บทที่2 แรกพบหน้า
การคัดตัวจะเริ่มต้นตอนบ่าย 2 ขอให้ทุกคนเตรียมตัว ให้พร้อม ทุกคนจะได้รับลูกธนูคนละ10 ดอก เราจะคัดเลือกจากคนที่ทำเวลาได้ดีที่สุด และเข้าเป้าได้แต้มสูงที่สุด 5 อันดับแรกเท่านั้น ขอให้ทุกคนตั้งใจให้ดีล่ะ..."
คำกล่าวของโค้ทกับนักศึกษาที่มาสมัครในห้องประชุมนั้น ทำให้หลายๆ คนเริ่มประหม่า เพราะคนที่มาสมัครนั้นมีถึง17 คน แต่รับแค่5 คนเท่านั้น นั่นหมายถึงอีก12คนต้องผิดหวัง
เสี่ยวจือผ่อนลมหายใจออกทางปากอย่างหมดหวัง งานนี้ตายแน่ๆ
"พยายามเข้านะเพื่อน ฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้..."
หลิงรุ่ยให้กำลังใจ แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย อันที่จริงไม่ใช่ว่าเธอไม่เก่ง หากจะว่ากันตามจริง ฝีมือในการยิงของเธอนับว่าไม่เลว แต่โรคกลัวสนามแข่งนี่สิที่มันเป็นปัญหา
เสี่ยวจือมักจะมีอาการตื่นเต้นทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก ทำให้เธอยิงพลาดเป้าทั้งๆ ที่เวลาปกติกลับยิงได้ดีแทบไม่น่าเชื่อ
"ทำไงดีล่ะ คนมาดูเยอะแน่ๆ แถมยังมีรุ่นพี่ซีห่าวมาด้วย ทำไงดีล่ะหลิงหลิง ฉันทำไม่ได้แน่ๆ เลย"
เสี่ยวจือบ่นกับตัวเอง ที่แล้วมาเพียงเพราะไม่มีความมั่นใจ เธอจึงพลาดการทดสอบมาโดยตลอด ยิ่งมีสายตาคนที่แอบชอบมาคอยเชียร์แบบนี้ความมั่นใจยิ่งหดหาย
"ทำได้สิ มีข้าอยู่ ข้าจะช่วยเจ้าเอง...."
"เอ๊ะ!? ใคร? ใครน่ะ?!"
เสียงก้องกังวาลของชายหนุ่มที่ฟังดูทรงพลังและอบอุ่นในเวลาเดียวกันดังขึ้นข้างหู เสี่ยวจือหันมองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่ไกล้เธอ นอกจากหลิงรุ่ย
"ม..เมื่อกี้ได้ยินอะไรหรือเปล่า หลิงหลิง"
"อะไรเหรอ ไม่มีนี่ ละเมออะไรอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าฝันกลางวันอีกแล้ว"
หลินเสี่ยวจือหันมองไปรอบๆ รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงก็ไม่รู้
"หลิงรุ่ย ฉันว่ามีอะไรแปลกๆอยู่นะ ฉันว่าฉันไม่ได้ฝันไปแน่ๆ เมื่อกี้ได้ยินเสียงชัดมากเลยนะ"
"เสียง? เสียงอะไร"
"เสียงผู้ชายน่ะสิ จริงๆนะ"
หลิงรุ่ยใช้ผ้าขนหนูที่ม้วนเอาไว้ตีหัวเพื่อนรักไปเสียทีหนึ่ง โทษฐานทำเสียงสยองขวัญมาขู่ ทำเอาเสี่ยวจือหน้างอทีเดียว
"ประสาทแล้ว กลางวันแสกๆ จะมีผีได้ยังไง เพี้ยนเกินไปแล้ว หัดดูหนังผีให้มันน้อยๆ หน่อยนะเราน่ะ"
"นี่เธอไม่เชื่อฉันเหรอ"
"หลินเสี่ยวจือตาเธอแล้ว"
เสียงรุ่นพี่เข้ามาเรียกทำเอาหัวใจคนกำลังกลัวตกไปที่ตาตุ่ม เสี่ยวจือยืนสะดุ้งยังดีที่ไม่เผลอกรีดร้อง
"ค่ะค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ"
"นักกีฬาหลินเสี่ยวจือมารายงานตัวที่สนามแข่งได้ นักกีฬาหลินเสี่ยวจือ..."
เสียงประกาศเรียกชื่อดังจากลำโพงสนามแข่ง เธอหยิบกระชับคันธนูในมือแน่นแล้วก้าวออกไป ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้หลิวรุ่ย
ทว่าสายตาเธอมองเลยไปทางด้านหลังหลิงรุ่ย เธอพบว่าตรงพนังห้องพักนักกีฬา มีเงาอันเลือนรางของบุรุษชุดเกราะผู้นึงยืนอยู่
หัวใจของเสี่ยวจือก็เต้นแรงจนอยู่ไม่สุข มือเย็นเฉียบ เธอรีบกลับหลังหันไม่กล้าจ้อง
"ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้"
เสี่ยวจือค่อยๆ หันไปอีกครั้ง คราวนี้ผนังว่างเปล่า เธอถอนหายใจโล่งอก
"ฉันคิดไปเอง ใช่ฉันคิดไปเอง ทุกอย่างฉันคิดไปเอง"
เธอพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วก้าวออกไปที่สนามแข่ง ซีห่าวยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นไม่ไกล เขาคอยโบกมือให้หลินเสี่ยวจือเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ
ที่ตื่นเต้นอยู่แล้วยิ่งตื่นเต้นหนักเข้าไปใหญ่ ตอนนี้นอกจาก จะใจสั่นแล้ว มือยังสั่นอีกด้วย
"ตาย ตายแน่..."
เสี่ยวจือถือคันธนูอยู่ในท่าเตรียมพร้อม พยายามตั้งสมาธิ แต่ไม่ว่ายังไง ใจก็เต้นแรงเสียจนถือคันธนูไม่นิ่ง ทั้งๆที่เธอซ้อมทุกวันมาตลอด11ปี เพื่อรอวันนี้ ทว่า
"ไม่เข้าเป้า"
"หวายทนดูไม่ได้ ไหงเป็นอย่างงี้เล่าเสี่ยวจือ"
เสียงขานคะแนนของโค้ททำเอาใจหลิงรุ่ยหล่นไปที่ตาตุ่ม
"จบแล้วสินะฉัน....ไม่น่ามาเลย...."
แทบอยากจะร้องไห้ เสียงหัวเราะจากรอบๆ สนามของนักกีฬาคนอื่นๆในสนาม รวมทั้งเหลียนฮัว ที่ดูจะสะใจที่สุด ดังขรม ถึงตอนนี้หากหายตัวไปได้เธอคงทำไปแล้ว
หลินเสี่ยวจือยกคันธนูขึ้นอีกครั้ง เธอเอาลูกธนูขึ้นสายอย่างไม่มั่นใจ
"จับไว้ให้มั่น หลับตาลงซะ ที่นี่มีแค่ข้ากับเจ้า..."
เสียงบุรุษหนุ่มดังก้องในหัวของเสี่ยวจืออีกครั้ง และมันเป็นดั่งมนต์สะกด กระแสพลังงานอุ่นๆ กำลังหลั่งไหลจากหัวไหล่เข้ามาที่แขนทั้งสองข้างของเสี่ยวจือ เธอรู้สึกสงบอย่างประหลาด
ร่างกายเบาหวิวดังล่องลอยอยู่ในปุยเมฆ รู้สึกถึงความอบอุ่น ราวกับมีบางอย่างห้อมล้อมตัวเธอเอาไว้ เธอหลับตาลงลบเลือนความรู้สึกรอบๆ ตัวไปสิ้น
"ครบแล้วนักกีฬาหลินเสี่ยวจือเก็บคันธนูได้..."
โค้ทเดินมาแตะไหล่เสี่ยวจือซึ่งยังยืนค้างอยู่ในท่ายิงอยู่เลย เธอออกอาการมึนงงนิดหน่อย คล้ายคนเพิ่งตื่น และยิ่งได้ยินคำที่โค้ทพูดชมยิ่งงงไปใหญ่
"ผลงานเยี่ยมมาก ไม่นึกเลยว่าเธอจะซ่อนฝีมือขนาดนี้เอาไว้นะ "
"ฝีมือ? อะไรนะคะ โอ้ว ตายล่ะ!
เสี่ยวจืออุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา ลูกธนูทั้ง9 ดอกที่เหลือเข้าเป้าตรงกลางทั้งหมด ทั้งๆ ที่เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ายิงออกไป
เสียงฮือฮา ดังอื้ออึงไปทั้งสนาม มีทั้งชื่นชมและระคนสงสัย แต่ท่ามกลางสายตาชื่นชมกลับมีอีกสายตาหนึ่งที่มองอย่างชิงชัง
กู้เหลียนฮัวมองดูซีห่าวปรบมือให้เสี่ยวจืออย่างโกรธขึ้ง ไฟแห่งความริษยาเคียดแค้นกำลังปะทุในใจ ยิ่งซีห่าวส่งยิ้มกว้างให้กับเสี่ยวจือ พร้อมกับยกนิ้วโป้งเป็นสัญญาณชื่นชมว่าเธอยอดเยี่ยม เหลียนฮัวยิ่งเกลียดเธอมากขึ้นทวีคูณ
"คุณหนูกู้เอายังไงดีคะ"
เหลียนฮัวส่งสายตามองคนของเธอ แล้วพยักหน้าเรียกให้เข้ามาไกล้ๆ พร้อมกับกระซิบบางอย่างข้างหู
เธอหันมายกยิ้มที่มุมปากพลางมองจ้องเสี่ยวจือ ก่อนจะเดินออกจากที่นั่งริมสนามไป
"เห็นนั่นมั้ยหลิงหลิง ฉันทำได้ ฉันทำได้"
"ใช่เยี่ยมไปเลย เธอจะได้เป็นนักกีฬาตัวจริงแล้วนะจือจือ"
ทั้งคู่กอดกันกลมด้วยความดีใจ แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่ดีใจไม่แพ้พวกเธอทั้งคู่
"เสี่ยวจือ.."
เสียงเรียกเบาๆ ของคนของใจ เบาแค่ไหนก็ได้ยิน หลิงรุ่ยปล่อยมือจากเสี่ยวจือแล้วแอบอมยิ้มนิดๆ รู้สึกเขินๆ แทนเพื่อน
เสี่ยวจือเอาแต่ยืนบิดไปมาไม่กล้าเดินเข้าไปหาซีห่าว ที่ยืนยิ้มอ่อนอยู่ตรงหน้า จนหลิงรุ่ยเริ่มทนไม่ไหว ยื่นมือไปผลักหลังเพื่อนเบาๆ
"ไปซี่ เข้าไปเลย รออะไรยะ ไปสิจือจือ"
เสี่ยวจือหันมา ทำหน้าแหยงๆ เหมือนกล้าๆกลัวๆ ใส่เพื่อน แต่หลิงรุ่ยเอาแต่โบกมือไล่ให้เธอเดินเข้าไปหารุ่นพี่สุดฮอต
"เอ่อ พี่.. รุ่นพี่ซีห่าว "
"ทำได้แล้วนะ ยินดีด้วย ต่อไปเธอก็ได้เข้าทีมเต็มตัวแล้วนะ"
แค่เพียงได้รับรอยยิ้มนี้ กับการที่เขาลูบศรีษะเธอเหมือนเธอเป็นเด็กน้อย ก็ทำให้เธอดีใจจนเนื้อเต้น
เสี่ยวจือกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี โลกทั้งโลกกลายเป็นสีชมพูสดใส วันนี้เป็นวันที่เธอมีความสุขที่สุดในโลก
ความดีใจที่ได้รับคัดเลือก บวกกับคำชื่นชมของซีห่าว ทำให้เธอไม่สนแม้กระทั่งเหตุผลที่ว่าเธอยิงได้แต้มสูงสุดได้อย่างไร แถมยังยิงต่อเนื่องโดยมีระยะเวลาในการเล็งยิงแต่ละดอกไม่เกิน 6 วินาทีอีกด้วย
กลุ่มชายหญิงประมาน4-6 คน จอดรถมอเตอร์ไซด์พูดคุย หยอกล้อกันอยู่ข้างรั้วสวนสาธารณะอย่างสนุกสนาน เป็นจุดเด่นที่ทำให้คนสัญจรไปมาหันมอง
ไม่ต่างจากเสี่ยวจือที่เผลอหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ค่อนข้างดัง
บ้านเธออยู่ถัดไปอีกซอยนึง แถวนี้เวลาหลัง1ทุ่มไปแล้วจะค่อนข้างเงียบสงบมีคนผ่านไปมาไม่มากเพราะสวนปิดทำการตอน 18.30น. เผลอเพียงชั่วครู่ เสี่ยวจือก็พบว่ามีเธอเดินอยู่แถวนั้นแค่คนเดียว และพวกกลุ่มมอเตอไซด์กลุ่มนั้น
"ไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ คนที่อื่นล่ะมั้ง รีบเดินดีกว่า"
ใจลึกๆ เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดียังไงไม่รู้ เธอรีบจ้ำเท้าเพราะเกรงจะมีเรื่อง และพยายามภาวนาไม่อยากให้เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทว่ามีเสียงฝีเท้าของคนหลายคนกำลังเดินตามหลังเธอมา
"เดี๋ยวก่อนสิน้องสาวจะรีบไปไหนเหรอ ไปเที่ยวกับพวกพี่ก่อนสิ พี่จะพาไปที่สนุกๆ ดีมั้ย"
ผู้ชายสองคนในกลุ่มรีบเดินแซงออกมาขวางหน้าเสี่ยวจือเอาไว้ เสี่ยวจือพยายามไม่ต่อความยาว เธอไม่ตอบพลางเดินเลี่ยง
ทว่าหนึ่งในสองคนกลับคว้าข้อมือเธอดึงไว้อย่างแรง เสี่ยวจือขืนแรงดึงนั้นพยายามดึงมือตัวเองออก พลางหันไปมองผู้หญิงสองคนที่มากับกลุ่มนั้น แต่แทนที่จะมาห้ามเพื่อนตัวเองกลับหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
"ปล่อยนะ! ฉันไม่รู้จักกับพวกนาย ทำไมฉันต้องไปด้วยปล่อยสิ!"
"มากับเราดีๆ เถอะน่า พี่จะพาไปเลี้ยงเหล้าไงดีมั้ย โอ้ย!"
เสี่ยวจือเหวี่ยงกล่องใส่คันธนูฟาดเข้าที่โหนกแก้มอย่างสุดแรงเหวี่ยง จนชายคนนั้นเซถลาล้ม แล้วรีบวิ่งชายอีกคนกระโจนเข้าผลักเสี่ยวจือจนไถลไปกับพื้นทันทีเช่นกัน
ชายอีกสองที่ยืนกับผู้หญิงในตอนแรกต่างเข้ามารุมคว้าตัวเสี่ยวจือ แล้วลากเข้าไปในสวนสาธารณะ ในขณะที่ผู้หญิงสองคนเก็บกระเป๋าเป้กับกล่องใส่คันธนูของเสี่ยวจือแล้วตามเข้าไปข้างในสวน
"ไม่ ปล่อยนะ ฉันไม่รู้จักพวกคุณ จะพาฉันไปไหน"
เสี่ยวจือพยายามขัดขืนต่อสู้สุดแรงเกิด แต่ผู้หญิงร่างเล็กแบบเสี่ยวจือไฉนจะสู้แรงผู้ชายถึง 4 คนได้ ชายพวกนั้นปิดปากเธอไม่ให้ร้อง จับล็อคแขนสองข้าง แล้วลากเธอไปอย่างทุลักทุเลก่อนจะเหวี่ยงตัวเธอฟาดเข้ากับต้นไม้
ร่างเล็กๆนั้นเจ็บจนลุกไม่ขึ้น ผู้หญิงหนึ่งในสองพยักหน้าบอกให้ผู้ชายสองคนเดินเข้ามาจับเสี่ยวจือให้อยู่ในท่านั่ง ก่อนที่จะใช้มือบีบคางเธอให้เงยหน้าขึ้นมอง
แม้จะสลึมสลือแต่เสี่ยวจือก็ยังมองเห็นว่าในมือผู้หญิงคนนั้นถือมืดคัทเตอร์ พร้อมกับแสยะยิ้ม
"แผลนี้แกจะได้จำเอาไว้ว่าอย่ามาอ่อยผู้ชายของคนอื่น"
ผู้หญิงจรดปลายแหลมของมีดกำลังจะกรีดบนใบหน้า ฉับพลันเหมือนมีพลังงานบางอย่างกระชากตัวหล่อนจนกระเด็น ตามด้วยชายอีกสองคนที่จับล็อคเสี่ยวจือต่างถูกเหวี่ยงออกไปโดยบางสิ่งที่มองไม่เห็น
"อะไรวะเนี่ย เกิดอะไรขึ้น!?"
"นี่มันตัวอะไรวะ"
ร่างเรืองแสงสีทองปรากฏขึ้นตรงหน้าเสี่ยวจือ เธอจำเค้ารางของร่างนั้นได้ มันเป็นชายคนเดียวกับที่เธอเห็นในห้องพักนักกีฬา แต่คราวนี้เธอเห็นใบหน้าเขาชัดเจน
ชายสวมเกราะขุนศึกโบราณ ไว้ผมยาวมัดรวบหางม้าสวมกวานลักษณะเป็นตระกูลผู้สูงศักดิ์ รูปร่างสูงโปร่งกำยำ ใบหน้าคมคาย เขาขมวดคิ้วหนาเข้มจดจ้องมาทางกลุ่มชายหญิงพวกนั้น
"ชั่วช้า บังอาจนัก กล้าฉุดคร่าหญิงสาว ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน วันนี้ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าให้รู้สำนึก..!"
เสียงอันทรงพลัง ดังกังวาลประกาศกร้าว ท้องฟ้าเริ่มแปรปรวน สายลมพัดแรงดังพายุโหม จนใบไม้ใบหญ้าปลิดปลิว
กลุ่มชายหญิงพากันชักเท้าถอย พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจกับภาพตรงหน้าว่าเห็นอะไรแน่
"นี่มันตัวอะไรวะ แกหลุดมาจากไหนวะเนี่ย"
ทหารชุดเกราะโบราณไม่มีคำตอบใดๆ เขาย่างสามขุมเข้าหากลุ่มชายหญิงที่หวาดกลัวจนตัวสั่น แม้ใจอยากจะก้าวเท้าหนี แต่ก็ก้าวไม่ออก
สายตาเสี่ยวจือเริ่มพร่ามัว สติเริ่มเลือนราง ยากจะจับความได้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ร่างบอบบางนั้นค่อยๆสิ้นแรง เอนกายล้มลงนอนกับผืนหญ้า
เธอมองเห็นชายชุดเกราะเล่นงานนักเลงเหล่านั้นทีละคน นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะของเสี่ยวจือจะดับลง เธอเปล่งเสียงอันแผ่วเบาไม่กี่คำก่อนสติจะเลือนหาย
".....เขาเป็นใคร...กันนะ...."
