บท
ตั้งค่า

บทที่3 ความจริงจากอดีต

แม่นางหลิน แม่นางหลิน หนีไป!....

เสียงดังก้องในห้วงคำนึงทำให้เธอสะดุ้งตื่น เหงื่อเม็ดโตผุดทั่วใบหน้า ภาพเพดานคุ้นตาปรากฏในสายตา

แสงแดดเริ่มสาดส่องเข้ามาตามรอยช่องว่างของผ้าม่าน ทำให้เห็นสภาพภายในห้องได้เลือนๆ

เสี่ยวจือหันมองไปรอบๆ แล้วถอนหายใจ เวลานี้เธออยู่ในห้องของตัวเอง มันทำให้รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

เธอพยายามชันกายลุกขึ้น แต่กลับลุกไม่ไหว ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างเล็กๆนั้น อย่างไม่รู้เหตุผล

"โอย อูย ทำไมปวดไปหมดแบบนี้ล่ะ"

เสี่ยวจือยกมือทั้งสองขึ้นดูเมื่อรู้สึกปวดแสบทั้งฝ่ามือและหลังมือ 

แผลถลอกที่มีรอยเลือดแห้งๆ บอกให้รู้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บ  และเรื่องที่เกิดเมื่อเย็นวานหาใช่ความฝัน  เด็กสาวหลับตาลงพยายามทบทวนเรื่องเมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้น และเธอกลับบ้านมาได้อย่างไร แต่ยิ่งพยายามนึกก็ยิ่งปวดหัว

"นี่มันอะไรกัน ใครพาเรากลับมาแต่ว่าตอนนั้นพวกนั้นกำลังจะ..."

เธอลืมตาโพลง รีบลุกขึ้น แม้ขาทั้งสองข้างจะปวดจนแทบเดินไม่ไหว แต่ก็ยังพยายามลุกไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง

เสี่ยวจือมองหน้าตัวเองในกระจก  สำรวจแก้มนวลทั้งซ้ายขวา เพราะสิ่งที่เธอจำได้ครั้งสุดท้าย คือใบมีดคัทเตอร์เงาวับ ที่พวกนั้นขู่จะกรีดหน้า

ไม่มีแม้รอยขีดข่วน มีเพียงรอยช้ำเล็กน้อยจากแรงกระแทก ตอนที่ถูกเหวี่ยงใส่ต้นไม้

"โล่งอก นึกว่าต้องเสียโฉมซะแล้ว"

"เจ้าไม่เสียโฉมหรอก แม่นาง"

เสียงตอบดังมาจากด้านหลัง อันที่จริงมันไกล้มากจนเหมือนเขาหายใจรดต้นคอ

เสี่ยวจือรีบหันกลับมาตามเสียงนั้น ทว่ากลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

"บ้าน่า...หูแว่วเหรอ"

เธอพยายามสอดส่ายสายตาไปทั่วทั้งห้อง พลางค่อยๆ ขยับตัวไปดึงผ้าม่านเปิดออกให้แสงสว่างส่องให้เห็นภายในห้องชัดๆ

และแล้วเธอก็ชะงักงัน เมื่อเห็นว่าในกระจกมีสิ่งที่ไม่ควรจะมีหรือบางคนที่ไม่ควรจะอยู่ในห้อง

"ม...ไม่จริงน่า ไม่จริงใช่มั้ย".

ชายสวมชุดเกราะทหารโบราณ ยืนกอดอกพิงอยู่ที่โต๊ะหนังสือในห้องเธอ เขาจ้องตาเธอผ่านเงาในกระจก

หลิงเซียวกลั้นใจค่อยๆ หันไปทางโต๊ะหนังสือ ทว่ากลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

"เอาแล้วไง คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์ พระพุทธองค์ช่วยลูกด้วย"

เสี่ยวจือชักเท้าถอย เธอค่อยๆ ขยับถอยออกจากกลางห้องมาที่ประตู ทว่ากลับไปชนเข้ากับบางอย่าง

เด็กสาวหันกลับไปหาด้วยใจระทึก ใบหน้าคมคายของชายหนุ่มผู้หนึ่งยกยิ้มให้เธอในระยะประชิด

"ก...กรี๊ด น..นาย นายเป็นตัวอะไรเนี่ย ออกไปนะ ออกไป "

เสี่ยวจือรีบวิ่งไปคว้าไม้เทนนิสมาชี้ใส่หน้าชายในชุดเกราะยุคโบราณ เขาเลิกคิ้วคมเข้มนั้นแล้วหัวเราะ

"ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะ อย่ามาหลอกหลอนกันเลย เอางี้ดีมั้ยนายอยากได้อะไรฉันจะเผาไปให้ดีมั้ย"

เขาหัวเราะชอบใจที่เห็นเธอลนลานขนาดนั้น แม้จะไม่ค่อยพอใจที่โดนไล่ แต่ก็ยังยอมกลับหลังหันเดินไปที่ประตู

เสี่ยวจือยืนตัวแข็งทื่อ ไม้เทนนิสร่วงจากมือทันทีที่เขาเดินออกจากห้อง  เพราะเขาไม่แม้แต่จะจับลูกบิดเพื่อเปิดมัน หากแต่เขากลับเดินแทรกทะลุประตูไปโดยที่ประตูไม่เสียหายสักนิด

"อะไรกันเนี่ย ฮือ..ทำไมซวยแบบนี้  ...หลอกกันกลางวันแสกๆ เลยเหรอ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ พระโพธิสัตว์ทรงเมตตา ช่วยลูกด้วย.."

ครึ่งชั่วโมงต่อมา...

"เธอต้องเชื่อชั้นนะฉันเห็นมากับตาเลย เขาเดินทะลุประตูห้องออกไปเฉยเลย ฉันจะทำยังไงดี"

เสี่ยวจือยืนยันหนักแน่น ในขณะที่หลิงรุ่ยกำลังจัดการกับมิลค์เชคของเธออยู่

"ถามจริงแน่ใจนะว่าไม่ได้ฝันน่ะ..."

"บ้า! ไม่ใช่ฝันหรอกเหมือนจริงขนาดนั้นน่ะ ฉันเห็นจริงๆ"

เธอยืนยันอีกครั้ง พลางจ้องตาเพื่อนรัก หวังว่าเพื่อนจะมีคำแนะนำดีๆ

ครอบครัวของหลิงรุ่ยดูแลศาลเจ้ามาหลายชั่วอายุคน และมีบรรพบุรุษหลายรุ่นบวชเป็นเต้าหยิน ก็น่าจะมีมุมมองที่เชื่อถือเรื่องนี้อยู่ย้าง

"ได้ ฉันเชื่อเธอ  งั้นเอางี้ไปขอผ้ายันต์ที่ศาลเจ้ากันดีมั้ยล่ะ เผื่อช่วยได้"

หลิงรุ่ยเสนอความคิด ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้

เสี่ยวจือเปิดประตูเข้าบ้านด้วยใจระทึก เธอกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องรับแขก  ก่อนจะค่อยๆ ย่างเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวัง

"อ้าวนั่น เสี่ยวจือ ลูกทำอะไรของลูกกันน่ะ"

ศจ.หลินเอ่ยทัก  เขามองบุตรสาวสีหน้าฉงน เพราะท่าทางเธอแปลกๆ แถมยังสวมลูกประคำ พวงกระเทียม เท่านั้นยังไม่พอมือยังถือผ้ายันต์กับกระบี่ที่ทำจากเหรียญรูอีกต่างหาก

เสี่ยวจือรีบโผเข้าไปกอดบิดา เธอยังคิดอยู่เลยว่าหากต้องสู้กับผีตามลำพังจะทำอย่างไร

"พ่อคะ หนูดีใจมากเลยที่พ่ออยู่บ้านน่ะ  รู้มั้ยบ้านเรามีผีนะคะพ่อ"

ศจ.หลินดึงมือลูกสาวออกจากตัว แล้วจ้องหน้าลูกสาวพลางพิจารณาอากัปกิริยา ก่อนจะถอนหายใจแรง

"เหลวไหล โตจนป่านนี้แล้ว เอาของพวกนั้นไปวางที่โต๊ะโน่น พ่อยังต้องไปธุระอีกนะ อะไรกันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแท้ๆ งมงายขนาดนี้เลยเรอะ มากินข้าว วันนี้พ่อทำกวางตุ้งผัดน้ำมันหอยที่ลูกชอบด้วยนะ"

เมื่อโดนพ่อดุเลยต้องวางของลงอย่างเสียมิได้ ในใจก็คิดอยากอธิบายแต่คงไม่แคล้วโดนบ่น เสี่ยวจือหันไปเห็นกระเป๋าเดินทางที่วางข้างๆ ประตูจึงรู้สึกสงสัย

"พ่อจะไปไหนเหรอคะ กระเป๋านั่น...."

"พ่อจะไปเจียงหนานสัก2-3วัน เรื่องเกี่ยวกับนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์น่ะ อยู่บ้านดีๆ อย่ากลับดึกเข้าใจมั้ย"

"เจียงหนาน? พ่อไม่ไปไม่ได้เหรอให้หนูอยู่คนเดียวหนูกลัวนะคะ"

บุตรสาวส่งสายตาออดอ้อน ทำเอาศาสตราจารย์ยิ่งงุนงง เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไปทำงานต่างเมือง

"อย่าดื้อน่า แค่2วันเอง ไม่ได้ไปเป็นเดือนสักหน่อย เอางี้ กลับมาคราวนี้ พ่อจะซื้อคันธนูใหม่ให้นะ ลูกอยากได้ของ Bear มาตลอดเลยนี่นา"

"รุ่นไหนก็ได้เหรอคะ"

พอพูดถึงคันธนูใหม่ทีไร เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญอีก เสี่ยวจือดีใจจนออกนอกหน้า จนลืมเรื่องกลัวผีไปซะสนิท

"เอิ่ม เอาไว้พ่อจะให้อาเฉิงช่วยเลือกให้ดีกว่า  ขืนลูกเลือกพ่อคงกระเป๋าฉีกเป็นแน่

"ขี้งก..."

เสียงกริ่งที่หน้าประตู มาเป็นระฆังช่วยยุติการต่อรองของเสี่ยวจือกับพ่อพอดี

ศจ.หลินพ่นลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะลุกไปหยิบกระเป๋าเดินทาง เสี่ยวจือช่วยถือกระเป๋าเอกสารของพ่อเดินไปส่งที่หน้าประตูบ้าน

เสี่ยวตง หรือพี่เหว่ยตงผู้ช่วยของศจ.หลิน เอารถมารอรับศจ.อยู่หน้าบ้าน เขาเป็นคนหนุ่มอนาคตไกลที่เก่งเรื่องประวัติศาสตร์มาก ถึงขนาดได้ชื่อว่าเป็นตำราเคลื่อนที่

ศจ.หลินโบกมือบอกให้บุตรสาวเดินเข้าบ้าน แต่แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรได้

"เสี่ยวจือเมื่อวานสวนสาธารณะแถวบ้านมีคนถูกทำร้ายด้วยนะรู้สึกจะเป็นผู้ชาย 4 คน สาหัสไม่น้อยเลย ส่วนผู้หญิง 2 คนที่มาด้วยเอาแต่เพ้อเหมือนเสียสติ ดังนั้นลูกต้องระวังนะ ปิดประตูดีๆ อย่าเปิดซี้ซั้วนะมันอันตรายนะเข้าใจมั้ย"

ศจ.หลินกล่าวจบก็เดินไปขึ้นรถ ในขณะที่เสี่ยวจือเหมือนคนสติหลุด เธอค่อยๆ ปิดประตูบ้าน ในใจก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน

"ไม่จริงน่าถึงกับเจ็บสาหัสเลยเหรอ แถมมีคนเสียสติอีกด้วยหรือว่าคนที่จัดการพวกนั้นคือ...."

"ก็ข้าไงล่ะ"

เสี่ยวจือหันไปมองตามเสียงตอบ วิญญาณชายในชุดเกราะคนเดิมยืนอยู่กลางห้องรับแขก เสี่ยวจือรีบคลำที่คอตัวเอง เธอเพิ่งจะนึกได้ว่าทิ้งลูกประคำและของอื่นๆ ไว้ในห้องอาหาร

"น..น......นาย ต้อง...ต้องการอะไร แล้วทำไม ต้องเป็นฉันด้วย เดี๋ยวนะ ไม่ต้องตอบ ไม่ต้องเข้ามา  นายยืนอยู่ตรงนั้นแหละอย่าเข้ามาไกล้นะ"

"เจ้านี่ไม่รู้จักขอบคุณผู้มีพระคุณรึไง ข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้าไว้ถึงสองครั้งเชียวนะหัดสำนึกบุญคุณกันบ้างสิ"

"ส....ส....สองครั้ง หมายความว่ายังไง"

เสี่ยวจืองงกับคำพูดนั้นเธอไม่เห็นจะจำได้ว่าถูกช่วยเอาไว้ ชายชุดเกราะยิ้มที่มุมปากก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา ทว่าโซฟากลับไร้รอยยุบตัวแม้แต่น้อย

"แม่เจ้า ผีจริงๆด้วย"

"หยาบคาย ข้าเป็นวิญญาณนักรบผู้กล้า หาใช่พวกวิญญาณชั้นต่ำพวกนั้นนะ  เจ้านี่ลืมง่ายเสียจริง ก็ที่สนามซ้อมยิงธนูไงล่ะ..."

ถึงเวลานี้เสี่ยวจือเพิ่งจะเข้าใจเหตุใดช่วงเวลานั้นเธอถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองยิงออกไปตอนไหน เสียงที่ได้ยินเมื่อตอนนั้น พอมาคิดๆ ดูแล้วเสียงเหมือนวิญญาณดวงนี้มากๆ

"ไม่จริงใช่มั้ยเนี่ย...ฮือ"

"ทีนี้เจ้าพร้อมจะกล่าววาจาขอบคุณข้าได้รึยัง"

วันต่อมา....

"เอ่อไปทำอะไรมาล่ะเธอ หรือว่าโดนผีอำ ขอบตางี้ดำเชียว"

หลิงรุ่ยกล่าวทักได้ถูกจุดโดนใจพอดิบพอดี เสียดายทายพลาดไปนิดเพราะไม่ได้โดนผีอำ แต่เจอที่แย่กว่า

เสี่ยวจือหันไปมองทางขวาอยู่เนืองๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น หลิงรุ่ยก็พยายามมองตามสายตาของเสี่ยวจืออยู่หลายครั้งก็ไม่เห็นอะไร

"ผีอำเหรอ ฮะฮะฮะ ผีตามติดล่ะไม่ว่า"

เสี่ยวจือหัวเราะแบบฝืนๆ ตามด้วยกล่าวเสียงกระแทกกระทั้นเหมือนกับจะประชดใครสักคน

วิญญาณแม่ทัพยุคโบราณผู้นี้ ตามติดเสี่ยวจือไปทุกที่ เสี่ยวจือเป็นคนเดียวที่มองเห็นเขา เขาจึงเดินไปทั่วห้องเรียนอย่างสบายใจ เพียงแต่ไม่สบายสำหรับเสี่ยวจือที่ต้องมาเห็นแล้วบอกใครไม่ได้เช่นนี้

"...ถามจริง นายว่างมากรึไงมาตามฉันเนี่ย..."

หลิงเซียวแอบกระซิบเบาๆ เธอนั่งยุกยิกไม่อยู่สุข เพราะเวลานี้เขายืนชิดตัวเธอมาก

"อยู่แต่ในกล่องมาหลายร้อยปี เบื่อจะแย่ ก่อนหน้านั้นก็ถูกส่งต่อไปมาหลายที่ เจอผู้คนแปลกๆ ภาษาแปลกๆ ก็มากอยู่ แต่ไม่เคยได้อิสระเท่านี้มาก่อน ขอให้ข้าได้สนุกบ้างสิ"

วิญญาณแม่ทัพกล่าวจบก็เดินไปดูนั่นนี่  ราวกับเด็กที่เจอของเล่นใหม่ เสี่ยวจือเห็นเขาเดินไปที่โต๊ะอาจารย์แล้วหยิบปากกาไวท์บอร์ดขึ้นมาดู

"ไม่นะ อย่าทำอย่างงั้น"

ในสายตาคนอื่นคงเห็นปากกาลอยขึ้นเอง โชคดีที่ทุกคนกำลังจดจ่อกับงานที่อาจารย์ให้จึงไม่มีใครสังเกตุ

"จือจือ เป็นอะไรน่ะ"

หลิงรุ่ยสงสัยในท่าทีของเพื่อนรักที่ดูกระสับกระส่ายกว่าปกติ

"ม..ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร"

"งั้นเหรอ"

เสี่ยวจือเริ่มจะชินกับเขาแล้วแม้จะยังหวาดๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ท่านแม่ทัพหล่อเหลาสง่างามองอาจ น่ามองอยู่ไม่น้อย

"โอ้ยบ้าไปแล้วคิดอะไรเนี่ยเขาเป็นผีนะ เห็นว่าหล่อได้ยังไง"

"เจ้าบ่นพึมพำอะไรของเจ้าน่ะ เจ็บป่วยตรงที่ใดงั้นรึ"

จู่ๆ เขาก็มาปรากฏตัวไกล้ๆ ทำเอาสะดุ้งอยู่เหมือนกันถึงแม้คิดว่าชินแล้วก็เถอะ เธอหันมาตอบเขาเบาๆ

"ช่างฉันเถอะ ว่าแต่นายหัดอยู่เฉยๆ บ้างได้มั้ย"

อาจารย์ผู้สอนเริ่มสังเกตุเห็นอาการยุกยิกของลูกศิษย์ เขาหยิบลูกบอลยางลูกหนึ่งขึ้นมา

"แอบคุยในวิชาฉัน กล้ามากนะ นักศึกษาหลิน"

ลูกบอลยางถูกขว้างใส่ตรงตัวตรงคน ไม่มีผิดฝาผิดตัว คนที่นั่งหน้าเสี่ยวจือพากันเอียงตัวหลบ เพราะทุกคนรู้ดีว่าอาจารย์ขว้างเม่นแค่ไหน ทว่าที่มันผิดไปจากปกติคือลูกบอลลูกนั้นมันหยุดกลางอากาศ ก่อนจะถูกปล่อยร่วงลงพื้น

นักศึกษาทั้งห้องต่างตะลึง หันมองกันเป็นตาเดียว

"อะไรน่ะ"

"อะไรนั่น มันหยุดได้ยังไง"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรม อาจารย์เองก็อึ้งไม่แพ้กัน ทว่าคนเดียวที่รู้เหตุผลคือเสี่ยวจือ เธอมองท่านแม่ทัพแล้วกัดริมฝีปากแน่น

เขาจับบอลเอาไว้ได้ทันก่อนจะโดนเสี่ยวจือเล็กน้อย

เสียงออดหมดเวลาเรียนเป็นดังระฆังช่วย ไม่จำเป็นต้องอยู่อธิบาย เสี่ยวจือรีบเก็บกระเป๋าวิ่งออกจากห้องทันที

"แฮ่ก แฮ่ก โอยจะบ้าตาย คุณทำอะไรของคุณเนี่ย"

"ก็ช่วยเจ้าไง คนคนนั้นเอาของอันตรายนั่นขว้างใส่เจ้า ข้าก็เลยช่วยเจ้าไงเล่า"

อยากจะบ้า เธอคิดในใจ ป่านนี้คนอื่นคงคิดว่าเธอเลี้ยงผี ไม่งั้นคงมีพลังจิต

"ช่างเถอะ ช่างเถอะ คุณหวังดีฉันเข้าใจ แต่ทีหลังไม่ต้องนะ"

"ทำไมล่ะ เจ้าอยากเจ็บตัวงั้นรึ"

คนอะไรเข้าใจยากอย่างงี้ เสี่ยวจือส่ายหน้าถอนหายใจ เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงทางเดินพักเหนื่อย ท่านแม่ทัพจึงนั่งลงข้างๆเธอ

"ท่านแม่ทัพไม่มีอะไรอยากทำบ้างรึไง มาเกาะติดฉันแบบนี้น่ะ ไม่มีที่ๆ อยากไป หรืออะไรที่อยากทำบ้างเหรอ"

"ไม่มี ข้าไม่รู้จะไปไหน อยู่กับเจ้าก็สนุกดี ตอนนี้ข้าอยากอยู่กับเจ้านี่ไงล่ะ"

เสี่ยวจือถึงกับกุมขมับ ถ้าเขาตามอยู่อย่างงี้จะปิดได้นานแค่ไหน

"ถามหน่อยตกลงคุณเป็นใครมาจากไหนเหรอ  อย่างน้อยตามมารยาทแล้วก็ควรบอกชื่อแซ่หน่อยไหม ให้ฉันเรียกคุณว่าท่านแม่ทัพตลอดไม่ได้หรอกนะ ใครได้ยินจะสงสัยเอา"

คำถามนี้ทำเอาท่านแม่ทัพหยุดชะงัก เสี่ยวจือมองท่าทางกระอักกระอ่วนของท่านแม่ทัพก็ให้งุนงง

"เอ่อ  ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้นะ...ฉันไม่บังคับคุณหรอก"

"แม่นางเจ้าอย่าได้เข้าใจผิด  ข้าคงอยู่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานเพียงนี้ ความทรงจำนั้นได้เลือนหายไปนานแล้ว ข้ารู้แต่ว่าวิญญาณข้ายึดติดอยู่กับเกาทัณฑ์ราชสีห์คำรนมากกว่า1000 ปีมาแล้ว"

"มากกว่า1000 ปี งั้นเหรอ! โหยนานขนาดนั้น เดี๋ยวก่อน คุณบอกว่าคุณมาจาก คันธนูราชสีห์คำรน.. อย่าบอกนะว่าคันธนูโบราณที่พิพิธภัณฑ์นั่น"

มาถึงตอนนี้เสี่ยวจือถึงได้เข้าใจ ที่แท้เธอโดนอาถรรพ์ของโบราณเข้าให้เสียแล้ว

การสนทนาระหว่างเสี่ยวจือกับท่านแม่ทัพอยู่ในสายตาของเหลียนฮัว เธอยืนกอดอกมองอยู่ไกลๆ รู้สึกประหลาดกับท่าทางคล้ายพูดคุยกับใครอยู่ของเสี่ยวจือทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

"คุยกับใคร ยัยเสี่ยวจือเพี้ยนไปแล้วรึไง นี่ถึงกับพูดคนเดียวเชียวเหรอ"

"คุณหนูเหลียนฮัวคะ คือเจ้าพวกนั้นมาขอ..."

"เงียบไปเลย! ทำงานไม่สำเร็จยังจะกล้ามาต่อรองอีกเหรอ แค่ผู้หญิงคนเดียวจัดการไม่ได้ปัญญาอ่อนสิ้นดี"

เหลียนฮัวหันมาตวาดพวกเพื่อนของเธอ  ที่คอยติดตามรับใช้ข้างกายเธอมาตลอด ถ้าไม่ใช่ว่าพ่อของเธอมีอำนาจและเงินทอง พวกนี้คงไม่ยอมติดตามหล่อนเป็นแน่ เนื่องด้วยนิสัยส่วนตัวเธอเป็นคนเหลียนฮัวเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองสูงส่ง เอาแต่ใจ

"คุณหนู แม่คนหน้าหนาเดินมาโน่นแล้วเอาไงดีคะ"

"ชิ วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไปสั่งสอนมันหน่อย"

ทั้งหมดรีบเดินหลบไปแอบข้างเสาตรงทางลงบันได เมื่อเห็นเสี่ยวจือเดินตรงมา แม้จะไม่ได้หันไปมองใคร แต่เธอนั้นดูเหมือนจะคุยกับใครอยู่สักคน

"เดี๋ยวเราไปที่ห้องทำงานพ่อกัน ของทุกอย่างที่ส่งมาจัดแสดงจะมีประวัติความเป็นมาบันทึกไว้ในคอมฯ คราวนี้จะได้รู้ชื่อของนายไง"

"แม่นางช่างมีน้ำใจยิ่งนัก เอาอย่างงี้ข้าจะสอนท่านยิงธนูดีหรือไม่ ฝีมือยิงธนูของข้าในใต้หล้านี้  หาใครจะมาเทียบได้ยากยิ่ง"

"โม้ป่าวเนี่ย ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้รู้ได้ยังไงว่าตัวเองเก่งขนาดน้าน โอ๊ะ!!!"

เสี่ยวจือสะดุดเท้าที่ยื่นออกมาขวางจนเซถลาไปทางบันไดข้างหน้า ท่านแม่ทัพรีบคว้าแขนเธอเอาไว้พร้อมกับดึงขึ้นมาได้ทันท่วง

ร่างทั้งสองแนบชิดโดยมิได้ตั้งใจ เสี่ยวจือตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้น ท่านแม่ทัพโอบร่างบางเอาไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้าและสันจมูกของเขาอยู่ในระยะประชิด จนปลายจมูกโด่งเป็นสันชนกับจมูกของเธอ เสี่ยวจือสบตาที่สุกสกาวราวกับดวงดาวของเขา ด้วยใจระทึก

สองแก้มของเสี่ยวจือพลันแดงสุกปลั่ง  อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจเต้นรัวจนรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้

ท่านแม่ทัพดูจะตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงลมหายใจแรงของของสาวน้อยในอ้อมแขน เธอใจเต้นแรงจนเขารู้สึกได้ สายตาเขาสำรวจดวงหน้าของสาวน้อยไร้เดียงสา จนกระทั่งสายตาเผลอมองริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อแล้วชะงักงัน

เมื่อรู้ตัวว่าได้เสียมารยาทล่วงเกินไปแล้ว  เขารีบปล่อยมือจากร่างบางนั้น แล้วหันไปทางอื่นก้มหน้าราวกับเขินอาย

"อ่า เอิ่ม ข..ข้าน้อยขออภัย แม่นางหลิน เหตุการณ์มันกระทันหันข้าน้อยไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ล่วงเกินแล้ว"

"ม..ไม่เป็นไร  ค..ค่ะ  ก็คุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยมาขอโทษฉันทำไมล่ะคะ  ฉันสิต้องขอบคุณคุณมากกว่าที่ช่วย"

เสี่ยวจือเริ่มรู้ตัวว่าบรรยากาศรอบๆตัว เงียบกว่าปกติ เธอกวาดสายตาออกไปมอง

กว่าจะรู้ตัวรอบๆ ก็มีจีนมุงเต็มไปหมด เหตุการณ์เมื่อครู่ตกเป็นหัวข้อวิภาควิจารณ์ เสียงนินทาเริ่มดัง พร้อมกับส่งสายตามองเธอแปลกๆ

เพราะความเป็นจริงกับภาพที่ออกไปนั้นมันต่างกันลิบลับ สิ่งที่ทุกคนเห็นคือเสี่ยวจือเซถลาไปข้างหน้า ในลักษณะที่ไม่ว่าใครก็คงกลิ้งตกบันใดลงไปถึงพื้น

แต่นอกจะไม่ตกลงไปแล้ว ร่างของเธอยังลอยถอยกลับขึ้นไปอยู่ในท่าที่เหมือนกับมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นประคองเธอเอาไว้

...อะไรน่ะเหมือนลอยได้เลย ....ใครจะขืนแรงโน้มถ่วงได้ขนาดนั้น .... แปลกอ่ะแปลกจริงๆ

"หวาย เอาไงล่ะทีนี้ เป็นเรื่องแล้ว"

จะอยู่ให้โดนจีนมุงซักถามมีหวังเป็นเรื่อง เสี่ยวจือรีบดึงมือท่านแม่ทัพวิ่งหนีออกไปก่อนที่จะมีปัญหามากกว่านี้

เหลียนฮัวกับพรรคพวกที่ก่อเหตุพากันถลึงตามองอย่างประหลาดใจเหลือประมาน สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้นึกถึงพวกนักเลงที่หล่อนจ้าง

คุณหนูกู้จ้องหลินเสี่ยวจือตาไม่กระพริบพลางเอ่ยถาม

"เจ้าพวกนั้นน่ะ พวกมันเพ้อว่าอะไรนะ..."

"พวกนั้น? พวกที่โรงพยาบาลเหรอคะ เอ่อ ผีค่ะมันว่าเจอผี"

คำตอบนั้นทำให้เหลียนฮัวเริ่มครุ่นคิด

"ผีงั้นเหรอ นังเด็กนั่น หรือว่ามันจะเลี้ยงผีจริงๆ"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel