บทที่ 2 ดินแดนศิวิไลซ์
บทที่ 2
ดินแดนศิวิไลซ์
สัมผัสสุดท้ายที่ซ่งอวี้จินรู้สึกคือลมหายใจที่ติดขัดและดวงตาที่พร่ามัว เธอไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรออกมาได้เลยสักนิด หยาดน้ำตาเกาะพราวอยู่รอบดวงตาของเธอ
นี่คือความรู้สึกของคนใกล้ตายงั้นหรือ นี่คือความรู้สึกสุดท้ายที่พ่อแม่ต้องเผชิญงั้นหรือ
ซ่งอวี้จินคิดถึงสัมผัสการปลอบโยนจากบุพการีทั้งสองคน เธอโหยหามือคู่นั้นที่คอยลูบศีรษะเธอตลอดเวลา เธอเคยได้ยินคนพูดกันว่า เวลาสุดท้ายของชีวิต ตัวของเราจะคิดถึงทุกภาพความทรงจำที่ผ่านมา
ดวงตาของเธอค่อย ๆ ปิดลง ซ่งอวี้จินรู้สึกเหมือนว่าตนเองกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ มันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น
ปี้น ๆ! ปี้น ๆ !
ดวงตาของซ่งอวี้จินพลันเบิกกว้างขึ้น เมื่อได้ยินเสียงแตรของรถยนต์ เธอรีบขยับร่างกายเพื่อจะเคลื่อนตัวหนีออกจากจุดนั้น
“ที่นี่ที่ไหนกัน” ซ่งอวี้จินยกมือขึ้นปิดปากอุทานออกมาอย่างสับสน
สายตาของเธอเพิ่งปรับการมองเห็นได้ ทัศนียภาพรอบข้างทำให้เด็กสาวตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม
เธอเห็นตึกที่สูงตระหง่าน แสงสีรอบข้างสาดสะท้อนแยงเข้าตาเสียจนดวงตาเธอแทบพร่ามัว เธอเห็นผู้คนทั้งชายและหญิงแต่งกายด้วยชุดที่ดูแปลกตาสำหรับเธอ บนใบหน้าของหญิงสาวเหล่านั้นต่างแต่งแต้มไปด้วยสิ่งที่ทำให้พวกเธอดูสวยงามมากขึ้น ซึ่งในที่ที่เธอจากมาเธอไม่เคยเห็นของเหล่านี้เลยสักนิด
ซ่งอวี้จินเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะเดินมาชนเธอ ทำให้เธอต้องขยับหลบไปอีกทาง แต่ทางที่เธอหลบก็ดันมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินสวนกันมาเช่นกัน กะระยะด้วยตาแล้ว เธอมั่นใจว่าหลบไม่ได้แน่นอน เธอหลับตาเพื่อเตรียมรับแรงกระแทก แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับเดินทะลุร่างของอวี้จินไปเสียอย่างนั้น เธอลืมตาขึ้นเมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่คาดไว้
“ฮะ…อะไรกัน…” อวี้จินพึมพำออกมาด้วยความมึนงง
เธอยื่นมือออกไปสัมผัสตรงเสาต้นหนึ่งที่อยู่บนถนน แต่มือของเธอกลับทะลุผ่านมันไปง่าย ๆ ราวกับล่องหน นั่นจึงทำให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นเพียงแค่จิตวิญญาณที่ล่องลอยมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ
“สวัสดี อวี้จิน”
จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ซ่งอวี้จินหันกลับไปมองก็พบกับคุณตาท่านหนึ่ง
“คุณตา พูดกับฉันใช่ไหมคะ” ซ่งอวี้จินถามพร้อมกับชี้มือมาที่ตัวเองเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ ตาพูดกับเจ้านั่นแหละ อวี้จิน ตาจะบอกว่ายินดีต้อนรับเข้าสู่โลกวิญญาณ” ท่านตาพูดขึ้นด้วยท่าทางคนแก่ใจดี
“แสดงว่าฉันตายแล้วเหรอคะ” ซ่งอวี้จินถามกลับอย่างไม่รู้สึกอะไร ตายก็ดี จะได้ออกตามหาพ่อแม่และไม่ต้องถูกใช่งานเยี่ยงทาส
“ยังหรอก เจ้ายังไม่ถึงอายุขัย แต่แค่ให้เจ้าได้มาท่องเที่ยวบ้างก็เท่านั้น อีกไม่นาน เจ้าก็ต้องกลับไปในที่ที่เจ้าจากมา ระหว่างนี้ก็ท่องเที่ยวให้สนุกล่ะ ตาไปก่อนนะ แล้วอีกไม่นานเราจะได้เจอกัน” พูดจบท่านตาคนนั้นก็หายไปจากสายตาของซ่งอวี้จิน โดยที่เธอยังไม่ได้ถามเรื่องราวให้กระจ่างเลยแม้แต่น้อย
....ท่องเที่ยวเหรอ ท่องเที่ยวนานแค่ไหน เมื่อไรจะได้กลับไปนะ
“เอายังไงต่อดีล่ะ…”
เมื่อไม่รู้จะถามใคร ซ่งอวี้จินก็ถามตัวเอง สายตาของเธอกวาดมองไปรอบตัว แล้วเลือกที่จะเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย
อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นแค่วิญญาณที่ไม่มีใครมองเห็น จะทำอะไรก็คงไม่มีปัญหามากนักหรอก ซึ่งนั้นก็เป็นความจริงอย่างที่ท่านตาคนนั้นบอกไว้ เพราะเธอได้พิสูจน์กับตัวแล้ว ไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนของเธอด้วยซ้ำ
เธอเดินไปเรื่อย ๆ พลันสายตาของอวี้จินเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนกัน กำลังเดินเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เธอจึงเลือกที่จะเดินตามไปติด ๆ เพราะอยากรู้ว่าพวกเธอจะไปไหน
“ฉันหวังว่าจางเหล่าซือจะไม่สั่งรายงานอีกนะ รอบที่แล้วแทบตาย”
เป็นเสียงของหญิงสาวที่มีรูปร่างคล้ายกับนางแบบ ใบหน้าของเธอแสดงความเบื่อหน่ายออกมา เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่ารายงาน
“เสี่ยวเหมยคิดมากเกินไปแล้ว ฉันว่าจางเหล่าซือคงสั่งงานตอนเทอมหน้านู่นแหละ” หญิงสาวผมสีส้มสั้นประบ่าเอ่ยออกมา แล้วลูบหลังคนที่ตัวเองเรียกว่าเสี่ยวเหมย ราวกับจะปลอบประโลม
เสี่ยวเหมยยิ้มออกมาอย่างสบายใจ แล้วกลุ่มของพวกเธอก็เดินเข้ารั้ววิทยาลัย โดยที่มีซ่งอวี้จินตามมาไม่ห่าง
ซ่งอวี้จินทำทุกอย่างตามกลุ่มของเสี่ยวเหมย เธอเดินเข้าห้องห้องหนึ่งที่มีโต๊ะและเก้าอี้ประมาณสามสิบตัวได้ เธอเห็นกลุ่มของเสี่ยวเหมยนั่งตรงบริเวณหลังห้อง พร้อมกับหยิบเครื่องมือบางอย่างที่มีลักษณะรูปร่างสี่เหลี่ยมออกมาจากกระเป๋า
ซ่งอวี้จินเลือกที่จะไปยืนดูตรงด้านหลังของเสี่ยวเหมย สายตาของเธอเห็นประโยคหนึ่งบนเครื่องมือที่ว่านั้นที่สามารถอ่านได้ว่า
‘วิธีการทำลิปสติก’
พร้อมกับรูปที่ดูจะมีไว้เพื่อตกแต่งให้สวยงาม เธอเห็นรูปทรงของอะไรบางอย่างมีที่ลักษณะเป็นรูปทรงกลมยาว พร้อมกับตัวอักษรบีสีทอง เธอคิดว่ามันคงเป็นสินค้าอะไรบางอย่าง เธอยืนดูอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน
จนกระทั่งมีเสียงกริ่งดังขึ้นทั่วตึก ไม่นานก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่เหมือนใครภายในห้องเดินขึ้นมา
“สวัสดีนักศึกษา วันนี้เราจะมาทำลิปสติกกันนะคะ” หญิงสาวเอ่ยออกมาแล้วเปิดสไลด์ตรงจอให้ทุกคนได้อ่าน
“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเถอะ ส่วนประกอบของลิปสติกก็มี แวกซ์ หรือไขแข็ง (Wax) มีหน้าที่ในการช่วยทำให้ลิปสติกนั้นสามารถขึ้นรูปเป็นแท่งได้ง่าย โดยมีไขมันหลายประเภท เช่นคาร์นูบา แวกซ์ เป็นไขมันที่ได้มาจากพืชในตระกูลปาล์มชนิดหนึ่งของบราซิล นิยมนำมาทำลิปสติกแบบแท่ง และยังมี แคนเดลิลลา แวกซ์ ที่ทำมาจากพืชเช่นกัน แต่จะมีความอ่อนนุ่มกว่า คาร์นูบา แวกซ์ เป็นตัวที่ช่วยให้ลิปสติกมีความเงางาม”
“แล้วยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ ไหมคะอาจารย์” เสี่ยวเหมยยกมือขึ้นถามอาจารย์ที่ยืนบรรยายอยู่หน้าห้อง
“ก็มีอีกหลายอย่าง ทั้งที่ทำให้ลิปสติกมีเนื้อที่เรียบเนียน มีการดูดซับน้ำมันได้ดีกว่า จึงช่วยป้องกันการแยกตัวของน้ำมัน นิยมนำมาทำลิปบาล์ม เช่นบีส์แวกซ์ที่ได้มาจากผึ้งนั้น จะช่วยทำให้หน้าที่บำรุงผิว ทำให้ผิวนุ่มลื่น ไม่เหมาะจะนำมาทำลิปสติกเป็นแท่งแข็ง เว้นแต่จะใช้ร่วมกับแวกซ์ชนิดอื่น หรือจะเป็นน้ำมันจากพืชที่ทำหน้าที่ในการเป็นตัวทำละลายทำให้ทั้งแวกซ์และสีนั้นผสมรวมเข้ากันได้ดี ทำให้ลิปสติกนั้นมีความอ่อนนุ่ม เป็นตัวให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปาก” อาจารย์สอนอย่างใจเย็น
“แล้วทำยากไหมคะอาจารย์” นักศึกษาอีกคนยกมือถามขึ้น
“วิธีทำก็ไม่ยากมาก โดยขั้นตอนแรกของการทำลิปสติกนั้น นำเอาแวกซ์และน้ำมันมาผสมกัน โดยจะใช้ความร้อนอยู่ที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ในการหลอมละลายทั้งคู่ให้เข้ากัน เมื่อเข้ากันดีแล้วจึงปล่อยให้เย็นลงที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นก็เติมสีลงไปในสารละลายของแวกซ์และน้ำมัน โดยสีของลิปสติกที่ถูกคิดค้นขึ้นเป็นสีแรกก็คือสีแดง ซึ่งใช้วิธีการนำเอาแร่ยิปซัมและรากพืชบางชนิดเข้ามาผสมรวมกันเพื่อให้ได้สี ปัจจุบันมีการผสมผสานเฉดสีที่แตกต่างกันออกไปอย่างละเล็กละน้อย ทำให้เกิดเป็น สีต่าง ๆ มากมาย หลังจากได้สีที่ต้องการแล้ว ก็นำมาเติมลงไปในสารละลายของแวกซ์และน้ำมันที่เตรียมไว้ คนส่วนผสมทั้งหมดจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นเราก็จะนำไปบรรจุและขึ้นรูปให้สวยงาม”
อาจารย์หยุดพูดเพื่อให้นักศึกษาได้จดตามที่เธออธิบายอย่างช้า ๆ จากนั้นก็ให้มีการสาธิตการทำด้วยของจริง ๆ
