลานตา ซ่งอวี้จินเงยหน้ามองตึกที่ปรากฏภาพของนางแบบเครื่องสำอาง เธอเหม่อมองภาพนั้นเป็นเวลานาน
ปี้น! ปี้น !
เสียงแตรรถทำให้เธอตกใจจนได้สติขึ้นอีกครั้ง ซ่งอวี้จินเลือกที่จะเดินไปดูร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่งที่มีคนมุงดูมากเป็นพิเศษ
“สวยมาก…” เสียงของซ่งอวี้จินเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ เมื่อเห็นแหวนที่มีเพชรน้ำดีประดับอยู่ คนที่หยิบมันขึ้นมาคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่แต่งตัวดูภูมิฐานเป็นอย่างมาก
“จะซื้อไปขออาหลินแต่งงานเหรอ ”
เพื่อนชายที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังจะซื้อแหวน ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มที่ถือแหวนอยู่แสดงอาการเขินอายออกมา เขาพยักหน้าเบา ๆ ตอบรับคำพูดของเพื่อนชาย
“ใช่ ฉันจะซื้อไปขออาหลินแต่งงานน่ะ”
คำตอบนั้นทำให้ซ่งอวี้จินรู้สึกอิจฉาคนที่ชื่ออาหลินเป็นอย่างมาก ที่มีผู้ชายที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ต้องการขอเธอแต่งงาน
“ชีวิตนี้ฉันจะมีความทรงจำดี ๆ แบบนี้ไหมเนี่ย…” ซ่งอวี้จินเอ่ยแล้วเดินออกจากร้านขายเครื่องประดับไป พร้อมกับความรู้สึกที่เศร้าสร้อย…
เวลาค่อย ๆ คืบคลานผ่านไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ซ่งอวี้จินรู้สึกได้ว่ามันดึกมากแล้ว โดยหากเป็นปกติเธอคงไปหาที่สงบ ๆ นั่งมองดาวสักที่ แต่ในวันที่มีเทศกาลเช่นนี้ เธอเลือกที่จะมองดาวตรงร้านขายอาหารริมถนน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีดาวให้เธอมอง เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างจุดพลุยิงขึ้นบนท้องฟ้าในยามราตรีกันเต็มไปหมด
ปุ้ง! ปุ้ง !
เสียงพลุดังขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกซ่งอวี้จินก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง แต่หลังจากปรับตัวมาได้สักพัก ก็รู้สึกเริ่มชินจนไม่ตกใจแล้ว เธอยืนอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นกับร่างวิญญาณของเธอ
“อะไรกัน…” ซ่งอวี้จินก้มลงมองมือของตนเองที่เริ่มเลือนหายไป
สิ่งที่เห็นทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนักและเมื่อก้มลงไปมองขาของตนเองมันก็เริ่มเลือนรางหายไปเฉกเช่นเดียวกัน
คราวนี้…เธอจะตายจริง ๆ แล้วเหรอ…
ใบหน้าของเธอมีหยาดน้ำตาไหลลงมา ความเสียใจเริ่มเกาะกินจิตใจของเธอไปเรื่อย ๆ จนเธอรู้สึกหนักอึ้งไปหมด ยิ่งได้เห็นว่ามันเริ่มพร่าเลือนจนถึงเอวของเธอ ซ่งอวี้จินก็ร้องไห้ออกมาทันที
“ฮึก…ฮือ…” แต่เพราะเธอเป็นวิญญาณจึงไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอ รอบตัวของเธอเต็มไปด้วยผู้คนที่เฝ้ารอเวลาที่จะเริ่มต้นปีใหม่อยู่ เสียงเพลงและเสียงพลุยังคงดังก้องเต็มสองหูขอเธอ ซ่งอวี้จินทรุดลงนั่งอิงกับกำแพงแล้วร้องไห้ออกมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งนั้นเริ่มลามขึ้นมาถึงหน้าอกของเธอแล้ว ซ่งอวี้จินหลับตาลงแล้วปล่อยให้ความรู้สึกเศร้าโศกนำพาเธอไปยังปรโลก
“ใกล้ได้เวลากลับไปในที่ที่จากมาแล้วสินะ” จู่ ๆ ท่านตาคนนั้นก็ปรากฏขึ้นมา พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ท่านตา” ซ่งอวี้จินเรียกคุณตาด้วยความดีใจ
“เตรียมตัวนะ ตาจะส่งเจ้ากลับไปที่เดิม และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าได้เดินผ่านและพบเห็นมา จะอยู่ในมิติที่ตาให้มอบให้เจ้าไปด้วย ใช้มันให้มีประโยชน์และใช้อย่างระมัดระวัง ขอให้เจ้าโชคดี” พูดจบท่านตาคนนั้นก็หายไปอีกครั้ง โดยที่ซ่งอวี้จินได้แต่อ้าปากค้าง ยังไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย
“เอายังไงกันล่ะทีนี้ ทำไมเหมือนร่างกายเราจะเลือนรางไปเรื่อยๆ แบบนี้ล่ะ” ซ่งอวี้จินมองมือและขาของตัวเองที่หายไปเรื่อยๆ จังหวะนั้น....
“3 2 1! !” เสียงผู้คนนับเลขถอยหลังดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“HAPPY NEW YEARS! !”
และนั้นคือสิ่งที่สุดท้ายที่ซ่งอวี้จินได้ยิน ร่างกายของเธอได้เลือนหายไปจนหมดแล้ว
