บทที่7 ความวุ่นวาย
"ทางนี้ค่ะอาจารย์ฝู 5 วันมานี่ลูกสาวฉันไม่กิน ไม่นอน เธอเอาแต่บรรเลงกู่เจิ้ง อยู่ทั้งวันทั้งคืน ห้ามก็ไม่ฟัง พอเราพยายามแยกเขาออกมา เขาก็เอาแต่กรีดร้อง ฉันเป็นห่วงเขา จนฉันไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว"
หญิงวัยกลางคนบอกเล่าอาการบุตรสาว ด้วยแววตาเศร้าโศก และยังคงสะอึกสะอื้น
ชายในชุดสูทสีดำสนิท รูปร่างสันทัด หวีผมทรงเปิดหน้าผากเรียบดูเคร่งขรึม เส้นผมสีขาวคาดแซมเหนือทัดหูซ้าย บ่งบอกถึงอายุและประสบการณ์
กระนั้นเขาก็ยังก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม ยังแคล่วคล่อง และแลดูแข็งแรงอ่อนวัยกว่าอายุที่แสดงออกมามากมายนัก เขาเดินตามหญิงวัยกลางคนเข้าไปที่ห้องสุดทางเดินชั้นสอง
เสียงร้องเพลงเป็นภาษาที่ไม่เข้าใจดังโหยหวนจากในห้อง หญิงวัยกลางคนใช้กุญแจเปิดล็อคประตูห้อง ทั้งๆ ที่มืยังสั่นเทา
ทว่าทันทีที่เปิดประตู เสียงร้องเพลงที่โหยหวนกลับเงียบงัน
ชายชุดสูทดำที่หญิงวัยกลางคนเรียกว่าอาจารย์ฝูนั้น ก้าวเดินเข้าไปภายในห้อง แม้ข้างในห้องจะมืดสนิท แต่ยังพอให้เห็นสื่งที่เคลื่อนไหวอยู่ที่เตียงนอน เขายกยิ้มเหมือนรู้ดีว่ากำลังผจญกับอะไร
"ฮึ สบายจริงนะ อยู่ในที่แบบนี้เจ้าคงชอบมากล่ะสิ"
มารดาของเด็กสาวเปิดไฟหัวเตียง แสงสลัวทำให้อาจารย์ฝูเห็นใบหน้าและร่างกายเด็กสาว
มือและเท้าของเธอถูกมัดกับเสาเตียงทั้ง 4 เสา รอยช้ำที่ข้อมือและข้อเท้าทำให้รู้ว่าเด็กสาวคงดิ้นรนไม่น้อยจึงเกิดรอยแบบนี้ เธอส่งสายตาเคลิบเคลิ้มให้อาจารย์ฝู แล้วยิ้ม
"คุณมาปล่อยฉันเหรอ คุณจะมาปล่อยฉันใช่มั้ย"
เด็กสาวแลบลิ้นส่ายไปมาพลางส่งสายตาหว่านเสน่ห์ ร่างกายบิดเร่า ยวนเย้าอาจารย์ฝู เขายิ้มอ่อน ก่อนจะหันมองมารดาของเด็กสาว
"คุณนายมัดเธอไว้เหรอ "
"ฉันจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างงั้นเธอจะทำร้ายตัวเองน่ะค่ะ"
หมออาคมพยักหน้า เขาหันมองหน้าต่างที่ปิดผ้าม่านไว้มิดชิดทุกบาน แล้วมองหน้าหญิงวัยกลางคน ที่เป็นเจ้าของบ้านเหมือนอยากรู้เหตุผล
"เราต้องปิดเอาไว้เพราะเขาอาละวาด เวลามีแสงเข้ามาดูเขาทรมานมาก ฉันเป็นแม่จะทนได้อย่างไร"
อาจารย์ฝูพยักหน้า เป็นเชิงความหมายว่าเขาเข้าใจความห่วงใยนี้ดี แต่เขากลับเดินไปตรงไปที่หน้าต่างแล้วเปิดผ้าม่าน
"กรี๊ดดด! ไม่ปิดมันเดี๋ยวนี้ ร้อน ร้อน!"
เด็กสาวอายุ 15 ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนที่นอน ทันที่แสงแดดสาดลงบนผิวขาวซีดนั้น ผิวเริ่มเกิดรอยไหม้จางๆ และลุกลามจนเริ่มจะมีควันขึ้น
"อาจารย์ อาจารย์ หยุดเถอะค่ะ คุณทำแบบนี้เดี๋ยวเค้าก็ตายพอดี"
คนเป็นแม่เห็นแบบนี้ย่อมทนไม่ไหว หญิงกลางคนรีบรุดไปปิดผ้าม่าน
เมื่อผ้าม่านปิดลง เด็กสาวเลิกดีดดิ้น หล่อนมองจ้องอาจารย์ฝูด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม
"ปล่อยฉันไปเถอะนะ แล้วฉันจะทำตามนายทุกอย่าง ดูสิ ข้างในฉันเปียกหมดแล้ว เข้ามาเล่นกับฉันสิ"
เธอนอนดีดดิ้น แอ่นอกชูชัน คนเป็นแม่เห็นเช่นนั้นก็เอาแต่ร้องไห้ เพราะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ตัวเธอ
บาดแผลเริ่มสมานตัวแล้ว เพียงไม่กี่นาทีก็หายสนิท อาจารย์ฝูหันไปมองกู่เจิ้งที่ตั้งไว้ไกล้ๆ กับเตียงนอน ทันทีที่เขาเข้าไกล้มัน กิริยาของเด็กสาวก็เปลี่ยนไป เธอจ้องเม็งมาที่เขา ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"คุณนายไปได้มันมาจากไหน.."
"เป็นของเก่าที่สามีฉันได้มาจากบ้านที่เขาไปรับรื้อถอนน่ะค่ะ เสี่ยวเตี๋ย ชอบเล่นกู่เจิ้งมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาก็เลยเอามันมาให้เธอเล่นน่ะค่ะ นึกไม่ถีงว่าต่อมาเสี่ยวเตี๋ยจะเป็นแบบนี้"
อาจารย์เดินไปรอบๆ เตียงนอน มองดูสาวน้อย หล่อนไม่หลบสายตาเขา แต่กลับหันมองตามเหมือนกำลังท้าทาย
"มาเล่นกับฉันสิ มาเล่นกับฉัน ฉันพร้อมแล้ว มาสิ ฮะ ฮะ ฮะ"
เขาเหยียดยิ้มเหมือนรู้อะไรบางอย่าง ก่อนที่จะหันมากล่าว กับมารดาของเด็กสาว
"ของบางอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย ของเก่าเก็บแต่กลับอยู่ในสภาพดีขนาดนี้ ย่อมต้องเป็นที่หวงแหนของเจ้าของ คราวหลังจะเอาอะไรกลับมาบ้านคิดดูให้ดีซะก่อนนะครับ"
"ถ..ถ้างั้นที่เขาเป็นแบบนี้ก็เพราะ... แล้วจะช่วยได้มั้ยคะอาจารย์ฝู"
"ขอเวลาผม10นาที คุณนายออกไปก่อน ไม่ว่าได้ยินอะไรห้ามเข้ามาเด็ดขาด"
มารดาเด็กสาวมีท่าทีลังเล
"ต..แต่ว่า..."
"วางใจเถอะ ผมช่วยได้แน่ แต่ถ้าวันนี้คุณกลัว และไม่ต้องการให้ผมช่วย ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาผมอีก คุณบอกว่าเธอไม่กินไม่นอนมา 5 วันแล้วนี่ คิดว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน วิญญาณดวงนี้ไกล้จะกลืนร่างเขาได้สมบูรณ์แล้ว ไม่ช่วยเขาตอนนี้ก็หมดหนทางแล้ว"
หญิงวัยกลางคนจนใจ เธอรักบุตรสาวมาก เชิญหมอมามากมายก็ไม่อาจรักษาได้ เหลือก็แต่ทางนี้ทางเดียวที่ยังไม่ได้ลอง
คนรับใช้ในบ้านช่วยตระเตรียมของที่อาจารย์ฝูต้องการ กะละมังทองเหลืองใส่น้ำ เลือดไก่1ถ้วยกับกิ่งหลิว
ทั้งหมดออกไปจากห้องรออยู่ด้านนอกด้วยใจระทึก
"คุณนายคะ ทำแบบนี้จะดีเหรอ น่าจะขอคุณผู้ชายก่อนนะคะ"
"เงียบเถอะ อย่าบอกคุณผู้ชายนะ อ๊ะ! เสี่ยวเตี๋ย"
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมาณ ทำให้คนเป็นแม่สะดุ้ง เธอพยายามเก็บอาการด้วยการเอามือปิดปากตัวเองแล้วแอบสะอื้นไห้ หลายนาทีผ่านไปเหมือนกับว่านานเป็นชั่วโมง ผู้เป็นมารดาเดินกระสับกระส่ายใจหาได้สงบไม่
"ไหน มันอยู่ไหน? ใครให้ไปเรียกมันมา เธอบ้าไปแล้วเรอะถึงได้เชื่อเรื่องแบบนี้"
สามีกลับมาถึงบ้านก่อนเวลา เพราะคนรับใช้แอบโทรไปบอก เขาโวยวายใส่ภรรยา พยายามจะเข้าไปเปิดประตู
คุณนายรีบไปยืนขวาง ในขณะที่กำลังยื้อยุดกัน เสียงร้องภายในห้องก็เงียบลง
"เสี่ยวเตี๋ย? เสี่ยวเตี๋ย!"
คนเป็นพ่อใจแทบสลายเขาผลักภรรยาออกแล้วรีบเข้าไปเปิดประตู ควันสีดำสนิทพวยพุ่งสวนทางออกมา เขาสบตากับจุดเรืองแสงสีแดงภายในกลุ่มควันนั้น
เจตภูติปะทะร่างผู้เป็นบิดาของเด็กสาวจนหงายหลัง ก่อนจะยื่นยื่นมือที่คล้ายกับกรงเล็บเข้าใส่คุณนายในระยะประชิด
"หยุดนะ!"
อาจารย์ฝูดึงกระดาษยันต์ออกมา แล้วปากระดาษยันต์พุ่งเข้าใส่เจตภูติ
กรงเล็บของวิญญาณร้ายนั้นถูกหยุดไว้แบบเฉียดฉิว กระดาษยันต์กลายเป็นโซ่สีทองรัดร่างเจตภูติ คุณนายรีบคลานหนี เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
วิญาณร้ายร้องเสียงอู้อี้ ควันสีดำค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นร่างหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวลากพื้น ทั้งร่างกายรวมถึงชุดของเธอเป็นสีดำสนิท หล่อนนั่งคุกเข่า นัยตาสีแดงราวคุกกรุ่นไปด้วยไฟเงยหน้าขึ้น มองอาจารย์ฝูอย่างเคียดแค้น
"แก ไอ้หมอผีบ้า ปล่อยข้า ปล่อยข้า อีกแค่นิดเดียวข้าก็จะได้ร่างสาวน้อยคนนี้แล้ว แกมาขวางข้าทำไม ปล่อยข้า"
เขาใช้นิ้วมือ วาดอักขระด้วยมือซ้าย ทับทาบลงบนหน้าผากของวิญญาณร้าย พร้อมกับเอ่ยมนตรา กลางฝ่ามือขวาเกิดแสงสว่างสีแดงเจิดจ้า ฉับพลันร่างวิญญาณร้ายก็ถูกดูดเข้าไปในฝ่ามือ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่ที่นั่น
"เมื่อ เมื่อกี้มันตัวอะไร..."
บิดาของเด็กสาวเอ่ยถาม ด้วยท่าทีหวาดกลัว อาจารย์ฝูดีงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือก่อนจะหันไปตอบ
"เจตภูติ พวกคุณอากู่เจิ้งตัวนี้ไปเผาซะ เจ้าของดั้งเดิมของมันตายไปด้วยความแค้นที่ถูกแย่งคนรัก เธอบรรเลงเพลงที่เขากับเธอแต่งด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็หมดลมหายใจอยู่ที่กู่เจิ้งหลังนี้"
"พวกแกเอาไปเผาเลย เอาไปเผาเดี๋ยวนี้"
คุณผู้ชายรีบสั่งคนใช้ให้ทำตาม ทั้งสองสามีภรรยารีบเข้าไปดูบุตรสาว เธอได้สติแล้ว
อาจารย์ฝู ผู้นี้คือฝูไห่คุน นักพรตปราบภูติผีที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันในวงการ ว่ามีวิชาอาคมแก่กล้า
ภาระกิจเสร็จสิ้นลงแล้ว สองสามีภรรยาเดินไปส่งเขาที่รถพร้อมกับยื่นซองค่าน้ำร้อนน้ำชาให้
"ขอบคุณอาจารย์มาก หากไม่ได้อาจารย์เสี่ยวเตี๋ยคงจะแย่แน่"
"อาจารย์ของผมเป็นผู้มีคุณธรรม เงินนี่อาจารย์จะแบ่งไปทำการกุศล ส่วนวิญญาณร้ายนี้อาจารย์จะช่วยทำพิธีส่งไปสู่สุคติ ขอให้พวกคุณวางใจ ผมกับอาจารย์คงต้องลาเพียงเท่านี้"
ผู้ช่วยรับซองแทนอาจารย์ฝู พร้อมกล่าวอำลา เขาเดินไปเปิดประตูรถให้อาจารย์ฝูนั่งที่เบาะหลัง
"เป็นไงบ้างครับอาจารย์"
ผู้ช่วยเอ่ยถามพลางมองกระจกมองหลังในขณะขับรถออกไปจากบ้านหลังนั้น
"วิญญาณกระจอก อายุไม่ถึง 100 ปีด้วยซ้ำ"
"ถ้างั้นอันนี้อาจารย์อาจจะสนใจนะครับลองดูคลิปที่มีคนถ่ายได้สิครับ อาจารย์คิดว่ายังไง"
ผู้ช่วยกล่าวพร้อมกับ ส่งแท็บแล็ตให้อาจารย์ฝูดูคลิป
"นี่มัน..น่าสนใจจริงๆ"
มหาวิทยาลัย.....
"ตาย ตายแน่ ใครเป็นคนถ่ายไว้เนี่ย ทำไงดีล่ะหลิงรุ่ย.."
หลิงรุ่ยเอาคลิบที่ตอนนี้กำลังเกิดกระแสพากันแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง มาให้เสี่ยวจือดู
มันคือคลิปต้นเหตุที่ทำให้วันนี้เมื่อเสี่ยวจือ ย่างเข้ามาในมหาวิทยาลัย มีแต่คนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
"ทำไมล่ะ คลิปนี้ดังมากเลยนะ ดูสิ ยอดวิวตั้ง 3 แสนไปแล้วแค่คืนเดียวเอง เธอจะดังใหญ่แล้วนะ"
"ดังบ้าบอน่ะสิ ใครจะะอยากดังแบบนี้เล่า รุ่นพี่ซีห่าวเห็นรึยังก็ไม่รู้"
เสียงจ้อกแจ้กจอแจ ดังอื้ออึงอยู่บริเวณทางเดินหน้าระเบียงอาคารเรียนเสี่ยวจือชะโงกออกไปมองที่นอกหน้าต่างพบว่า นักข่าวจากหลายสถานีเดินขึ้นบันไดอาคารเรียนดูวุ่นวาย
"นักศึกษาในคลิปอยู่คลาสนี้ใช่มั้ยครับ"
นักข่าวเดินตามหาเสี่ยวจือ พร้อมกับสอบถามไปเรื่อย
"โอ้ยตาย รู้ได้ไงเนี่ยว่าเราอยู่นี่น่ะ หลิงรุ่ย ถ้าใครถามถึงฉันบอกว่าไม่รู้จักนะ"
"อ้าวแล้วเธอจะไปไหน เดี๋ยวมีเลคเชอร์นะ"
"โทษที ไปหลบก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอจดจากเธอแล้วกัน ไปนะ"
เสี่ยวจือค่อยๆ ย่องออกจากห้องเลคเชอร์ แล้วเอาสมุดบังหน้าไว้ เพราะกลัวคนจะจำได้
"อ้าวนั่น คนนั้นในคลิปนี่"
เสียงทักจากปากนักศึกษาที่เดินสวนเสี่ยวจือมาทำให้นักข่าวพากันหันมองตาม
"นั่น อยู่นั่น น้องขอสัมภาษณ์หน่อย"
เรื่องอะไรจะอยู่ต่อให้โง่ เสี่ยวจือรีบวิ่งลงชั้นล่างทันที นักข่าวพากันรีบวิ่งตาม ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น
หัวเข่าที่บาดเจ็บจากการล้มเมื่อวานไม่ค่อยให้ความร่วมมือเอาเสียเลย มันทำให้เสี่ยวจือช้าลงเพราะความเจ็บ นักข่าวเองก็ไม่ยอมละความพยายาม
ทว่าในตอนที่เธอกำลังจะถูกตามทันตรงทางเลี้ยวมาตึกB กลับมีมือหนึ่งคว้าแขนเธอแล้วดึงเข้าไปในทางเดินใต้อาคารเสียก่อน
"ว้าย!"
ชายคนนั้นดันตัวเธอชิดเข้ากับผนังทางเดิน พร้อมกับโน้มตัวลงมา ใบหน้าของเขาแนบชิดกับแก้มด้านขวาของเธอ มือซ้ายของเขาโอบเอวของเสี่ยวจือเอาไว้แน่น เขาวางมือข้างขวายันไปที่ผนังข้างตัวเสี่ยวจือ
เวลานี้เธออยู่ในอ้อมอกเขาโดยสมบูรณ์ เขาขยับริมฝีปากเอ่ยเบาๆ กับเธอในระยะใกล้ ใกล้ซะจนได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกชัดเจน
"อยู่เฉยๆ นะ อย่าเพิ่งขยับ"
"ร..รุ่นพี่ซีห่าว ฉ..ฉัน..."
"เดี๋ยว! รอก่อน..."
เสียงของเขาอบอุ่นและไพเราะยิ่ง หัวใจของเสี่ยวจือเต้นแรงจนแทบระเบิด เลือดสูบฉีดแรงจนใบหน้าพลันแดงก่ำ
เสียงฝีเท้าที่ไกล้เข้ามา ยิ่งทำให้เขาขยับเข้ามาชิดตัวเธอยิ่งขึ้น
"....ตายแล้วพี่ซีห่าวอยู่ใกล้ขนาดนี้ เขาจะรู้มั้ยนะว่าเราตื่นเต้นขนาดไหน...."
ด้วยเกรงว่าซีห่าวจะรู้ถึงความตื่นเต้นของเธอ มันทำให้เสี่ยวจือพยายาจะดันตัวเขาให้ออกห่างหน่อย ทว่ามือก็ไม่ไว้หน้าเจ้าของเลย
ความรู้สึกแรกที่สัมผัสเธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแผ่นอกที่แข็งแรง ทำให้รู้สึกตกใจนิดหน่อย ความรู้สึกเขินอายก็เริ่มเข้ามาแทนที่ แต่มือเจ้ากรรมก็ไม่ยอมขยับหนีซะงั้น
แก้มของสาวน้อยที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงไปใหญ่ เสี่ยวจือเม้มริมฝีปากแน่น เธอตัดสินใจจะขยับตัวออกจากอ้อมแขน ก่อนความคิดจะพลุ่งพล่านไปกว่านี้
"มากันแล้ว ขอโทษนะ..."
ซีห่าวฉุดแขนเธอด้วยกำลังของเขา แล้ววางฝ่ามือทับที่ข้อมือทั้งสองข้างของเสี่ยวจืออย่างอ่อนโยน ลงบนผนังทางเดินอีกครั้ง เขาก้มลงใช้ริมฝีปากประทับลงที่แก้มขวาของเธอ เพื่อบังใบหน้าเอาไว้
นักข่าวเห็นหนุ่มสาวแอบมาพลอดรัก จึงพากันเดินไปข้างหน้าต่อ เมื่อเสียงฝีเท้าไปไกลแล้ว ซีห่าวจึงปล่อยมือทั้งสองของเสี่ยวจือให้เป็นอิสระ
เขาก้มหน้าเอามือลูบหลังต้นคอตัวเองด้วยความเคอะเขิน ก่อนที่จะขอโทษเธออีกครั้ง
"พี่ขอโทษจริงๆ มันจำเป็นจริงๆ นะ เสี่ยวจือโกรธรึเปล่า"
คำขอโทษกับคำแก้ตัวของซีห่าวทำให้ความคิดที่โลดแล่นไปไกลของเสี่ยวจือชะงักลง เธอก้มหน้าหลบสายตาเขาด้วยความอึดอัด
"เอ่อ ช่างเถอะค่ะ ก็เมื่อกี้มันเป็นความจำเป็นนี่เนอะ ใช่มั้ย"
"เอิ่ม...คือ พี่...."
"ฉันขอตัวก่อนนะคะรุ่นพี่ ขอบคุณที่ช่วยค่ะ"
เสี่ยวจือรีบปลีกตัวอย่างไว เธอกลับหลังหันแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนั้
"เสี่ยวจือ! รอเดี๋ยว!"
ซีห่าวก้าวตามมาเขาดึงแขนเธอเอาไว้อีกครั้ง แต่เพื่อหยุดเท้าเสี่ยวจือแค่นั้น แล้วก็ปล่อยมือ เสี่ยวจือหันกลับมามองด้วยความสงสัย
"เมื่อกี้ พี่ไม่ได้ทำไปเพราะความจำเป็นนะ เพียงแต่พี่น่ะเอ่อ.... ไว้เจอกันที่สนามซ้อมเย็นนี้นะ"
ซีห่าวพูดจบแต่ฟังดูเหมือนไม่จบยังไงก็ไม่รู้ ที่สุดก็รีบวิ่งไปเฉยเลย ทิ้งให้หลินเสี่ยวจือยืนงงกับคำพูดนั้นของเขา
"อะไรคือไม่ได้ทำเพราะความจำเป็นอ่ะ อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เขาตั้งใจจะ..จ...จูบเราเหรอ"
ยิ่งทบทวนคำพูดกับการกระทำของเขา เสี่ยวจือก็ยิ่งสับสน เธอเดินไปที่ห้องเรียนวิชาถัดไปเพื่อรอหลิงรุ่ย แต่กลับมีคนมารออยู่ก่อนแล้ว
"รุ่นพี่เหลียนฮัว"
"กล้านักนะ เจอไปขนาดนั้น ยังกล้ามาให้ท่าซีห่าวของฉัน"
เสี่ยวจือมองไปข้างหลังเหลียนฮัว เธอพาคนมาด้วย 4 คน ล้วนหน้าเดิมกับที่เคยแกล้งเสี่ยวจือที่ห้องน้ำ เธอถอนลมหายใจอย่างสุดเซ็ง นี่มันจะตอแยเกินไปมั้ย
"ขอโทษนะคะ รุ่นพี่คงเข้าใจอะไรผิดแล้ว คนอย่างฉันไม่เคยให้ท่าใคร และยิ่งไม่เคยแย่งของใคร"
คำตอบของเสี่ยวจือไม่เป็นที่พึงใจสักเท่าไหร่ พรรคพวกของเลียนฮัวตรงเข้ามาผลักเสี่ยวจือจนล้ม แต่คราวนี้เธอไม่ยอมง่ายๆ เธอลุกขึ้นมาผลักคืนเข้าเต็มแรงจนรุ่นพี่คนนั้นเซถลา
เพี๊ยะ!
แรงตบเต็มฝ่ามือเข้าที่ข้างแก้มซ้าย ทำให้เจ็บจนหน้าชา เหลียนฮัวอาศัยจังหวะชุลมุน ลงไม้ลงมือกับเสี่ยวจือ
คนเราเมื่ออดทนให้กลั่นแกล้งมานาน มีหรือจะทนได้ คราวนี้เธอไม่ยอมอีกแล้ว เสี่ยวจือเงื้อมือตั้งใจจะเอาคืน แต่พรรคพวกของเหลียนฮัวเข้ามาช่วยกันจับล็อคตัวเสี่ยวจือ
"เก่งนักเหรอ แน่จริงก็เรียกผีของเธอมาช่วยสิ นังจิ้งจอก"
เหลียนฮัวเงื้อง่า หมายจะตีให้หนำใจ ทว่ามือของเธอเหมือนโดนอะไรบางอย่างดึงเอาไว้
"คุณหนูเป็นอะไรไปคะ คุณหนู"
"ข..ขยับไม่ได้...นี่มันอะไรกัน...อ๊ะ!"
ฝ่ามือของเหลียนฮัวเหวี่ยงใส่พวกเดียวกันซะเต็มแรงหวดจนคนโดนตบยังล้มกลิ้ง
ยังไม่ทันไร คนของเธออีกคนก็ปล่อยเสี่ยวจือแล้วหันมา หวดฝ่ามือใส่หน้าสวยๆ ของเหลียนฮัวจนหน้าหัน รอยจ้ำแดงขึ้นที่ข้างแก้มทันที
"นี่แก..นี่แกกล้าตบฉันเหรอ อยากตายรึไง"
"คุณหนูกู้ฉันไม่ได้ตั้งใจนะคะมือมันไปเอง"
แสงไฟทางเดินเริ่มกระพริบอย่างบ้าคลั่ง พร้อมๆ กับที่ประตูห้องเริ่มเปิดปิดเสียงดังโดยที่ไม่มีใครทำ
ทั้งหมดหน้าซีด หันมองหน้ากันสั่นกลัว คราวนี้เป็นทีของเสี่ยวจือบ้าง
"เป็นไงล่ะอยากเจอไม่ใช่เหรอ ทีนี้กลัวได้รึยัง "
เสี่ยวจือทำสายตาน่ากลัวข่มขู่ ถังน้ำในห้องน้ำบรรจุน้ำเต็มลอยออกมาจากห้องน้ำ ทั้งหมดพากันถอยหลังไปรวมกองกันที่ผนังทางเดิน
"อย่านะ อย่าเข้ามานะ แกจะทำอะไรนังบ้า หยุดนะ"
"หยุดก็โง่สิ"
น้ำทั้งถังถูกสาดใส่ทั้ง 5 คนจนเปียกชุ่ม พร้อมกับถังเหล็กที่ร่วงใส่พื้นตรงข้างขาเหลียนฮัว
เพียงแค่นั้นทั้งหมดก็วิ่งแตกกระจายทันที
"กรี๊ด ผีหลอก!"
ตอนนี้เหลือเพียงแค่เหลียนฮัว เธอหันมองเพื่อนๆ เธอวิ่งโกยอ้าว โดยไม่สนว่าเธอจะเป็นยังไง แล้วร้องเรียก
"พวกแกอย่าทิ้งฉันซี่ ฝากไว้ก่อนเถอะ นังจิ้งจอก"
เหลียนฮัวขู่อาฆาตทิ้งท้ายก่อนที่จะหนีไป แถมยังวิ่งไปล้มลุกคลุกคลานไปจนน่าขบขัน เสี่ยวจือก็หัวเราะจนท้องแข็งไปเหมือนกัน
หากว่าเสี่ยวจือมองไม่เห็นท่านแม่ทัพ เหตุการณ์เมื่อครู่ก็สยองมิใช่น้อย ทว่าภาพที่ออกมากับความเป็นจริงช่างต่างกันนัก
"เหนื่อยมั้ย วิ่งไปวิ่งมาเปิดปิดสวิตย์เนี่ย ยังประตูอีก ทำไปได้เนอะ"
"โชคดีหรอกที่ข้าตายไปแล้วไม่งั้นคงเหนื่อยแย่"
คำตอบของแม่ทัพหลงทำเอาทั้งสองคนหันมาหัวเราะใส่กันคลืน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็สนุกที่ได้ทำอะไรแบบนี้
"แต่ฉันจำได้ว่าคราวก่อนนายทำเอาห้องทำงานพ่อฉันสั่นไปหมดทั้งห้องเลยนะ ไม่ลองทำแบบนั้นบ้าง สยองกว่าเมื่อกี้อีก"
ท่านแม่ทัพหันมาใช้นิ้วดีดหน้าผากเสี่ยวจือเสียทีหนึ่ง แล้วทำเป็นขมวดคิ้วเข้มดุใส่
"โอ้ย อะไรของนายเนี่ย"
เสี่ยวจือช้อนตามองท่านแม่ทัพ แถมทำแก้มป่องแกล้งน้อยใจที่โดนรังแก หวังว่าจะได้คำปลอบใจบ้าง แต่ดูเหมือนแม่ทัพหลงจะรู้ทัน
"ไม่ต้องมามองข้าด้วยสายตาแบบนี้เลย ข้าเป็นใครหือ เจ้านี่ได้คืบจะเอาศอก บุรุษองอาจผ่าเผยเช่นข้าต้องมาทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ ก็เพราะเจ้านั่นแหละ อีกอย่างปรากฏการณ์นั่นในตอนนั้น มันก็ต้องใช้พลังวิญญาณไม่น้อยเลยนะ"
เสี่ยวจือมองท่าทางโอ้อวดของท่านแม่ทัพ แล้วอมยิ้ม เวลาที่แย่ที่สุด กลับมีเขานี่แหละที่มาทันเวลาเสมอ
"นายเคยบอกว่า ตราบใดที่มีนายจะไม่มีใครทำร้ายฉันได้ ฉันเชื่อแล้วล่ะว่า นายทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ขอบใจนะ"
เสี่ยวจือทำท่าคำนับแบบชาวยุทธที่เธอเห็นในหนังพีเรียดให้หลงอี้เจิน เขายิ้มน้อยๆเป็นการรับคำชื่นชมนั้น
"ทำเป็นพูดดี หากเจ้าเรียนวรยุทธ มีหรือจะโดนรังแกง่ายดายเพียงนี้"
"เรียนวรยุทธเหรอ นี่ๆ นายเป็นกังฟูใช่มั้ย สอนหน่อยสิ สอนหน่อยน่า"
เสี่ยวจือแกล้งทำเสียงอ้อนๆ หยอกแม่ทัพหลง บางครั้งเธอเองก็รู้สึกว่าจะต้องมีเทพเซียนองค์ไหน ที่ใจดีส่งเขามาให้เธอก็เป็นได้
ในชีวิตกู้เหลียนฮัวมีแต่คนยกย่องเอาใจ ไม่นึกเลยว่าวันนี้นอกจากจะเจ็บตัวแล้วยังหน้าแตกอีก
"ไปหานักพรตเก่งๆ มาให้ฉัน แพงแค่ไหนก็จ่ายได้ ฉันจะดูสิ ว่าผีของยัยนี่จะแน่สักแค่ไหนกัน"
"นัก..นักพรตเหรอคะ แต่คุณหนูกู้ ของแบบนั้นเชื่อถือได้เหรอ"
"ปากมาก!"
"โอ้ย! คุ คุณหนู"
คำพูดขัดหูทำให้เหลียนฮัวไม่พึงพอใจนัก เธอผลักคนของเธอจนหงายหลังเพื่อระบายอารมณ์
"ฉันบอกให้ทำอะไรก็ไปทำ ไม่ใช่ให้มาออกความคิดเห็น!"
เหลียนฮัวตวาดใส่ด้วยความหงุดหงิด โดยไม่รู้ว่าซีห่าวอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น จนมาได้ยินเขาเรียก
"เหลียนฮัว ..."
คนคุ้นเคยที่เธอพึงใจ ยืนอยู่ต่อหน้า หากแต่ว่าใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายนี้ไร้รอยยิ้มดังที่เคย
"พ...พี่ซีห่าว"
"มากับพี่ พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ..."
To be continue......
