บทที่8 นักพรตมาร
ร้านกาแฟข้างมหาลัย...
"พี่มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ หรือเรื่องการเข้าค่ายฝึกซ้อม ฉันเตรียมเอาไว้แล้วนะคะ อีกสองวันจะให้คนงานไปทำความสะอาดจัดของใช้ให้เรียบร้อย พี่ต้องชอบแน่ เพราะบ้านพักตากอากาศของเราเงียบสงบดี....."
"หยุดเถอะ..เอิ่มไม่ใช่เรื่องนั้นเหลียนฮัว"
เขารีบหยุดคำพูดที่เธอกำลังพรั่งพรูออกมา สีหน้าเครียดๆ ของซีห่าวทำเอาเหลียนฮัวอึดอัด เธอคิดว่าเธอรู้ว่าเขาจะพูดอะไร
"พี่อยากให้เหลียนฮัวเข้าใจนะ พี่น่ะเห็นเสี่ยวจือเป็นเหมือนน้องสาวคนนึง ไม่ต่างจากเหลียนฮัว พี่ไม่อยากเห็นพวกเธอทะเลาะกันเลย เธอไม่เกลียดเสี่ยวจือจะได้มั้ย"
เหลียนฮัวหันมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางยกแก้วชาร้อนมาดื่ม เธอก้มหน้าหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเองที่คิดว่าเขาอยากชวนเธอมาดื่มชาจริงๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
"ไม่ต่างเหรอ... นี่แหละที่ทำให้ฉันเกลียดมัน ฉันอยากให้พี่มองฉันต่างออกไปมาตลอด แต่พี่ไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย!"
"เสี่ยวเหลียน พี่มาวันนี้ไม่ได้อยากทะเลาะกับเธอนะ พี่หวังว่านับแต่วันนี้เธอจะยอมเข้าใจ เลิกเสียเวลาคอยพี่ เธอควรหาคนที่คู่ควรกับเธอมากกว่าพี่"
ทุกคำพูดของเขาล้วนมีแต่ความห่วงใย แต่มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูให้เธอตัดใจก็เท่านั้น คุณหนูกู้มองเขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองพร้อมกับกล่าวเสียงหงุดหงิด
"พี่มีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่มั้ยคะ ถ้าอย่างงั้นเราคงไม่มีอะไรต้องคุยแล้วล่ะ"
เหลียนฮัวซ่อนน้ำแล้วเดินออกไปจากร้านอย่างหุนหัน ทิ้งให้ซีห่าวนั่งถอนหายใจอยู่ตรงโต๊ะคนเดียว เขาได้แต่ส่ายหน้าแล้วมองเหม่อออกไปไกล
"เหลียนฮัวเมื่อไหร่เธอถึงจะยอมเข้าใจสักที..."
หน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อาวุธโบราณ....
"อยู่อีกไม่ไกลแล้วครับ อาจารย์ฝู อีก10 นาทีก็ถึงครับ"
"นายแน่ใจนะ ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยนี้น่ะ เดี๋ยวๆ หยุดรถก่อน"
จู่ๆ ฝูไห่คุณก็บอกให้ผู้ช่วยหยุดรถกะทันหัน เขาเปิดหน้ากระจกรถแล้วหันไปมองพิพิธภัณฑ์ ประสาทสัมผัสของเขาเชื่อมโยงถึงพลังงานบางอย่าง
ผู้ช่วยของอาจารย์ฝูพยายามเพ่งมองตามสายตาของอาจารย์แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดใด
นั่นก็เพราะสำหรับคนธรรดา ก็คงไม่เห็นว่าอาคารแห่งนี้แปลกอะไร แต่สำหรับฝูไห่คุณเขามองเห็นรัศมีเรืองรองของบางสิ่ง
เขาตัดสินใจเปิดประตูก้าวลงจากรถ ท่ามกลางความฉงนของผู้ช่วยกับผู้ติดตาม
"อาจารย์ไม่ไปวิทยาลัยแล้วเหรอครับ..."
"ไม่จำเป็น ที่นี่...มันมีบางอย่างอยู่ที่นี่ฉันรู้สึกได้ ถ้าฉันคิดไม่ผิดล่ะก็"
อาจารย์ฝูไม่รอช้าเขาเดินตรงไปที่พิพิธภัณฑ์ สถานที่แห่งนี้มีบางอย่างที่ดึงดูดเขา ผู้ช่วยรีบเอารถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถด้านหลังอาคาร แล้วรีบรุดตามผู้เป็นนาย
แม้ว่าจะมีอาวุธโบราณมากมาย อยู่ภายในส่วนจัดแสดง ทว่าไม่มีชิ้นใดเลยที่อาจารย์ฝูสนใจเป็นพิเศษ
ร่องรอยพลังงานบางอย่างนำเขาก้าวตามไป เขาติดตามอย่างไม่ละสายตา ยิ่งเข้าไกล้เขายิ่งมั่นใจ
"อาจารย์ เข้าไม่ได้นะครีบ นี่มันส่วนเฉพาะพนักงานภายในนะครับ"
ผู้ช่วยกระซิบเตือน แต่ดูเหมือนคำเตือนของผู้ช่วยจะไม่เป็นผล ฝูไห่คุณทำหูทวนลม เดินตามอำเภอใจ จนถึงห้องๆ หนึ่ง
ประตูที่ถูกล็อคไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา อาจารย์ฝูใช้นิ้วมือขวาวาดร่ายอักขระทาบลงบนลูกบิดประตู ประตูที่ล็อคก็คลายออก
ประสาทสัมผัสเขารับรู้ถึงกระแสพลังงานที่หลั่งไหลอยู่ภายในห้องนั้น พลังงานที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจสัมผัสถึง ฝูไห่คุน บ่ายหน้าก้าวไปตามทางที่จิตของเขาสัมผัสได้
คันธนูโบราณ ถูกจัดวางอยู่ในกล่องไม้ เจ้าหน้าที่ดูแลทำความสะอาด ปัดฝุ่นเล็กน้อย เพื่อให้เห็นความงดงามและรายละเอียดของลวดลายบนคันธนู
อาจารย์ฝู รีบรุดเข้าไปมองใกล้ๆ เขาเบิกตากว้าง ยิ้มออกมาอย่างยินดี ความหลงไหลปรากฏในสายตาเขา เขามองเห็นมันเป็นยิ่งกว่าสิ่งล้ำค่า
"ปราณมังกร มันสะกดบางอย่างเอาไว้ พลังที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการการได้ ข้าสัมผัสถึงมัน "
ฝูไห่คุนหยิบกระดาษยันต์ออกมา เขาใช้มันร่ายอาคมสะกดปราณมังกร ทันทีที่คาถาทำงาน ก็ปรากฏพลังอีกหนึ่งสายสีแดงเข้ม และนี่คือสิ่งที่ฝูไห่คุนต้องการจะพิสูจน์ มันคือพลังที่ดึงดูดเขาให้เข้ามาถึงที่นี่
"มันเคยอยู่ที่นี่ ฮ่าฮ่าฮ่า พลังของมันสมคำลือจริงๆ เป็นเพราะมีพลังของเทพมังกรสะกดไว้สินะ ถึงได้ซ่อนไว้ได้มิดชิดถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อมีคนทำสำเร็จจริงๆ "
"อะไรเหรอ ที่ว่าสำเร็จน่ะอาจารย์"
ผู้ช่วยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ อาจารย์ฝูยกมุมปากขึ้นเหยียดยิ้ม เขากำลังยินดีเป็นที่สุด ที่จะได้เอ่ยนามของสิ่งที่เขาตามหามานาน
"ศิลา ปรภพ..."
"นั่นใครน่ะ คุณ! คุณเข้ามาไม่ได้นะครับ ที่นี่คือห้องของศจ.หลิน ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์ครับ คนภายนอกห้ามเข้าคุณต้องออกไปนะครับ"
ผู้ช่วยของศจ.หลิน กล่าวเหตุผลกับอาจารย์ฝูอย่างสุภาพ อาจารย์ฝูหันมายิ้ม พร้อมกับส่งนามบัตรให้
"ผม ฝูไห่คุณ เรียกนักพรตฝู หรืออาจารย์ฝูก็ได้ พอดีผมมีความสนใจในอาวุธโบราณ เห็นคันธนูนี้เป็นของหายากเลยอดใจไม่มาดูไม่ไหวจริงๆ ต้องขออภัย"
"คุณคือฝูไห่คุน คนนั้น หมอผีที่ออกทีวีนั่น..."
ผู้ช่วยศจ.หลิน มองนามบัตรแล้วมองหน้าอาจารย์ฝูกับผู้ช่วยของเขา จะว่าไปก็คุ้นๆ หน้าอยู่ ทำให้รู้สึกไม่ติดใจสงสัย และผ่อนคลายมากขึ้น
"โอ้ ต้องขอโทษจริงๆ ครับ ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ แต่ยังไงก็เข้ามาไม่ได้นะครับ พิพิธภัณฑ์อนุญาตให้ชมได้เฉพาะส่วนจัดแสดงเท่านั้นนะครับ"
" รบกวนแล้วจริงๆ รบกวนแล้ว เอ่อแล้วคันธนูคันนี้ทำไมไม่ออกจัดแสดงหรือครับ หรือเป็นของสะสมส่วนตัว"
"ไม่ใช่หรอกครับ คันธนูเป็นของตระกูลหลงแห่งเจียงหนาน เขาส่งมาให้จัดแสดงในงานนิทรรศการ สงคราม 16 แคว้นน่ะครับ หลังจบงานก็จะส่งคืน อีก 20 วันงานนิทรรศการเริ่มคุณค่อยมาชมตอนนั้นนะครับ"
คำตอบของผู้ดูแล ทำให้ไห่คุน คิดบางอย่างในใจ ทั้งคู่ลากลับออกมาด้านนอก
"อาจารย์สนใจหรือครับ คันธนูนั่น"
"ไปสืบมา ว่าเจ้าของเป็นใคร จ่ายเท่าไหร่ไม่ว่า จะต้องซื้อมันมาให้ฉันให้ได้"
"ครับได้ครับอาจารย์ รถจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านหลังเชิญทางนี้"
อาจารย์ฝูเดินตามผู้ช่วยไปที่ลานจอดรถ เด็กสาวที่ถือกล่องคันธนูเดินสวนทางอาจารย์ฝู กลิ่นอายจางๆ ที่เขาสัมผัสได้ทำให้เขาหันกลับไปมอง
หลินเสี่ยวจือเดินผ่านฝูไห่คุนอย่างไม่ได้สนว่าเขาเป็นใคร หากแต่เธอต่างหากมีบางอย่างที่เขาสนใจ
"กลิ่นไอวิญญาณติดตัวเด็กนั่น ท่าทางจะเป็นวิญญาณที่มีตบะแก่กล้ามาก แต่เดี๋ยวก่อนเหตุใดพลังของมันถึงได้คุ้นนัก"
มีบางอย่างสะกิดใจเขา จนไม่สามารถปล่อยผ่านได้ เขาจึงตัดสินใจเรียกเธอ
"แม่หนู นี่แม่หนูฉันขอถามอะไรหน่อย"
เสี่ยวจือได้ยินเสียงเรียก เธอหันกลับมามองอาจารย์ฝู แล้วหันมองไปรอบๆ ตรงนั้นมีเธอคนเดียว
"เอ๋ เอ่อ ร...เรียกหนูเหรอคะ"
ผู้ช่วยของฝูไห่คุณรีบเอานามบัตรมาส่งให้หลินเสี่ยวจือ
"นักพรตฝู เอ๊ะคุณลุงใช่นักพรตที่ปราบผีที่ออกทีวีคนนั้นใช่มั้ยคะ"
"โอ้อวดเกินไปจริงๆ ลุงเองก็ไม่ได้อยากโอ้อวดเช่นนั้น เพียงแต่การช่วยคนเป็นมหากุศล เห็นคนเดือดร้อนย่อมนิ่งนอนใจไม่ได้ก็เท่านั้น"
ท่าทางใจดีไม่ถือตัวนี้ทำให้เสี่ยวจือรู้สึกไว้วางใจ เธอส่งยิ้มตอบกลับไมตรี และยินดีจะพูดคุย
"พ่อหนูทำงานที่นี่ค่ะ คุณลุงเรียกหนูไว้ มีอะไรอยากให้หนูช่วยรึเปล่าคะ "
"ลุงขอโทษนะ หากพูดอะไรผิดไปหนูอย่าถือสาลุงเลย คือช่วงนี้หนูพบเจออะไรที่มันแปลกๆ หรือเปล่า หรือรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่"
พอพูดถึงเจอเรื่องแปลกๆ ก็ทำเอาเสี่ยวจือนึกถึงหน้าท่านแม่ทัพเลยทีเดียว
"เอ่อก็ไม่นะคะ ไม่เห็นมีอะไรนะคะ ฉันก็สบายดีไม่เจ็บป่วยตรงไหนนะ"
ฝูไห่คุนพยายามจับสังเกตุ ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็แน่ใจว่าสัมผัสที่เขารู้สึกไม่ผิดแน่ ยิ่งท่าทางเวลาตอบของเสี่ยวจือนั้น เหมือนมีอะไรปิดซ่อน
"ไม่มีก็ดี ไม่มีก็ดี เอาอย่างงี้ วันนี้ได้มาเจอแม่หนูนับเป็นวาสนา ลุงมอบผ้ายันต์ฝืนนี้ให้แม่หนู พกติดตัวไว้กันภัย จำเอาไว้อย่าออกห่างจากตัวเด็ดขาด "
ฝูไห่คุนมอบผ้ายันต์ที่พับเป็นรูปสามเหลี่ยมให้เสี่ยวจือ เธอไม่กล้ารับเอาไว้
"ขอโทษนะคะคุณลุง เราเพิ่งรู้จักกัน คุณลุงให้ของสำคัญแบบนี้กับหนู หนูเกรงใจจริงๆ ไม่กล้ารับไว้หรอกค่ะ"
"ลุงพูดตามตรง ลุงเห็นหนูมีกลิ่นไอวิญญาณตามติด ไม่แน่ว่าหนูอาจเจออาถรรพ์จากวัตถุโบราณบางอย่าง วิญญาณพวกนี้ภายนอกอาจดูไม่มีภัย แต่ภูติผีปีศาจกับมนุษย์อยู่คนละภพไม่อาจอยู่ร่วม ดังนั้นอาจทำให้หนูถึงแก่ชีวิตได้ถ้าไม่ระวัง เพื่อความสบายใจของลุง หนูรับไว้เถอะนะ"
พูดถึงขนาดนี้ไม่รับก็คงไม่ได้ เสี่ยวจือรับมาแล้วเอาใส่กระเป๋าเป้เอาไว้
"ขอบคุณค่ะคุณลุง งั้นหนูเข้าไปข้างในก่อนนะคะ เอาไว้พบกันคราวหน้าหนูจะเลี้ยงกาแฟคุณลุงนะคะ"
หลินเสี่ยวจือขอตัวลา แล้วเข้าไปข้างในพิพิธภัณฑ์ อาจารย์ฝูมองตามหลังเด็กสาวแล้วเหยียดยิ้ม
"อาจารย์ ผ้ายันต์นั่น.."
ผู้ช่วยหันมองตามแล้วหันกลับมาถามอย่างสงสัยในเหตุผล
"เด็กคนนั้นสัมผัสกับวิญญาณในคันธนูมาแน่ๆ ฉันรู้สึกได้ ผ้ายันต์นั่นหากว่าเด็กคนนั้นอยู่กับวิญญาณดวงนั้นจริงๆต้องมีปฏิกิริยาแน่"
สวนสาธารณะ
"ใช่แน่เหรอ นายไม่ได้สอนมั่วๆ ใช่มั้ยเนี่ย แบบนี้มันใช่เรียนกังฟูหรือเอาฉันมาทรมานกันแน่"
"ทำไม ดีแค่ไหนแล้วไม่ให้เจ้าแบกไห ก็แค่ให้ย่อเข่ายื่นแขนไปข้างหน้า วางคันธนูค้างบนแขนเอาไว้แค่ครึ่งชั่วยามทำมาบ่น"
หลินเสี่ยวจือยืนขาสั่น อย่าว่าแต่หนึ่งชั่วโมง แค่ ผ่านมาได้15นาทีก็จะไม่ไหว
แม่ทัพหลงมองเสี่ยวจือที่ไร้ซึ่งพื้นฐาน แถมยังไม่มีความอดทนเอาเสียเลย แล้วส่ายหน้าเอือมระอา
"เจ้ารู้จักแต่จะบ่น หากมีวิชาชิวหาพิฆาต เจ้าคงเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปแล้ว อย่างนี้หรือจะเรียนวรยุทธกับข้า รู้หรือไม่ คนฝึกยุทธ ต้องมีความขยัน อดทนอดกลั้น ถึงจะเก่งกาจ"
"หนอย ปากว่าคนอื่นพูดมาก แต่พอได้ทีล่ะ บ่นยาวเลยนะ ทนก็ทนสิ ไม่เห็นต้องมาว่ากันเลย"
ตอนแรกที่คิดว่าจะเรียนวิชากับหลงอี้เจินนั้น เสี่ยวจือคิดว่าจะเหมือนหนังกำลังภายใน ถ่ายทอดเคล็ดวิชาผ่านฝ่ามืออะไรแบบนั้นแล้วกลายเป็นยอดคน ที่ไหนได้ ไม่คิดว่ามันจะยากปานนี้
เธอล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าหมดเรี่ยวหมดแรงหลังจากฝึกฝนต่อเนื่องมา 3 ชั่วโมง
"วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ ข้าไม่คิดอยากบังคับใจเจ้าหรอก"
"แม่ทัพหลง ท่านช่างองอาจสมชายชาตรี ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งเป่ยเหลียง ท่านช่วยฉันหน่อยได้หรือไม่"
เสี่ยวจือส่งสายตาออดอ้อน ทำเอาแม่ทัพแห่งเป่ยเหลียงผวา
"อะไร เจ้าจะทำอะไรอีก"
"ยืนไม่ไหวอ่ะ นายแบกฉันขึ้นหลังได้ป่าว นะนะนะ ท่านแม่ทัพ"
เจอลูกอ้อนเข้าไปถึงกับไปไม่เป็น แม่ทัพหลงถอนหายใจ พลางนึกไปว่าคงต้องยอมนางอย่างเสียมิได้
เขาย่อตัวลงจะแบกเสี่ยวจือขึ้นหลัง เสี่ยวจือเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
"เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน นายเป็นวิญญาณ แล้วคนอื่นไม่เห็นนายใช่มั้ยอ่ะ"
"ก็ใช่ แต่ข้าก็สามารถทำให้ผู้อื่นมองเห็นได้ชั่วคราวนี่ไม่ต้องห่วงหรอก "
เสี่ยวจือมองชุดท่านแม่ทัพตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มแห้ง แม่ทัพหลงมองตามสายตาเสี่ยวจือ เขาพอจะรู้แล้วว่านางหมายถึงอะไร
เวลาพลบค่ำเช่นนี้แม้ไม่มีคนสัญจรผ่านไปมามากนัก แต่เพื่อความปลอดภัยเขาจึงเลือกที่จะปรากฏกายชัดเจน แล้วแปลงร่างให้สวมชุดยุคปัจจุบัน
ตอนเขาสวมชุดแม่ทัพ เสี่ยวจือก็รู้สึกว่าเขาสง่างามแถมหล่อเหลาไม่ใช่เล่น เวลานี้ในชุดยุคของเธอ เขาก็ดูดีจนเหลือเชื่อ
"แม่เจ้า อะไรจะขนาดนี้ เข้ากันมากเลย คุณน่าจะใส่แบบนี้ตลอดเลยนะ"
"ข้ารู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยชินเลย ชุดแบบนี้เหมาะกับข้าหรือ"
"เหมาะสิ หล่อสุด ๆ เลย"
ความรู้สึกแปลกๆ เข้ามาอยู่ในอก เขาแตะเบาๆ ที่อกซ้ายเหมือนรู้สึกถึงบางอย่าง เป็นเพราะอะไรดวงตาอันสดใสนี้ ถึงทำให้เขารู้สึกประหม่าได้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาแบกเธอขึ้นหลัง เสี่ยวจือชี้ไปที่กระเป๋าของเธอที่วางอยู่ที่โต๊ะ บอกให้หลงอี้เจินเดินเข้าไปหยิบมันมา
เขาเดินเข้าไปที่โต๊ะ โดยไม่ได้สังเกตุ ว่าทันทีที่เขาเข้าไกล้กระเป๋า มีแสงประหลาดค่อยๆ สว่างขึ้นภายในกระเป๋า แม่ทัพหลงเอื้อมมือไปจับที่กระเป๋าของเสี่ยวจืออย่างไม่ทันระวัง
ฉับพลันเขาก็รู้สึกถึงบางอย่าง วัตถุที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋ามีพลังอาคมแรงกล้า เขารีบทิ้งกระเป๋าลงไปที่พื้น แล้วยกมือขึ้นมาดู
" นายเป็นอะไรน่ะ มือนาย"
มือของแม่ทัพมีรอยไหม้ เสี่ยวจือหันไปมองกระเป๋าที่พื้น วัตถุบางอย่างที่อยู่ในนั้นเรืองแสงชั่วครู่ก็ดับไป
"แย่แล้วผ้ายันต์"
เสี่ยวจือรีบลงจากหลังท่านแม่ทัพแล้วไปคว้าเอากระเป๋ามาค้น เธอเกือบลืมไปแล้วว่าใส่มันในกระเป๋า
ผ้ายันต์ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า ทันทีที่หลงอี้เจินเห็นมัน เขาก็ถอยทันที
"เอามันออกไป! เอามันออกไป!"
เสี่ยวจือเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอรีบขว้างมันทิ้งไปไกลๆ ทันที
"ฉัน ฉันขอโทษนะ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะมีผลกับนายน่ะ"
เมื่อผ้ายันถูกโยนทิ้งไปไกลๆ พลังของมันจึงไม่มีผลต่อแม่ทัพหลงอีก เสี่ยวจือรู้สึกเสียใจที่เธอไม่ระวังจนทำให้เขาต้องเจ็บ เธอรีบคว้ามือของเขาขึ้นมาดู ตอนนี้แผลกำลังค่อยๆสมาน ทว่าร่องรอยนี้ดูสาหัสไม่น้อย
"ฉันไม่ดีเองขอโทษนะ ท่าทางจะเจ็บน่าดูเลยใช่มั้ย"
แม่ทัพหลงมองดูเสี่ยวจือพยายามเป่าลมหายใจลงไปที่มือเขาเพราะหวังจะลดทอนความเจ็บ หารู้ไม่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกถึงแรงลมผ่านร่างของเขาด้วยซ้ำ
"เจ้าไม่ไว้ใจข้าใช่หรือไม่"
"หา!? ทำไมจู่ๆนายถึง"
เสี่ยวจือตกใจที่เขาพูดแบบนี้ขึ้นมา เธอเงยหน้ามองแววตาที่น้อยใจของเขาแล้วยิ่งรู้สึกผิด
"ไม่ใช่นะ ก็ตาลุงคนนั้นเขาคะยั้นคะยอจะให้ฉันเอามาให้ได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจเอามากันนายนะ"
เขาเบือนหน้าไม่อยากฟังอะไรให้มากความ แล้วย่อตัวหันหลังให้เธออีกครั้ง
"ขึ้นมาสิ เดินไม่ไหวไม่ใช่เหรอข้าจะพาเจ้าไปส่งบ้าน"
เสี่ยวจือพอดูออกว่าเขากำลังโกรธ แม้กระนั้นเขาก็ยังยินดีที่จะแบกเธอขึ้นหลังกลับบ้าน เสี่ยวจือขึ้นหลังแม่ทัพหลง ไหล่เขากว้างแผ่นหลังของเขาเย็นเฉียบ ทว่าหลินเสี่ยวจือกลับรู้สึกอุ่นใจที่มีเขา
"ฉันขอโทษเป็นฉันที่ไม่ดี ฉันน่าจะปฏิเสธเขาให้เข้มแข็งกว่านี้ ต่อไปฉันจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ"
เธอซบหน้าลงบนไหล่ของเขาราวเด็กน้อย หลงอี้เจินยิ้มบางๆ ออกมา แล้วค่อยๆ ก้าวเดินไปที่บ้าน
สำนักเซียนอาจารย์ฝู
ฝูไห่คุนมองเปลวเทียนที่หน้าโต๊ะพิธีแล้วยกยิ้ม
"อยู่กับเด็กนั่นจริงๆ สินะ ขอเพียงจับตัวมันได้ เท่านี้ศิลาปรภพก็จะเป็นของข้าฮ่า ฮ่า ฮ่า"
