บท
ตั้งค่า

บทที่4 ขุนศึก

พิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์โบราณ....

"นี่ไงอยู่นี่ไง คันธนูราชสีห์คำรน คาดว่าถูกสร้างในช่วงคศ.512 มีบันทึกกล่าวถึงในช่วงปีคศ512-585 แล้วจึงหายสาบสูญ ปัจจุบันเป็นสมบัติของตระกูลหลงแห่งเจียงหนาน ถูกเก็บรักษาไว้ในสุสานสกุลหลงมาเป็นเวลาเกือบ1,500ปี อ้าวหมดเท่านี้...."

บันทึกในคอมฯยังไม่แล้วเสร็จ ข้อมูลที่ได้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เสี่ยวจือลองค้นหาบันทึกที่เขียนด้วยลายมือเผื่อจะเจออะไรบ้าง

"นี่มันยังไม่สมบูรณ์น่ะนะ พ่อเขียนเอาไว้ว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดา เล่าลือกันว่าธนูนี้เป็นของพระราชทานให้อ๋องต่างแซ่ นามว่า หลงอี้เจิน เอ๋ ชื่อนี้คุ้นๆ แฮะ โอเค อย่างน้อยก็รู้ชื่อนายล่ะ"

".....หลงอี้เจิน...."

ท่านแม่ทัพทวนคำอย่างครุ่นคิด 

"เอ่อ....แต่แม่นางหลิน ในบันทึกกล่าวลักษณะของท่านอ๋องผู้นี้หรือไม่ มีอะไรยืนยันได้ว่านี่เป็นนามของข้ารึเปล่า"

"ไม่มีนะ ปกติคนสำคัญแบบนี้น่าจะมีรายละเอียดกว่านี้แต่นี่ทำไม  อย่างกับโดนลบออกจากประวัติศาสตร์เลย"

สีหน้าของท่านแม่ทัพดูเคร่งเครียด เขารู้สึกเสียดายนิดหน่อย

"ไม่แน่ว่าบางทีข้าอาจไม่ใช่เจ้าของคันธนูราชสีห์คำรนก็ได้ ในเมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ หลงเหลือ ข้าเองก็ไม่อยากทึกทักเอาเองว่าข้าสำคัญเช่นนั้น"

"มันก็จริง...แต่ฉันจะเรียกนายว่าอี้เจินไปก่อนแล้วกัน นี่ในนี้พ่อยังบอกอีกว่า อ๋องอี้เจินได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพพลธนู ของกองพลธนูทองขึ้นตรงกับราชสำนักตั้งแต่อายุ17 ปี น่าเสียดายที่เสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง25....."

อ่านมาถึงตรงนี้เสี่ยวจือก็หยุดชะงัก เธอหันกลับไปมองท่านแม่ทัพ อย่างกระอักกระอ่วนใจ

"ข้าไม่เป็นไร แม่นางอย่าใส่ใจเลย ถึงอย่างไรข้าก็ตายมานับ1000 ปี ยังจะมีสิ่งใดให้เสียใจอีกเล่า ชายชาติทหารตายในสนามรบก็เป็นเรื่องธรรมดา"

"อ้าว?! เสี่ยวจือมาทำอะไรในนี้กันล่ะ"

ผู้ช่วยคนหนึ่งของศจ.หลินเดินเข้ามาพอดี เขาเข้ามาวางใบรับของที่มาส่งเพื่อใช้ในการจัดแสดง

"เอ่อ ฉันมาหาข้อมูลไปทำรายงานน่ะค่ะ ในนี้มีบันทึกไม่ครบพี่พอจะทราบมั้ยคะ"

"ไหน? อ๋อ.... อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่าเขาน่าจะใช่แม่ทัพไร้พ่ายคนนั้น ลือกันว่าเขาทรยศขายชาติจนถูกประหารด้วยการดื่มยาพิษ บ้างก็ว่าถูกลอบสังหารในวันอภิเษกชายา หรือไม่ก็หายสาบสูญไปในระหว่างการล่าสัตว์"

คำพูดของผู้ช่วยทำให้แม่ทัพถึงกับผงะ เขาเบิกกว้างจ้องมองมายังเสี่ยวจือด้วยสีหน้าที่ตื่นตะลึง ฉับพลันนัยตานั้นของเขาส่องประกายเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เส้นเลือดสีดำผุดขึ้นที่ลำคอแล้วเริ่มแผ่สู่ข้างแก้ม 

"เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆก่อนนะ อี้เจินคุณใจเย็นก่อน "

 ฉับพลันห้องทั้งห้องกลับสั่นสะเทือนราวกับผีสิง ผู้ช่วยศจ.หลิน หันมองไปรอบๆด้วยความตระหนก

"อะไรน่ะ แผ่นดินไหวเหรอ เสี่ยวจือออกไปข้างนอกเร็ว!"

เขาหันมาเรียกเธอ ทว่าเสี่ยวจือรู้ดีว่าสาเหตุไม่ได้มาจากแผ่นดินไหว

"อี้เจินคุณตั้งสตินะ มันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ คุณต้องหยุดเดี๋ยวนี้ หยุดสิ!"

เสี่ยวจือพยายามเรียกสติท่านแม่ทัพ แต่ไม่ได้ผล เขาไม่ฟังสิ่งใด

"...ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่! ข้าไม่มีทางขายชาติ ไม่มีทางทรยศเป่ยเหลียง ไม่มีทาง อ้าาาา!!!!"

ร่างของท่านแม่ทัพค่อยๆ เลือนหายไปจากที่นั้น พร้อมกับอาการผิดปกติของห้อง ทิ้งความงุนงงไว้ให้ผู้ช่วย คงมีแต่เสี่ยวจือที่รู้ความจริง

"เฮ้อ นึกว่าจะตายซะแล้ว ตกลงท่านแม่ทัพ นายไปสู่สุคติแล้วใช่มั้ยเนี่ย สาธุ สาธุอย่ากลับมาอีกเลยนะคะ"

เสียงฝีเท้าม้าระคนเสียงกระทบของโลหะดังชัดเจนในห้วงความคิด ภายใต้ความมืดมิดสุดหยั่งถึง มีเพียงแสงสว่างอันน้อยนิดเบื้องหน้า เสี่ยวจือวิ่งเข้าไปไขว่คว้ามือหนึ่ง ที่อยู่ท่ามกลางแสงนั้น

"เสี่ยวจือส่งมือมา!"

เขาตะโกนบอก พร้อมส่งมืออันแข็งแรงคว้าเอามือของเสี่ยวจือแล้วดึงขึ้นด้วยพละกำลัง พาตัวเธอขึ้นหลังม้า โดยนั่งอยู่เบื้องหน้าเขา

เธอพยายามหันกลับไปมองใบหน้าคมสันซึ่งกำลังมองไปตรงข้างหน้าอย่างตั้งใจควบม้า

อาชาขนสีดำขลับวิ่งพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว มันกำลังหนีฝีเท้าม้าของกลุ่มชายชุดดำที่ติดตามอย่างไม่ลดละ ลูกธนูถูกยิงตามหลังมาดอกแล้วดอกเล่า เขาพยายามหลบหลีกมัน พร้อมกับหันกลับไปยิงต้านเป็นระยะ

การจู่โจมต่อเนื่องที่ยากจะหลบหลีก ประกายของอาวุธที่ต้องแสงจันทร์พุ่งเข้ามาโจมตีแบบเฉียดฉิว ทำให้ใจของเธอหวาดหวั่น

"อ...อี้เจิน..."

"จับให้มั่นอย่าเพิ่งพูดอะไร ระวังกัดลิ้น!"

ในที่สุดอาชาคู่ใจของเขาพาทั้งคู่สลัดหลุดจากศัตรู  ได้ที่แนวป่าไผ่ เขาค่อยๆ ลดความเร็วลงจนม้าหยุดฝีเท้า

ไร้ซึ่งแสงไฟจากบ้านเรือนผู้คน มีเพียงแสงสลัวของจันทรา ขุนศึกหนุ่มลงจากหลังม้า เขายื่นมือมารอรับตัวเธอ หญิงสาวจับที่แขนของเขา  ให้เขาช่วยประคองเธอให้ลงมาอย่างอ่อนโยน

เสี่ยวจือจ้องมองใบหน้านั้น มีบางอย่างทำให้เธอรู้สึกคุ้นตายิ่ง เขาจับมือเธอพลางส่งยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งคู่ผละจากม้าลงเดินเท้าเพื่อหาที่หลบภัยในค่ำคืนนี้

ทว่า เพียงก้าวเดินไม่กี่ก้าวเขาก็ล้มลงหมดสติ  เสี่ยวจือรีบผวาเข้าประคองร่างของเขา แต่รับน้ำหนักไม่ไหวเธอจึงล้มตามเขาไปด้วย

"ท่านเป็นอะไรไป อี้เจิน อี้เจิน!"

เสี่ยวจือพยายามเรียกชื่อเขาให้คืนสติ  ณ.ช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกได้ว่าฝ่ามือของเธอสัมผัสกับน้ำอุ่นๆ ที่แผ่นหลัง

แม้จะอยู่ในแสงสลัวของจันทรา เธอก็ยังมองเห็นได้ว่า  มือของเธอบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของชายผู้นี้

ลูกธนูสองดอกปักเข้าที่ไหล่ขวาและเอวด้านซ้าย เขาเสียเลือดมากแต่ก็ยังพาเธอหนีมาได้ไกลเพียงนี้

"ไม่ไม่...อี้เจิน! อี้เจิน!"

เสี่ยวจือตื่นจากฝัน นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอฝันอะไรแบบนี้ เพียงแต่ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีถึงชายคนนั้นว่าเขาคือใคร

"ฝันประหลาด แปลกเกินไปแล้ว บ้าอะไรเนี่ย"

เด็กสาวล้มตัวลงนอนอีกครั้ง หลับตาพลางนึกทบทวนความฝันเมื่อครู่ แต่แล้วก็รีบลุกพรวดขึ้นนั่งเพราะนึกอะไรบางอย่างออก

เพื่อความมั่นใจเสี่ยวจือค่อยๆ แง้มประตูห้องด้วยใจระทึก เธอมองสำรวจไปรอบๆ ก้มๆเงยๆ หาให้แน่ใจว่าไม่มีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ในบ้าน

"กรี๊ด ไม่มี สุดยอด เจ๋งเป้งไปเลย เท่านี้ก็ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกแล้ว"

เหมือนยกภูเขาออกจากอก อย่างน้อยก็สามารถเดินออกจากบ้านอย่างสบายใจ ถึงแม้จะระแวงนิดๆ ว่าจะโผล่มาแบบไม่ให้ตั้งตัวตอนไหนก็เท่านั้น

ทางไปมหาวิทยาลัยของเสี่ยวจือนั้น จะต้องผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์ ถึงเธอจะรู้สึกดีใจหน่อยๆ ที่ท่านแม่ทัพไม่ได้ตามเธอมา แต่อาการของเขาเมื่อวานก็น่าห่วงไม่น้อย เธอหันมองไปยังพิพิธภัณฑ์ ใจนึงก็อยากจะแวะลงไปดูสักหน่อยแต่อีกใจก็ไม่กล้า

"ช่างเถอะช่างเถอะ เขาเป็นผีนี่นาจะคิดสั้นได้เหรอ ไม่ต้องไปห่วงหรอกมั้ง ไม่แน่ว่าป่านนี้อาจจะกำลังเดินข้ามแม่น้ำ ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไปแล้วก็เป็นได้"

มหาวิทยาลัย.....

"เดินมาโน่นแล้วค่ะ คุณหนูเหลียนฮัว ...."

เหลียนฮัวยืนอยู่บนชั้นสองของอาคาร สายตาจับจ้องไปตามทิศที่พรรคพวกของเธอชี้ให้มองพลางยกยิ้ม

เธอมองหลินเสี่ยวจือกำลังเดินมาตามทางเดินริมฟุตบาทแล้วพยักหน้าส่งสัญญาณให้พวกของเธอ

คนของคุณหนูกู้เดินไปตรงทางเชื่อมอาคาร พร้อมกับยื่นมือออกไปนอกทางเชื่อม ในมือพวกเธอถือของบางอย่างเอาไว้

แก้วชานมถูกปล่อยลงอย่างจงใจ มันให้หล่นใส่หัวเสี่ยวจืออย่างไม่ทันให้ตั้งตัว น้ำชานมหกกระจายทั่ว มันเปียกเลอะเทอะเด็กสาวไปทั้งตัว  เสียงขบขันที่ดังออกมาทำให้เสี่ยวจือเงยหน้าขึ้นมอง 

สายตาเยาะเย้ยมาจากคนกลุ่มเดิมๆ รุ่นพี่ในชมรมยิงธนู แม้ไม่อยากถือสาหาความแต่นี่มันออกจะเกินไปหน่อย

"นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง"

"อุ้ยขอโทษที พี่ไม่เห็นเธอนี่ พอดีมันหลุดมือน่ะ อย่าถือสาเลยนะฮิฮิ"

คำขอโทษกับกิริยานั้นช่างสวนทางกันอย่างมาก คนที่สัญจรไปมาเห็นสภาพเสี่ยวจือแล้วพากันหัวเราะเยาะ แล้วตอนนี้ก็เริ่มเหนียวตัว

"ฝากไว้ก่อนเถอะ... ซวยชะมัดเลย"

เธอบ่นหงุดหงิด ทั้งชุดทั้งกระเป๋าเปียกเลอะไปหมดครั้นจะเข้าเรียนทั้งแบบนี้คงไม่ได้  วันนี้มีเลคเชอร์ตอนเช้าเป็นวิชาสำคัญด้วย เธอจึงรีบไปห้องน้ำเพื่อล้างตัว 

เหลียนฮัวพยักหน้าส่งสัญญาณ พรรคพวกของเธอรีบวิ่งตามเสี่ยวจือไปห่างๆ

"ทำไงดีเนี่ย ชุดสำรองก็ไม่มี "

เสี่ยวจือมองตัวเองในกระจกแล้วส่ายหน้า ชุดของเธอเป็นรอยด่างไปหมด เพียงแค่เช็ดคงไม่พอ เธอหันมองนักศึกษาหญิงสองสามคน ที่เข้ามาก่อนหน้า ที่มองเธอแล้วพาซุบซิบ แล้วรู้สึกสงสารตัวเองจริงๆ

"เวรกรรม  เหนียวขนาดนี้ คงต้องรอคนไปก่อน แล้วค่อยถอดมาซักแล้วกัน"

ที่ทำได้ตอนนี้คือก้มหน้าลงไปล้างหน้าให้สะอาดพร้อมกับสางผมในน้ำ 

มีคนออกจากห้องน้ำ เข้ามายืนล้างมือในอ่างไกล้ๆตัวเธอ เสี่ยวจือได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้องน้ำประมาณ2-3คน แต่เธอไม่ได้สนใจมากนัก ยังคงตั้งอกตั้งใจล้างผมในอ่าง

เสียงล็อกประตูทำให้เสี่ยวจือเงยหน้าขึ้น จู่ๆ ผู้หญิงสองคนที่ยืนขนาบสองข้างของตัวเธอ  หันมาจับล็อคแขนของเธอเอาไว้แน่น

"จะทำอะไรน่ะ หยุดนะ"

สามคนที่เข้ามาสมทบไม่ใช่ใครอื่น รุ่นพี่ที่เป็นเหมือนมือเท้าของเหลียนฮัว สองในสามเข้ามาช่วยกันลากเสี่ยวจือแล้วจับเธอกดลงกับพื้น

หลังและศรีษะของเธอกระแทกพื้นกระเบื้องอย่างแรง จนตอนนี้ทั้งเจ็บ ทั้งมึนไปหมด

"โอยเจ็บ พวกพี่คิดจะทำอะไร นี่บ้าไปแล้วเหรอ ทำไมทำแบบนี้!"

ตัวหัวโจกก้าวเข้ามานั่งคล่อมตัวเสี่ยวจือเอาไว้ แล้วใช้มือบีบคางเธอให้หันมามองหน้า เวลานี้ทั้งแขนขาของเสี่ยวจือถูกกดเอาไว้กับพื้น

"เธอเนี่ยมันสกปรกดีนะ เอาอย่างงี้พี่ว่าเสื้อผ้าเธอเลอะเทอะดูแบบนี้ดูไม่สบายตัวเลย ให้พี่ช่วยถอดออกให้เธอนะ"

"อะไรนะ  ไม่! อย่านะ หยุด! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ฉันอยู่ในนี้"

เสี่ยวจือดิ้นรนสุดฤทธิ์ เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา คนพวกนั้นเอาผ้าพันคอมามัดปิดปากเสี่ยวจือเอาไว้

"เร็ว ถอดเสื้อผ้ามันออก! มัดมือมัดเท้ามันเอาไว้"

เสี่ยวจือถูกถอดชุดออกเหลือแต่ชุดชั้นใน เสื้อผ้าถูกพวกนั้นเอากรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วโยนใส่เธอ

เสี่ยวจือได้แต่กัดฟัน แม้จะโดนแกล้งขนาดนั้นแต่เธอก็ยังไม่ยอมให้เห็นน้ำตา

"ไม่ร้องให้คนช่วยแล้วเหรอ ไหนร้องไห้ให้ดูหน่อยสิ"

เสี่ยวจือกัดริมฝีปากแน่น พลางถลึงตามองคนพวกนั้น ไม่มีแม้น้ำตาสักหยดออกจากดวงตาคู่นี้

"เชอะ หยิ่งนักเหรอ ลองโดนขังในนี้สักคืนดูจะหยิ่งได้แค่ไหน พวกเราไป"

พวกนั้นค้นเอามือถือของเสี่ยวจือมาแช่น้ำในอ่างล้างมือแล้วล็อคแม่กุญแจทางด้านนอกประตู พร้อมกับลากป้ายปิดปรับปรุงมาตั้งขวางหน้าห้องน้ำเอาไว้

เสี่ยวจือนอนขดตัวอยู่บนพื้นห้องน้ำ เธอพยายามเอาลิ้นดุนผ้าพันคอที่มัดปากเอาไว้ออก พร้อมกับถูหน้าไปมากับพื้น จนในที่สุดผ้าพันคอก็หลุดออก 

ถึงตอนนี้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้เสี่ยวจือสุดจะอดกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่อยู่ น้ำตาหยดใสๆ หล่นลงที่พื้นห้องน้ำที่ทั้งเย็นและชื้น เธอพยายามลุกขึ้นถอยมานั่งพิงพนังห้องน้ำเอาไว้

ใบหน้าของคนที่คิดถึงลอยอยู่ในห้วงความคิด เธอไม่กล้าส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เพราะหากมีคนเห็นสภาพเธอตอนนี้คงไม่แคล้วกลายเป็นขี้ปากคนไปอีกนาน

"พี่ซีห่าว..ถ้าพี่อยู่ล่ะก็คงจะดี..."

เสี่ยวจือเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เธอถูกขังอยู่ที่นี่ทั้งวัน ความหิวผนวกกับความหนาวทำให้อ่อนเพลียจนเผลอหลับไป ยิ่งฟ้ามืดอากาศยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ เธอตื่นด้วยอาการสะลึมสะลือเพราะพิษไข้

ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้สึกหนาวสั่น จนริมฝีปากเริ่มซีดเซียว หลิงเซียวพยายามเงี่ยหูฟัง สิ่งที่ได้ยิน มีเพียงเสียงหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแทรกความเงียบรอบๆ ตัวเท่านั้น

"มืดแล้ว....จะทำยังไงดี....."

กึงงง เสียงโลหะกระแทกดังสะท้อนแทรกความเงียบงัน เด็กสาวลืมตาขึ้นมอง ภาพอันเลือนลางตรงหน้า ปรากฏร่างบุรุษผมสีดำขลับมัดหางม้าสูง สวมชุดนักรบเกราะโบราณ 

เสี่ยวจือยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน นี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอดีใจที่เห็นเขา

"คุณมา คุณมาช่วยฉันงั้นเหรอ"

"แม่นางหลิน แม่นางหลิน ตั้งสติไว้"

แม่ทัพหลงรีบเดินเข้าไปดูอาการ ใบหน้าของเสี่ยวจือซีดเซียวและมีไข้ แม่ทัพหลงพยายามเรียกให้เธอได้สติ

"แม่นางหลิน เจ้าหลับไม่ได้นะ มองข้าสิ เป็นความผิดข้า ข้าไม่น่าปล่อยเจ้าไว้ให้อยู่คนเดียวเลย"

"อี้...เจิน....."

หลินเสี่ยวจือสิ้นแรงลงในอ้อมแขนของท่านแม่ทัพ เขาพยายามขืนใช้พลังของในร่างตัวเองทำให้ร่างกายปรากฏแจ่มชัด แล้วถอดเอาผ้าคลุมจากชุดของตนมาคลุมร่างบางนั้นเอาไว้

"ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ตัวร้อนขนาดนี้เชียว แย่แล้วต้องรีบลดไข้ให้นางเดี๋ยวนี้"

แม่ทัพผีใช้ฝ่ามือส่งความเย็นมาที่หน้าผากเพื่อลดไข้ หน้าผากของเสี่ยวจือค่อยๆ เย็นลง ลมหายใจที่หอบถี่เริ่มมั่นคงมากขึ้น

สีหน้าเสี่ยวจือกลับมามีสีเลือด ท่านแม่ทัพถอนหายใจอย่างโล่งอก

"ใครกัน ทำกับเจ้าเช่นนี้ อย่าได้กลัวมีข้าอยู่เจ้าจะไม่เป็นอะไร"

แม่ทัพหลงอุ้มร่างที่ไร้สติของหลินเสี่ยวจือออกจากที่นั้นน เขาพาเสี่ยวจือกลับไปที่บ้าน

ทุกการกระทำของเขามีแต่ความให้เกียรติ และอ่อนโยน ไม่มีการฉวยโอกาส หรือคิดล่วงเกิน  เสี่ยวจือรู้สึกขื่นชม จะมีใครสักกี่คนเห็นสภาพนั้นของเธอยังทำตัวเป็นสุภาพบุรุษได้ขนาดนี้

แม่ทัพหลงบรรจงวางร่างบางนั้นลงที่เตียงนอนในห้องแล้วห่มผ้าให้

เสี่ยวจือมองแม่ทัพหลงแล้วยิ้มอ่อน สายตาที่เธอมองแม่ทัพหลงเปลี่ยนไปมาก เธอรู้สึกประทับใจในความเอาใจใส่ของเขา

ยังดีที่พวกนั้นไม่ได้เอาเงินในกระเป๋าไป ไม่งั้นคงไม่มีเงินจ้างรถกลับบ้าน แม้ว่าคนขับแท็กซี่จะมองท่านแม่ทัพหลงด้วยสายตาแปลกๆ ก็ตามที

"เจ้ายังมีไข้ หลับสักหน่อยข้าจะอยู่จนกว่าเจ้าจะหลับ"

แม่ทัพหลงกล่าวพร้อมกับทำการลดไข้ด้วยไอเย็นที่ฝ่ามือให้เสี่ยวจืออีกครั้ง เสี่ยวจือยิ้มบางๆ ให้แม่ทัพหลง ไม่มีอาการหวาดกลัวแม่ทัพดังเช่นเดิมอีกแล้ว

"ขอบคุณนะ นายช่วยฉันตั้งหลายครั้งแต่ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายเลย"

"สำหรับเรื่องนั้น ข้าก็มิได้ใส่ใจหรอก อีกอย่างเจ้าก็ช่วยข้า หาว่าข้าป็นใครจริงมั้ย"

แม่ทัพหลงกล่าวจบก็ลุกขึ้นทันที เสี่ยวจือรู้สึกแปลกใจ เธอสังเกตุเห็นว่ามือเขาเริ่มโปร่งแสง ในยามปกติต่อให้ทุกคนมองไม่เห็นเขา แต่เสี่ยวจือกลับเห็นชัด ไม่เคยมีครั้งไหนที่ร่างของเขาเป็นแบบนี้

"นายเป็นอะไรรึเปล่า เมื่อกี้ฉันเห็น..."

"ข้าใช้พลังมากไปหน่อย พักสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว แม่นางอย่าได้กังวล"

"เป็นเพราะช่วยฉันใช่มั้ย..."

หลงอี้เจินหันกลับมาส่งยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า

"เรื่องเล็กน้อย อย่าได้กังวล เจ้าพักผ่อนเถิด"

หลินเสี่ยวจือรู้สึกว่าแม้เขาเป็นเพียงวิญญาณ ทว่ากลับมีคุณธรรมในหัวใจยิ่งกว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้เสียอีก

"แม่ทัพหลง"

"มีอะไรหรือแม่นางหลิน"

"ฉันน่ะ ไม่เขื่อหรอกนะในบันทึกนั่นน่ะ ฉันว่าคนอย่างนายไม่มีทางทรยศบ้านเมืองแน่...."

เสี่ยวจือกล่าวพร้อมกับจ้องมองแม่ทัพหลงอย่างเชื่อใจ ท่านแม่ทัพยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาได้ยินถ้อยคำนี้จากปากเธอก็พอใจมากแล้ว

เธอหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วเอ่ยกับเขาทั้งที่ยังหลับตา

"เรามาหาด้วยกันนะ ความจริงเรื่องการตายของนายน่ะ เรามาหาด้วยกัน ไม่ว่าจะยากแค่ไหน ฉันจะช่วยนายเอง"

"แม่นางหลิน เจ้ายินดีจะช่วยข้างั้นรึ"

หลงอี้เจินถามย้ำเพื่อความมั่นใจ แต่เขากลับพบว่าเด็กสาวหลับไปแล้ว

แม่ทัพยุคโบราณยิ้มกว้าง เขาก้าวเข้ามานั่งลงที่ข้างเตียงแล้วมองดวงหน้าอันไร้เดียงสานี้

"จิตใจเจ้างามยิ่งนักแม่นางหลิน ไม่ว่าเจ้าจะช่วยข้าได้หรือไม่ ข้าก็จะดูแลเจ้าปกป้องเจ้าอย่างดีแแน่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel