บทที่9 อันตราย
"ยกแขนขึ้น ขึ้นอีก ไม่ใช่อย่างงั้น "
แม่ทัพหลงใช้ไม้เคาะไปที่แขนเสี่ยวจือแล้วใช้ไม้ดันแขน จัดท่าให้ถูกต้อง คำชี้แนะของแม่ทัพหลงค่อนข้างได้ผล นอกจากจะทำให้การยิงธนูแม่นยำขึ้น ยังช่วยให้กำลังแขนดีขึ้นไม่น้อย ร่างกายก็คล่องแคล่วขึ้น จากการที่ได้เรียนศิลปป้องกันตัวเป็นของแถม
"อันที่จริงฉันก็เก่งขึ้นเยอะแล้ว นายไม่เห็นต้องเป๊ะขนาดนั้นก็ได้นี่ ท่าผิดนิดผิดหน่อยมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่จริงมั้ย"
"ไม่ได้ต้องหัดให้เป็นนิสัย เป็นเหมือนสัญชาตญาณที่ติดตัวเจ้า เหมือนเวลาเจ้าเขียนหนังสือ หรือจับตะเกียบกินข้าว หากเจ้าเกียจคร้านเช่นนี้ คิดจะประสบความสำเร็จคงยากเต็มที"
โดนดูถูกขนาดนี้ก็ต้องพยายามกันหน่อย เสี่ยวจือยังคงฝึกฝนท่ามวยชื่อเรียกยากๆ ตามที่แม่ทัพหลงสอน ทว่าแม้สองสามวันนี้ดูจะคล่องขึ้นมาก แต่ในสายตาของหลงอี้เจินแล้ว ยังดูเก้งก้างเกินไป จนเรียกได้ว่าไม่น่าดูเอาเสียเลย
"ช้าไป เจ้าก้าวผิดแล้ว แม่นางหลินระวัง!"
เท้าเสี่ยวจือเหยียบถูกก้อนหินประดับในสนามเกือบหงายหลัง ยังดีที่แม่ทัพหลงเข้าไปรับได้ทันท่วง เขาประคองเสี่ยวจือให้ยืนตรง ทั้งสองหันมาสบตากันพอดิบพอดี
ตาเขาช่างสวยยิ่ง เสี่ยวจือนึกในใจ เธอไกล้เขาขนาดนี้หากเขามีลมหายใจ เธอคงได้ยินเสียงเป็นแน่
"น..นาย ป....ปล่อยมือเถอะ"
"เอ่อ ขออภัยแม่นางหลิน"
คำกล่าวของเธอเตือนสติเขาให้อยู่กับเนื้อกับตัว แม่ทัพหลงปล่อยมือจากเอวบางของสาวน้อย ท่าทีประหม่า
"ท่านี้มันยากน่ะ ฉันทำไม่ค่อยเป็น นายช่วยสอนอีกทีได้มั้ย"
หลงอี้เจินมีท่าทางลังเลนิดหนึ่งก่อนจะมองเธอด้วยท่าทีจริงจัง
"ข้าน้อยขออภัย ล่วงเกินแล้ว"
แม่ทัพหลงตัดสินใจก้าวมายืนด้านหลังเสี่ยวจือแล้วจับที่ข้อมือด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างประคองเอวเอาไว้ เขาก้าวตามตำแหน่งฝีเท้าก้าวย่าง นำให้เสี่ยวจือขยับกายตามการขยับของเขา
ทั้งสองร่ายรำเพลงยุทธเคียงคู่ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม เสี่ยวจือแอบมองใบหน้าจริงจังของขุนศึกหนุ่มอย่างเพลิดเพลิน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอไม่อยากละสายตาจากเขา
"เอ๊ะ นั่นเสี่ยวจือจือ"
ในสายตาของรุ่นพี่ข้างบ้านอย่างซีห่าว เขาเห็นเพียงเสี่ยวจือกำลังรำมวย ด้วยท่าทางที่องอาจและน่าประทับใจอยู่คนเดียว ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณ
เขาก้าวออกจากบ้านเดินเข้ามาในสนามหน้าบ้านเสี่ยวจือ โดยไม่รู้ตัว เพราะเธอดูช่างมีเสน่ห์จนเขาอยากเข้ามามองเธอไกล้ๆ
เสียงปรบมือทำให้เสี่ยวจือเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีคนยืนชื่นชมเธออยู่ตรงนั้น เธอรีบสะบัดแขนออกจากมือของแม่ทัพหลงแล้วขยับตัวออกมาห่างๆ
"ร..รุ่นพี่ซีห่าว มาได้ยังไงคะเนี่ย"
"อ้อ พอดีประตูรั้วมันไม่ได้ล็อค เอ้ยไม่ใช่ คือพี่เห็นเธอจากระเบียงน่ะ พี่ชอบนะ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอรำมวยได้สวยขนาดนี้"
"รำมวยได้สวย โอ้ยตายแล้วพี่ซีห่าวบอกว่าชอบด้วย"
หลิงเซียวแอบหลบสายตาซีห่าวมายิ้มจนแก้มปริ เกือบจะกรี๊ดอยู่แล้ว เธอแอบชอบเขามานาน แค่เขาชมนิดหน่อยหัวใจก็พองโต ยิ้มหน้าบาน
"ฉันไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ เพิ่งเริ่มเรียนได้ไม่กี่วันเอง"
"โหไม่กี่วันยังเก่งขนาดนี้ วันหลังต้องมาเรียนกับเสี่ยวจือบ้างแล้ว เธอต้องสอนให้พี่นะ"
"ร..เรียน เรียนกับฉันเหรอคะ"
เสี่ยวจือรู้สึกเหมือนอยากจะวูบ ที่ได้รับความสำคัญจากซีห่าว ตอนนี้เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บิดตัวเขินอาย จนซีห่าวยังรู้สึกขบขันในความน่ารักของเธอ ทว่าคนที่ยิ้มไม่ออกคือแม่ทัพหลง
เขาเดินเข้าไปสำรวจทั่วตัวซีห่าว มองจ้องตั้งแต่หัวจรดเท้า
"ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเอาวิชาของข้าไปสอนบุรุษอื่น ข้าไม่มีทางรับเขาเป็นศิษย์ เขาไม่คู่ควรกับวรยุทธของข้า"
แม่ทัพหลงแสดงความไม่พอใจ เขายืนกรานคัดค้านหนักแน่น
เพียงแต่ว่าคนที่มองเห็นและได้ยินเขามีเพียงเสี่ยวจือ เธอรีบเดินเข้าไปจูงมือซีห่าวออกมาห่างๆ แม่ทัพหลง แล้วแอบโบกไม้โบกมือไล่ท่านแม่ทัพหน้าตาเฉย
"ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้านะ ข้าอุตส่าห์สอนวิชาให้เจ้า นี่เจ้ากล้าไล่ข้างั้นเหรอ "
แม่ทัพหลงโวยวาย ไม่พอใจที่โดนไล่ เสี่ยวจือทำไม่รู้ไม่ชี้ พาเฉิงซีห่าวเดินออกไปข้างนอก
"รุ่นพี่ค่ะ เอ่อ เราไปข้างนอกดีกว่าค่ะ ออกแรงไปเยอะ ฉันหิวแล้ว ปากซอยมีร้านโจ๊กมาเปิดใหม่เราไปกินกันดีมั้ยคะ"
"เอ่อก็ดีเหมือนกัน เอ้อเสี่ยวจือ เมื่อกี้พี่เหมือนได้ยินอะไรสักอย่างเหมือนมีเสียงใครตะโกน..."
"หา ไม่มีนี่คะ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย เรารีบไปดีกว่าค่ะ หิวแล้ว หิวแล้ว"
เสี่ยวจือรีบดึงซีห่าวไปอย่างเร็ว เพราะเกรงเขาจะสงสัย ทิ้งให้แม่ทัพหลงยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น
"ฝากไว้ก่อนเถอะ"
วันนี้เสี่ยวจือ ได้ไปมหาวิทยาลัยพร้อมซีห่าว ปกติซีห่าวก็เป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นหนุ่มหล่อสุดฮอตประจำมหาวิทยาลัย สาวๆ ต่างจับตามองเขาทุกก้าวย่าง
ทว่าวันนี้คนที่จะร้อนๆหนาวๆ กลับกลายเป็นเสี่ยวจือเสียมากกว่า
กระแสอาฆาต ริษยาส่งออกมาจากทุกสายตาของสาวๆที่ทั้งคู่เดินผ่าน ทำเอาเสี่ยวจือรู้สึกหนาวไปเลย
ซีห่าวเดินไปส่งเสี่ยวจือถึงหน้าห้องเล็คเชอร์ สาวๆในห้องพากันตื่นเต้นโดยเฉพาะหลิงรุ่ย
"จือจือ เกิดอะไรขึ้นน่ะ วันนี้ทำไมพี่ซีห่าวมาส่งได้ล่ะเนี่ย มีอะไรดีๆ บอกมาเลย"
"บ้า อะไรดีๆ ที่ไหนเล่า แค่เช้านี้พี่ซีห่าวไปกินข้าวเช้าด้วยกัน พี่เขาก็เลยมารอฉันที่หน้าบ้านจะได้มามหาวิทยาลัยด้วยกันเท่านั้นเอง"
"เฮ้ยมาด้วยกันเลยเหรอ..."
แรงกระแทกที่ไหล่ ทำเอาเสี่ยวจือเซ นักศึกษาหญิงที่เข้าคราสเดียวกันแกล้งเดินชนเธอจนเซ นอกจากจะไม่ขอโทษ ยังหันมามองจ้องเหมือนอยากหาเรื่อง
"นี่ ชนคนแล้วไม่ขอโทษหมายความว่ายังไงไม่ทราบ"
"ช่างเถอะ หลิงหลิง อย่าไปยุ่งกันคนพรรค์นี้เลย"
เสี่ยวจือไม่อยากสนใจ เวลานี้เธอสนแค่เรื่องเรียนกับการแข่งขันก็ยุ่งมากพอแล้ว
ห้องล็อคเกอร์
เสี่ยวจือยืนนิ่งหน้าตู้ล็อคเกอร์ เธอเห็นข้อความที่มีคนเอาสีมาเขียนหน้าตู้ของเธอ คนอื่นๆที่เดินผ่านพากันหัวเราะเยาะ บ้างก็มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
"เสี่ยวจือมีอะไรเหรอ เอ๋!?"
ข้อความบนล็อคเกอร์ทำเอาหลิงรุ่ยฉุนขาด เธอหันมาตะโกนโวยวาย
"ใครกัน บังอาจมาแกล้งเพื่อนฉัน นี่มันจะเกินไปแล้วนะ"
กู้เหลียนฮัวกับพรรคพวกเดินเข้ามาเพื่อมาเอาชุดพละไปเปลี่ยน เธอเดินเข้ามาอ่านข้อความ แล้วหัวเราะ
"หน้าด้าน บ้าผู้ชาย เฮอะ รู้สึกคนเขียนจะรู้จักเธอดีเลยนะ เขียนได้ดี"
"รุ่นพี่ อย่าเอาตัวเองเป็นมาตรฐานสิคะ อย่าคิดว่าใครๆก็เหมือนรุ่นพี่ไปหมด"
"หลิงรุ่ย แกกล้าพูดกับคุณหนูกู้แบบนี้ได้ยังไง"
พวกของเหลียนฮัวเข้ามารับหน้าแทนนาย หลิงรุ่ยมีหรือจะสน
"พูดแล้วแล้วจะทำไม! มีอะไรงั้นเหรอ"
เสี่ยวจือรีบดึงแขนหลิงรุ่ยแล้วส่ายหน้า เธอไม่อยากให้ต่อความยาวกัน
"เราเอาของแล้วไปเถอะ นะหลิงหลิง"
เสี่ยวจือรีบเปิดล็อคเกอร์แล้วหยิบของในตู้ พลางเดินไปดึงแขนหลิงรุ่ย ให้เดินตามเธอไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
เหลียนฮัวพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนของเธอ ตามทั้งคู่ไป
เสี่ยวจือกับหลิงรุ่ยเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุด คนของเหลียนฮัวถือถังน้ำผสมสีเดินตามเข้าห้องน้ำ
เสียงร้องเหมือนตกใจอะไรบางอย่างกับเสียงถังหล่น ทำเอาทั้งสองตกใจ เสี่ยวจือรีบเปิดประตูออกมาดู ถังน้ำใส่สีแดงตกอยู่ที่พื้น น้ำสีเจิ่งนอง หลิงรุ่ยมองหน้าเสี่ยวจือเหมือนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทว่าคนที่รู้ดีที่สุดคือเสี่ยวจือ แม่ทัพหลงยืนกอดอกมองเธอ พลางพยักหน้า เสี่ยวจือส่งยิ้มบางๆให้เขา แรกๆ เธออาจกลัวเขา แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนเทพคุ้มครองประจำตัว
สนามกีฬา
"เธออยู่นั่นครับอาจารย์ เด็กสาวคนนั้นเป็นสมาชิกชมรมยิงธนูครับ"
ผู้ช่วยชี้ทางให้ฝูไห่คุนมองไปที่เสี่ยวจือ เขาอยากมาพบเธออีกครั้ง
"แม่หนูจำฉันได้หรือเปล่า"
เสี่ยวจือหันมาเจอเข้ากับนักพรตฝูถึงกับตกใจ เธอหันมองหาหลงอี้เจินเพราะเกรงเขาจะอยู่แถวๆนั้น
"แม่หนูมองหาใครอยู่รึเปล่า"
เขาแกล้งถาม ความจริงเขาสัมผัสถึงพลังวิญญาณของแม่ทัพหลงได้เบาบางอยู่ก่อนแล้ว
"ป..เปล่าค่ะ คุณลุงมีธุระอะไรกับหนูรึเปล่าคะ"
"ลุงแค่แวะมาทำธุระแถวนี้ เห็นมีการฝึกซ้อมยิงธนูกันอยู่ ลุงชอบพวกอาวุธโบราน เลยแวะมาดู ไม่นึกว่าจะเจอหนูที่นี่"
"เอ่องั้นหรือคะ"
เสี่ยวจือยิ้มฝืนๆ เธอยังเกรงว่าเขาจะถามถืงผ้ายันต์
"เอ่ออันที่จริง ลุงอยากเตือนหนูสักหน่อย บางอย่างหรือบางสิ่ง เราควรปล่อยให้อยู่ในที่ๆ ควรอยู่ หากดึงดันจะฝืนกฏธรรมชาติรังแต่จะเกิดเคราะห์ ดังนั้นลุงอยากให้หนูเห็นแก่สวรรค์เมตตา ให้เรามีวาสนาได้รู้จักกัน อะไรที่ควรปล่อยได้ก็จงปล่อยเสียเถอะ"
เสี่ยวจือเงียบไม่ต่อความ เธอส่งยิ้มอ่อนให้อาจารย์ฝู ลึกๆ เธอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
เหลียนฮัวยืนมองอาจารย์ฝูอยู่ห่างๆ เธอสงสัยว่าเขาคุยอะไรกับเสี่ยวจือ
"คนๆ นั้นเป็นใคร พวกแกเคยเห็นหน้ามั้ย"
"คุณหนูคะ รู้สึกว่าเขาจะเป็นนักพรตปราบผีชื่อดังนะคะ ฉันเคยเห็นในรายการทีวีน่ะค่ะ"
"นักพรตงั้นเหรอ"
เหลียนฮัวครุ่นคิด เธอมีบางอย่างในใจ บางอย่างที่เกี่ยวกับอาจารย์ฝูและเสี่ยวจือ
"หาทางติดต่อเขาให้ฉัน ตอนนี้ฉันนึกอะไรสนุกๆออกแล้ว"
บ้านสกุลกู้
"อาจารย์ฝู ฉันเรียกคุณว่าอาจารย์ฝูได้ใช่มั้ยคะ"
"ครับ คุณหนูกู้ ว่าแต่คุณเรียกผมมาพบไม่ทราบว่าต้องการให้ผมทำอะไร ผมดูแล้วที่นี่ไม่มีร่องรอยอาถรรพ์อะไร คุณหนูเองก็ใบหน้าแจ่มใส ไม่ได้มีสิ่งใดรังควาน เรียกผมมาแบบนี้คงไม่ใช่อยากให้ผมดูดวงให้กระมัง"
เหลียนฮัวยกยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งก่อนจะยื่นซองที่มีของรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนาพอสมควรให้อาจารย์ฝู
ผู้ช่วยของอาจารย์หยิบซองออกมานับเงินในนั้นแล้วก้มลงกระซิบจำนวนข้างหู
"งานที่คุณหนูต้องการให้ทำคงไม่ใช่งานหมูๆ อย่างปัดรังควานหรือทำพิธีเสริมดวงกระมัง "
"วางใจเถอะฉันไม่ให้คุณทำงานที่ขัดต่อความสามารถของคุณแน่ ที่ฉันอยากให้ทำ คือไล่ผีตนหนึ่งให้ฉัน "
ฝูไห่คุนยกยิ้มอย่างพอใจ เขาพอจะเดาได้ว่าเธอหมายถึงใคร
"ถ้าอย่างนั้นคุณหนูก็เรียกถูกคนแล้ว"
พิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณ
"นักพรตงั้นเหรอ"
"ใช่ เขาเป็นคนที่ให้ผ้ายันต์อันนั้นมา ดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องนายด้วย"
เสี่ยวจือเล่าเรื่องอาจารย์ฝูไปด้วยมือก็พิมพ์งานที่เครื่องคอมฯของพ่อ หลงอี้เจินครุ่นคิดเรื่องที่เสี่ยวจือเล่า
ที่ผ่านมา เขาก็ไม่ได้เข้าสิงหรือทำร้ายใครถึงแก่ชีวิต และไม่ใช่วิญญาณอาฆาต ในทางตรงกันข้าม ตลอดเวลาเนิ่นนานมากกว่า1500 ปี เขาก็เพียรพยายามบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด เหตุใดจึงมีคนมองเขาว่าเป็นวิญญาณร้าย
"เอาเป็นว่าข้าจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าดีหรือไม่ แต่เจ้าก็ควรระวังไว้ เพราะว่าในผ้ายันต์นั่นข้ารู้สึกถึงอาคมที่ไม่ใช่พลังเทวะ แต่มันแปดเปื้อนไปด้วยมนต์ดำ บางทีเขาอาตไม่ใช่นักพรตอย่างที่เขากล่าวอ้าง"
"ถ้างั้น ทำไงดีล่ะ เขาจะทำอะไรฉันมั้ยเนี่ย"
เสี่ยวจือรู้สึกกังวล แต่แม่ทัพหลงดูจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่นัก
"อย่ากลัวไปเลย มีข้าอยู่ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้ทำอันตรายกับเจ้าแน่"
"เป็นงั้นก็ดีสิ"
เสี่ยวจือลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานของพ่อ ปิดคอมแล้วเดินออกจากพิพิธภัณฑ์พร้อมกับแม่ทัพหลงโดยที่ไม่รู้
ฝูไห่คุนกลับมาที่พิพิธภัณฑ์อีกครั้งเพื่อหาเบาะแสของวิญญาณในคันธนู
ทันทีที่เขาเดินผ่านสวนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ เขาก็สัมผัสถึงพลังงานบางอย่าง
"เป็นมัน มันอยู่ที่นี่"
หมอผีชื่อดังร่ายอาคมเรียกกระบี่ อักษรคาถาสีแดงเจิดจ้าบนกระบี่ไม้จันทร์หอมปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ มันพุ่งตามจิตของฝูไห่คุนที่สั่งไป
คมกระบี่พุ่งตรงดิ่งเข้ามาจากทางด้านหลังเสี่ยวจือ แม่ทัพหลงยืนอยู่ตรงหน้าเธอ กำลังพูดคุยกับเธอในขณะกำลังเดินผ่านสวนเพื่อจะไปขึ้นรถที่ริมถนน
หลงอี้เจิน มองเห็นมันอย่างชัดเจน อันตรายนี้ยากหลีกเลี่ยง เขาแทบไม่ต้องคิด เขาผลักเสี่ยวจือออกไปด้านข้างให้พ้นวิถี
"อั่ก อ้ากกก!"
"หา!? อี้เจินนนน!!"
