
บทย่อ
เมื่อโชคชะตะพลิกผันนำพาเขาและเธอ จากคนละยุคสมัยให้มาพบกัน เรื่องวุ่นวายจึงบังเกิด เป็นความรักความผูกพันที่ข้ามกาลเวลามาถึง 1,500 ปี
บทที่ 1 ชะตาลิขิต
แสงไฟในสนามแข่งฉายฉาน หัวใจเต้นแรงราวกลองศึก เธอผ่อนลมหายใจท่ามกลางความเงียบงัน ที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง เธอกำลังพยายามตั้งสมาธิกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
สายตาสาวน้อยจดจ้องไปที่เป้าธนูตรงหน้า ภายใต้สายตานับหมื่น ที่เข้ามารอชมการยิงธนูรอบสุดท้ายของเธอ เวลานี้ความประหม่าทั้งหมดหายไปสิ้น
ลูกธนูถูกปล่อยออกไป ณ.เสี้ยวเวลานั้นเอง สายตาเธอเห็นบางอย่าง
"ใคร เขาเป็นใครกัน "
ชายหนุ่มสวมเกราะชุดทหารโบราณสีทองสลับดำหันมาจดจ้องเธอ เขาขยับปากราวกับจะกล่าวบางอย่าง
เสียงเฮดังกึกก้องทั่วทั้งสนามแข่ง หลินเสี่ยวจือหันไปมองผลคะแนนบนบอร์ด เสียงประกาศของพิธีกรในรายการแข่งขันดังขึ้น
"และแล้วก็เป็นไปตามคาดหมาย นักกีฬาหลินเสี่ยวจือเอาชนะไปด้วยคะแนนที่น่าเหลือเชื่อครับ 299 แต้มจากคะแนน 300 แต้ม ทำลายสถิติของนักแม่นธนูสาวฉายาโรบินฮูดที่เคยทำสถิติไว้เมื่อปีที่แล้วคือ 268แต้ม ซึ่งในปีนี้กู้เหลียนฮัวทำลายสถิติของตัวเองไปด้วยคะแนนสูงถึง275แต้ม แต่มันยังไม่มากพอทำให้พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย"
เสียงพิธีกรประกาศชัยชนะดังกึกก้องไปทั้งสนามแข่ง เธอรีบหันกลับไปทางที่เห็นนักรบโบราณคนนั้น ทว่าเขาหายไปจากสายตาเสียแล้ว
เด็กสาววัยเพียง19ปี ขึ้นรับถ้วยรางวัลอย่างเต็มภาคภูมิ สมกับที่เธอเพียรพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักมาตลอดตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
เธอยิ้มกว้างให้นักข่าวถ่ายรูปพร้อมกับชูถ้วยรางวัลประชันแสงวิบวับของแฟลชกล้อง
"ยินดีด้วยนะ ทีนี้เธอก็จะได้เป็นตัวแทนไปแข่งโอลิมปิกสมดังใจแล้วสิ"
กู้เหลียนฮัวกล่าว พลางยื่นมือไปจับมือกับหลินเสี่ยวจืออย่างมีน้ำใจนักกีฬา อายุของเหลียนฮัวมากกว่าเสี่ยวจือหลายปี นับได้ว่าเป็นรุ่นพี่และยังเป็นไอดอลที่เสี่ยวจือนับถือ
ทว่าภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้มของเหลียนฮัวกลับไม่เป็นอย่างที่เห็น เธอจับมือเสี่ยวจือไม่ยอมปล่อยทั้งๆ ที่นักข่าวก็ถ่ายรูปเสร็จแล้ว
เสี่ยวจือเริ่มรู้สึกถึงแรงบีบ เมื่อเธอมองไปที่หน้าของเหลียนฮัว เพื่อส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธอเจ็บ และพยายามชักมือออก เหลียนฮัวกลับดึงมือเธอเข้ามาจนเสี่ยวจือถึงกับเซ จนไปชิดกับตัวเธอ
อดีตแชมป์ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ ฉายแววเกลียดชังอยู่ภายใน พร้อมกับโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆ ข้างหู
"รักษาตัวให้ดี ระวังหน่อยล่ะถ้าเกิดมือเจ็บจนยิงธนูไม่ได้ จะแย่เอานะ"
คำขู่ถูกกล่าวออกมาจากปากอย่างไม่กระดากอายของเหลียนฮัว หาได้ทำให้หลินเสี่ยวจือหวั่นแม้แต่น้อย แต่สาวน้อยกลับโต้กลับ ด้วยการคว้าแขนของเหลียนฮัว แล้วบีบเต็มแรงจนเหลียนฮัวนิ่วหน้า ก่อนที่จะหันไปจ้องหน้าเหลียนฮัวในระยะประชิด
" อายุพี่ก็ไม่น้อยแล้ว เตรียมจัดงานเกษียณเอาไว้เนิ่นๆ ก็ดีนะคะ ไม่อย่างงั้นโดนคลื่นลูกใหม่ซัดกระเด็นเอาจะหาว่าไม่เตือน"
"น..นี่เธอ หลินสี่ยวจือหล่อนว่าฉันแก่เหรอ!"
"พี่พูดเองนะ ฉันยังไม่ได้ว่าเลยสักคำ แต่เอ พี่ก็แก่แล้วจริงๆ นี่นาเนอะ"
กู้เหลียนฮัวกรี๊ดลั่น หล่อนปรี่เข้ามาเงื้อมือจะตบเสียให้หายแค้น ทว่ากลับถูกมือหนึ่งคว้าจับเอาไว้
ชายในชุดเกราะบีบข้อมือเหลียนฮัวเอาไว้แน่น แล้วผลักเธอจนถอยไป ก่อนจะหันกลับมาหาหลินเสี่ยวจือ เขาจับที่แขนทั้งสองข้างของเธอ สีหน้าท่าทางเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างที่หวาดกลัว เขากำลังเอ่ยอะไรกับเธอแต่ไม่มีเสียง
เด็กสาวจ้องใบหน้าคมสันอย่างไม่เข้าใจ ทว่าเพียงชั่วครู่ใบหน้าของเขากลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป ผิวหนังค่อยๆ หลุดลอกออกอย่างสยดสยอง ไม่ช้าก็เหลือเพียงหัวกะโหลกชุ่มโลหิต
แม้กระนั้น นัยตาเขายังคงจ้องมาที่เธอ
"ไม่ ปล่อยฉันนะปล่อยฉัน กรี๊ด~ด!"
"เสี่ยวจือ เสี่ยวจือ! ยัยเสี่ยวจือ!"
เสียงตะคอกเต็มกกหูข้างซ้ายทำเอาสมองอื้ออึง แต่ก็ช่วยเรียกสติหลินเสี่ยวจือให้กลับเข้าที่เข้าทาง เธอหันไปหาที่มาของเสียงแล้วขมวดคิ้ว พลางยื่นมือไปจับคลำใบหน้าของผู้ที่เรียกเธอ
"หลิง หลิงรุ่ย น่ากลัวมากมันน่ากลัวมาก ช่วยฉันด้วยนะหลิงรุ่ย.."
เพื่อนสนิทขมวดคิ้วทำหน้าฉงนในอาการของเพื่อน
"อะไร พูดอะไรของเธอเนี่ย เป็นอะไรของเธออีก ฝันร้ายหรือไง ร้องซะดังเลย ยัยบ๊อง"
"ฝัน ฉันฝันไปเหรอ "
หลินเสี่ยวจือก้มลงมองตัวเองที่อยู่ในชุดพละศึกษานั่งอยู่ที่แสตนเชียร์ มือยังจับกระบอกน้ำเอาไว้แน่น เหงื่อผุดทั่วใบหน้า เมื่อรู้ตัวว่าเป็นแค่ฝันเธอจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
"ฝันอะไรของเธอเดี๋ยวก็หัวเราะเดี๋ยวก็กรีดร้อง ถามจริงฝันว่าอะไรน่ะ"
"ฉัน ฉันฝันว่าฉันได้แชมป์ยิงธนู แล้ว..แล้วก็"
พอกล่าวถึงตรงนี้เธอก็หน้าซีดเผือด เปิดกระบอกน้ำในมือขึ้นดื่มเพื่อคลายความตื่นเต้น
หลิงรุ่ย ยืนมองจ้องหน้าเพื่อนรักอย่างสงสัย พวกเธอเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยกัน และทั้งๆ ที่หลิงรุ่ยอยากเข้าชมรมโบราณคดีมากกว่าแต่ก็ยังยอมให้เสี่ยวจือลากมาเข้าชมรมยิงธนูเพราะความรักเพื่อน
"แล้วอะไร อย่าบอกนะว่าโดนรุ่นพี่ปล้ำน่ะเลยร้องซะลั่นขนาดนั้น"
"บ้า ถ้าเป็นงั้นก็ดีสิ ใครจะไปร้องเล่า หลิงหลิง"
หลิงรุ่ยจือปากหมั่นไส้เพื่อนรัก ที่พูดออกมาได้ไม่อายปาก
"พอเลยรีบไปเลยรุ่นพี่รอผ้าเย็นกับน้ำดื่มอยู่นะ ปล่อยให้ฉันเก็บลูกธนูคนเดียวแล้วมานั่งหลับฝันกลางวันอย่างงี้ใช้ได้ที่ไหน มันจะเกินไปมั้ยยะ"
เสี่ยวจือทำหน้างอลุกขึ้นยืนกระแทกเท้าอย่างหงุดหงิด ขนาดจะฝันดีหน่อยยังเจอฝันร้ายมาแทรก
ไม่ต้องพูดถึงโลกความจริงที่ว่านอกจากจะไม่ได้เป็นนักกีฬาตัวจริงแล้ว ยังต้องมาคอยบริการพวกรุ่นพี่ ที่เป็นนักกีฬาตัวจริงของมหาวิทยาลัยอีก
"เมื่อไหร่นะฉันจะเป็นอย่างพวกเขาได้น้า.....ฮือทำไมฟ้าไม่ส่งโอกาสดีๆ มาให้ฉันบ้างเนี่ย..."
เสี่ยวจือบ่นพึมพำพลางเหม่อมองท้องฟ้า เธอหิ้วกระติกน้ำแข็งที่แช่ผ้าเย็นเดินไปที่ข้างสนามซ้อม ท่าทางเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
"เสี่ยวจือ เสี่ยวจือทางนี้"
เป็นเสียงเรียกที่ไพเราะหูยิ่ง เสี่ยวจือหันไปสบตาเจ้าของเสียงนั้นทันที
รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสดใส เผยให้เห็นฟันขาวเปล่งประกาย ขนตายาวคิ้วเข้มน่าประทับใจ รูปร่างสูงโปร่งแขนกำยำที่ชุ่มเหงื่อ ลักษณะที่โดดเด่นเช่นนี้ราวกับเทพเซียนมาจุติ ชายหนุ่มกำลังวิ่งมาหาเธอพร้อมกับโบกมือให้ท่ามกลางแสงอาทิตย์ช่างดูน่าหลงไหล
"ร..รุ่นพี่ เฉิงซีห่าว.."
เสี่ยวจือเหม่อมองใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพเซียนของรุ่นพี่อย่างเคลิบเคลิ้ม รุ่นพี่ที่อยู่ข้างบ้านที่เธอแอบชอบมาตั้งแต่เด็กๆ อันที่จริงเขาก็มีส่วนเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเข้าชมรมนี้อย่างมาก
"เสี่ยวจือ..วันนี้รู้สึกเป็นไงบ้างเหนื่อยมั้ย "
"ไม่ ไม่เหนื่อยค่ะ "
เสี่ยวจือบิดม้วนขวยเขิน แค่เขาจ้องตาเธอ หัวใจก็ล่องลอยไปไกล ซีห่าวโน้มตัวลงมาไกล้ๆ ตัวเขาหอมจับใจจริงๆ เขามองหน้าเธอพร้อมกับเอ่ยเสียงนุ่มนวล
"เสี่ยวจือพี่ขอได้มั้ย...."
"ขอ ขออะไร หรือว่า..."
เสี่ยวจือคิดไปไกลเธอยืนบิดผ้าเย็นในมือแทบจะขาดคามือ แล้วหันกลับมาเผยอริมฝีปากอิ่มพร้อมกับหลับตาลง
"เสี่ยวจือเป็นอะไรน่ะ ปากเธอเป็นอะไรหรือ..."
เสี่ยวจือลืมขึ้นทันทีที่ได้ยินคำถาม
"ห..หารุ่นพี่ว่าอะไรนะ"
"พี่ถามว่า ปากของเราน่ะเป็นอะไร"
สาวน้อยยิ้มแห้ง กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะคิดหตุผลมาอธิบาย
"เอ่อคือมดกัดค่ะ มดกัดน่ะค่ะ ทายาแล้ว ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรเลย แหะ แหะ"
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว งั้นผ้าเย็นนี่.. พี่ขอนะ..."
"อ๊ะ! ค..ค่ะ นี่ค่ะรุ่นพี่"
เสี่ยวจือรีบส่งผ้าเย็นให้ซีห่าว ท่าทางดูเบ๊อะบ๊ะของเธอนั้นดูน่ารักไม่น้อย มันทำให้ซีห่าวส่งยิ้มหวานๆ ให้เสี่ยวจืออีกครั้ง ก่อนจะรับผ้าเย็นมาซับเหงื่อแล้วส่งคืนให้เสี่ยวจือพร้อมกับลูบศรีษะอย่างเอ็นดู
"ตั้งใจทำงานล่ะ แล้วก็หมั่นซ้อมให้มาก มีอะไรไม่เข้าใจต้องการให้พี่ช่วยสอนล่ะก็ มาถามได้ทุกเมื่อนะ"
"เอ๋? จริงหรือคะพี่จะสอนให้จริงเหรอคะ"
"จริงสิ แต่ช่วงนี้พี่ต้องซ้อมสำหรับการแข่งกีฬามหาวิทยาลัย อาจไม่ค่อยมีเวลา เอาไว้จบการแข่งอาทิตย์หน้าพี่จะติวเข้มให้นะ อ้อพี่มีความลับจะบอก พรุ่งนี้โค้ทจะประกาศรับสมัครนักกีฬาคัดตัวเข้าเป็นเด็กฝึกเพื่อเข้าทีมแข่งขันแทนคนที่เรียนจบน่ะอย่าลืมไปสมัครล่ะ ไปล่ะนะ..."
ซีห่าวกล่าวจบก็รีบวิ่งกลับไปที่กลางลานฝึกซ้อมพร้อมกับโบกมือให้เสี่ยวจือ
เด็กสาวโบกมือตอบอย่างมีความสุขหน้าชื่นตาบานอย่างออกหน้าออกตา โดยไม่สังเกตุว่ามีหลายสายตากำลังมองด้วยความหมั่นไส้
"กรี้ด!! เจ๋งไปเลย การคัดตัวนักกีฬาเหรอ ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลย ว่ารุ่นพี่จะน่ารักได้ขนาดนี้ วันนี้ทำไมมันช่างเป็นวันโชคดีของเราโดยแท้เลย"
เสี่ยวจือรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติรุ่นพี่เฉิงซีห่าวก็น่ารักอยู่แล้ว แต่อากัปกิริยาเมื่อครู่นั้นยิ่งทำให้น่ารักขึ้นไปอีกหลายเท่า
จะเพราะดีใจจนเกินเหตุหรือเพราะไม่ทันระวังตัว แรงกระแทกที่ไหล่จากทางด้านหลังทำเอาเสี่ยวจือเซถลาล้ม ไถลไปกับพื้นสนามซ้อม
เธอรู้สึกแสบๆ ตรงหัวเข่า ขากางเกงเป็นรอยขาดทำให้เห็นแผลตรงหัวเข่าที่ถลอก แต่แทนที่คนชนจะขอโทษกลับตวาดเสียงดัง ราวกับเสี่ยวจือเป็นคนผิด
"เดินระวังหน่อยสิ มัวแต่ยืนเหม่อเกะกะขวางทางคนอื่นอยู่ได้"
เสี่ยวจือกัดริมฝีปากด้วยความโกรธเธอหันกลับไป ว่าจะต่อปากต่อคำตามนิสัยไม่ยอมใครของเธอ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะผู้หญิง3คน ที่ยืนล้อมอยู่คือนักศึกษารุ่นพี่ปี3 ที่อยู่ชมรมยิงธนูหน้าเดิมๆ ที่มักจะหาเรื่องแกล้งเด็กปี1อย่างเสี่ยวจือหรือหลิงรุ่ยประจำ ซึ่งคนพวกนี้เสี่ยวจือไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้วเว้นเสียแต่ว่าคนที่หนุนหลังพวกนี้อยู่นี่สิ
"พวกเธอก็จริงๆ เลย ไปถือสาหาความเด็กมันทำไม พวกไม่ประสีประสาก็มันจะเดินทะเล่อทะล่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้แหละ"
เสี่ยวจือลุกขึ้นยืนจ้องหน้าผู้กล่าววาจาเสียดสี ร่างบางใบหน้าคม เชิดหน้ามองเสี่ยวจือด้วยสายตาเหยียดหยาม แม้เธอผู้นี้จะดูสวยดุจนางพญาแต่ทว่ากลับมีจิตใจที่อัปลักษณ์ยิ่ง ผิดกับฝีมือการยิงธนูของหล่อน ที่ต้องยอมรับว่าแม่นเหมือนจับวาง
"สวัสดีค่ะรุ่นพี่เหลียนฮัว...."
เสี่ยวจือกล่าวทักทายอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก เพราะตั้งแต่เธอเข้ามาในชมรม เธอก็ถูกตั้งแง่จากกู้เหลียนฮัวและพรรคพวกมาโดยตลอด
และคงไม่พ้นเพราะรุ่นพี่เฉิงซีห่าวเป็นสาเหตุ คนเขารู้กันทั้งมหาวิทยาลัยว่ากู้เหลียนฮัว ปิ้งรุ่นพี่ซีห่าวมานานแล้ว แต่จะทำไงได้ในเมื่อพ่อของเหลียนฮัว หรือก็คือประธานกู้ เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณที่พ่อของเสี่ยวจือทำงานอยู่
ครั้นจะปะทะตรงๆ คงไม่ดีเท่าไหร่
"หึ.. เสี่ยวจือ ฝีมือยิงธนูแบบผีเข้าผีออกอย่างเธอน่ะ อย่าคิดไปคัดตัวให้อายคนเลยดีกว่านะ อย่างเธอน่ะเหมาะกับยิงหนังสติ๊กตามป่าตามเขามากกว่า อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะ ฉันน่ะเตือนด้วยความหวังดีนะ เดี๋ยวจะพาลหน้าแตกซะเปล่าๆ"
"ขอบคุณที่หวังดีนะคะรุ่นพี่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หน้าของฉันฉันดูแลเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาห่วงหรอกค่ะ"
กู้เหลียนฮัว ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่งสายตามองขึ้นลงใส่เสี่ยวจือแล้วสะบัดหน้าเดินจากไปพร้อมพรรคพวก
"โอ้ยหงุดหงิด!"
เสี่ยวจือโยนกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะทำงานของบิดาในคลังเก็บของอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานพลางบ่นอย่างเสียอารมณ์
"เป็นอะไรไปอีกล่ะ ใครทำอะไรลูกอีก"
ศาสตราจารย์หลิน เอ่ยถามโดยไม่ได้หันกลับมามองบุตรสาว เขากำลังง่วนกับการแกะลังไม้ที่บรรจุของบางอย่างมา
"อะไรคะพ่อ.. พ่อกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ"
"ของเพิ่งมาถึงน่ะ อันนี้ลูกต้องชอบแน่ ทายดูสิว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนี้"
เสี่ยวจือมองไปที่หีบไม้ ขนาดยาวราว 80 นิ้วที่บรรจุภายในลังไม้ หีบใบนั้นแกะสลักลวดลายมังกร 5 เล็บ และเถาดอกพุฒตาน เธอเงยหน้ามองพ่อแล้วส่งสายตาเป็นประกาย
"นี่ใช่อย่างที่หนูคิดหรือเปล่าคะพ่อ..."
"จะลองเปิดดูมั้ยล่ะ"
"ได้เหรอคะ"
ศาสตราจารย์พยักหน้าพร้อมกับส่งถุงมือให้บุตรสาว เสี่ยวจือรีบรับมาสวมก่อนจะค่อยๆ เปิดหีบไม้ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
คันธนูโบราณ ขนาดยาวประมาณ70-75 นิ้ว ถูกบรรจุอยู่ภายในหีบใบนั้น มีการสลักลวดลายราชสีห์มีปีกอย่างงดงามน่าเกรงขาม คันธนู (Riser) รวมถึงปีกธนู (Limb) ทำจากทองเหลือง ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แม้ลวดลายบางส่วนจะเลือนหายจากการใช้งานมามากมันก็ยังสวย ขาดแต่เพียงสายธนูเท่านั้น และดูท่าจะมีน้ำหนักไม่น้อยเลย
"นี่ของใครคะ มันสวยมากเลย..."
"คันธนูนี้อายุราว1500 ปีแล้วล่ะ ลูกยังจำเรื่องที่พ่อเล่าเกี่ยวกับแม่ทัพไร้พ่ายแห่งเป่ยเหลียงคนนั้นได้ใช่มั้ย"
"ไม่จริงน่านี่ของเขาหรือคะ พระเจ้า ถ้าได้ลองง้างสายธนูล่ะก็...."
"ฮ่า ฮ่า ฮ่าลูกง้างมันไม่ไหวหรอก น้ำหนักง้างสายน่าจะอยู่ที่140 ปอนด์เลยทีเดียวนะ อย่างลูกเนี่ยแค่ 50 ก็ไม่ไหวแล้ว"
ศจ.หลินลูบศรีษะบุตรสาวด้วยความเอ็นดู แล้วไปหยิบเครื่องมือมาวัดรายละเอียดต่างๆ รวมถึงเก็บภาพถ่ายมุมต่างๆ ของคันธนูเพื่อบันทึกข้อมูล
เสี่ยวจือลูบๆ คลำๆ คันธนูด้วยความเสียดายอยากจะสัมผัสมันตรงๆ แต่พ่อคงจะไม่อนุญาติ ได้แต่จับผ่านถุงมือ
"น้ำหนักดึงสาย 140 เชียว เจ๋งเป็นบ้า อยากเห็นซะแล้วสิว่าท่านแม่ทัพหน้าตาเป็นยังไงน้า..."
เสียงม้าระคนเสียงกระทบของโลหะดังอื้ออึงจนปวดหัว เสี่ยวจือลืมตาขึ้นภายใต้แสงสลัวของจันทราในสถานที่อันรายล้อมไปด้วยป่าไผ่
สายลมพัดใบไม้ดังหวีดหวิว เด็กสาวรู้สึกถึงแรงสะเทือนของฝีเท้าม้า พร้อมกับเสียงหวดของมีคมฝ่ากระแสลมพัด
ประกายดาบสีเงินวาดเข้าหาเสี่ยวจืออย่างไม่ทันตั้งตัว เธอผงะหงายพ้นวิถีอย่างหวุดหวิด ทว่าผู้จู่โจมในชุดสีดำยังวาดดาบฟันลงมาอีกครั้ง
สาวน้อยยกแขนขึ้นรับเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่ดาบจะวาดลงมาถึง ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ากระทบดาบจนหักสะบั้น ตามด้วยดอกที่สองทะลุกลางหน้าผากภายในเวลาไม่ถึง 3 วินาที
เสี่ยวจือหันมองไปยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา ชายในชุดเกราะโบราณบนหลังม้าโน้มตัวมาทางด้านข้างพร้อมกับยื่นมือมาหาเธอในขณะที่ม้าวิ่งเข้ามาในระยะไกล้
"ส่งมือมาเสี่ยวจือ!"
"อี้เจิน!"
เสี่ยวจือตะโกนลั่นพร้อมกับลุกพรวดขึ้นนั่ง ด้วยความตกใจ เหงื่อออกท่วมตัวทั้งๆ ที่ห้องก็เปิดแอร์ เธอรู้สึกสับสนในความคิด และพยามทบทวนเรื่องเมื่อครู่
"เราอยู่ที่ไหน นี่มันห้องเรานี่ ฝัน ...เมื่อกี้เป็นความฝันเหรอ เหมือนจริงมาก แต่ใครกันล่ะ ใครกันคนในฝันคนนั้น...เขาชื่ออะไรนะ....โอยปวดหัว ทำ ...ทำไมเรานึกไม่ออก"
เสี่ยวจือพยายามทบทวนเรื่องเมื่อครู่แต่น่าแปลกทั้งๆ ที่เพิ่งจะเรียกชื่อเขา แต่กลับเหมือนกับว่ามันหายไปราวกับหมอกควัน แม้แต่ใบหน้าก็ยังจำไม่ได้
แต่จำได้ก็เท่านั้นในเมื่อมันเป็นแค่ฝันคงไม่สำคัญเท่าไหร่ เธอเลิกคิดให้ปวดหัวแล้วรีบรุดไปแต่งตัว
วันนี้คือวันที่เสี่ยวจือรอคอยมาตลอด ไม่ว่ายังไงเธอจะต้องลงสมัครเพื่อคัดตัวให้ได้ เธอคว้าเคสใส่คันธนูตัวโปรดติดมือไป แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือแวะไปที่พิพิธภัณฑ์ เพื่อขอพรกับคันธนูโบราณ
คันธนูยังอยู่ในห้องทำงานของพ่อ ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในส่วนจัดแสดง
หัวใจเด็กสาวเต้นแรง มันคือโอกาสหนึ่งเดียวที่จะได้สัมผัสมัน เธอมองซ้ายมองขวา เวลานี้ยังเช้าอยู่ ลูกศิษย์ของศาสตราจารย์หลินยังไม่มีใครมาจึงเป็นโอกาสดีของเสี่ยวจือ
เธอรวบรวมความกล้าเอื้อมมือไปแตะคันธนูด้วยมือเปล่า จะด้วยคิดไปเองหรือไม่ เธอรู้สึกเหมือนได้รับพลังบางอย่าง มันทำให้เสี่ยวจือรู้สึกมั่นใจขึ้นเป็นกอง เสียดายก็แต่คันธนูไม่ได้ขึ้นสายเอาไว้ ไม่อย่างงั้นเธอคงลองง้างดูสักครั้ง
เสี่ยวจือหันซ้ายแลขวาให้แน่ใจอีกรอบ ว่าไม่มีใครเข้ามาจริงๆ แล้วเริ่มกราบไหว้ขอพรอย่างที่ตั้งใจมาแต่แรก
"..ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ เมตตาฉันด้วยนะคะ ฉันอยากเป็นนักแม่นธนูอย่างท่านมากเลย ช่วยหน่อยนะคะขอให้ฉันได้รับเลือกด้วยเถอะค่ะ เพี้ยง!"
เด็กสาวก้มหน้าก้มตาไหว้ขอพร โดยเธอไม่ได้สังเกตุเลยว่าเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับคันธนูตรงหน้า
ประกายสีทองระยิบระยับส่องแสงออกมาจากคันธนูกระทบใบหน้าเธอชั่วขณะหนึ่งแล้วหายไป
"เสี่ยวจือ นั่นลูกมาทำอะไรตรงนี้ ลูกจับมันเหรอ"
เสียงทักทายทำเอาเสี่ยวจือสะดุ้งสุดตัว พ่อของเธอเข้ามาเห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างกล่องเก็บคันธนู
"อุ้ย! คุณพ่อ เปล่านะคะ ใครจะทำแบบนั้นเล่า เอ่อหนูแค่แวะมาดูมันหน่อยน่ะค่ะ เดี๋ยวหนูไปมหาลัยก่อนนะคะ..."
"พิลึก รีบอะไรขนาดนั้น"
ศจ.หลิน งุนงงกับพฤติกรรมบุตรสาวที่พอเห็นหน้าเขาก็รีบวิ่งแจ้นอย่างกับเห็นผี เขาส่ายหน้าแล้วเดินไปออกไปสั่งงานผู้ช่วยโดยไม่รู้ว่ายังมีอีกคนอยู่ในห้องนั้น
ร่างเรืองแสงสีทองในชุดเกราะนักรบโบราณ ยืนจดจ้องเบื้องหลังของเสี่ยวจือที่เดินจากไป ก่อนจะเลือนหายไม่ต่างจากละอองฝุ่นสีทองที่ถูกลมพัด ติดตามเด็กสาวโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยสักนิด"
TO BE CONTINUE.......
