บทที่ 9 เรียนรู้มนุษย์ (2) [3/3]
“อีก 5 ปี แม่จะมาใหม่ ยามนั้นเชียนหยิงอายุครบ 12 ปี สามารถมาทดสอบเพื่อเข้าศึกษาที่นี่ได้”
“ขอรับ ลูกจะรอ”
“เชียนหยิง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับท่านแม่นะ จะได้เก่งๆ มาสอบเข้าเรียนที่นี่กับพี่ได้” อู๋จิ่นฟานหันมาบอกน้องสาวตัวน้อยที่ยืนฟังตาแป๋ว
“เจ้าค่ะ แล้วที่นี่ข้าเอาพี่เสี่ยวเฮยมาอยู่ด้วยได้หรือไม่”
“เอ...ไม่รู้สิ...น่าจะได้กระมัง แต่เจ้าไม่ต้องห่วง พี่จะถามท่านอาจารย์ให้ แล้วพี่จะส่งจดหมายไปบอกท่านแม่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
กลับมาถึงจวนอัครเสนาบดีแล้ว ผ่านไปอีก 5 วัน หวงจิ้งหรงก็เริ่มสอนอู๋เชียนหยิงหัดอ่านเขียน สอนกันไปได้เพียง 15 วัน หวงจิ้งหรงก็ต้องตื่นตะลึงเพราะอู๋เชียนหยิงเฉลียวฉลาดและจดจำได้แม่นยำอย่างยิ่ง สอนสั่งไปเพียงไม่นาน ตัวหนังสือมากมายที่เด็กๆ ต้องจดจำนั้น อู๋เชียนหยิงกลับจำมันได้และยังเขียนออกมาให้นางได้เห็นทั้งหมด แม้ลายมือจะยังไม่งดงามเพราะเพิ่งเริ่มหัดเขียน แต่ก็ชัดเจนอย่างที่สุดว่าอู๋เชียนหยิงจดจำมันได้ทั้งหมดแล้วจริงๆ
สิบห้าวันเองนะ เด็กอายุเจ็ดปีจดจำได้ดีถึงเพียงนี้เชียวรึ ! !
หวงจิ้งหรงต้องอุทานอยู่ในใจอย่างตื่นตะลึง หากก็ภูมิใจในตัวบุตรสาวบุญธรรมอย่างยิ่ง ไม่คาดเลยว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่นางพบเจอโดยบังเอิญในป่ามรณะจะเป็นดั่งหยกอันประเมินค่ามิได้ที่ยังมิได้ผ่านการเจียระไน สอนนางหัดอ่านเขียนได้เพียงหกเดือน อู๋เชียนหยิงก็สามารถอ่านคัมภีร์และตำรับตำราโบราณอันยากต่อการทำความเข้าใจได้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเพราะนางยังเยาว์วัยนักแต่นางก็อ่านออกทั้งหมด
ทั้งระหว่างหกเดือนนี้ เสี่ยวเฮยยังคงให้อู๋เชียนหยิงฝึกฝนในทุกคืนเป็นเวลา 2 ชั่วยามก่อนจะเข้านอน เพื่อให้ระดับลมปราณของนางก้าวหน้า แต่เพราะมิได้ฝึกฝนอยู่ที่แท่นมังกรขดกาญจนา การเพิ่มขึ้นของระดับลมปราณจึงเชื่องช้ากว่าที่นางเคยทำได้ เพราะปราณทิพย์ในนครประกายเทพเบาบางยิ่งนัก ดังนั้น ผู้คนจึงต้องส่งบุตรหลานไปเข้าเรียนตามสำนักต่างๆ เพราะสำนักเหล่านั้นล้วนมีสถานที่ที่มีปราณทิพย์มากกว่า
ทว่าความเชื่องช้าของอู๋เชียนหยิงก็นับว่าเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่ดี เพราะตั้งแต่เริ่มแรก ร่างของนางเป็นครึ่งมารครึ่งเซียน มีคุณสมบัติของร่างกายอันดีเลิศกว่าร่างมนุษย์หลายสิบเท่า อีกทั้งร่างและดวงจิตของนางยังเป็นร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ที่กระทั่งเทพเซียนเองก็ใช่ว่าจะมี ความล้ำเลิศเช่นนี้จึงไม่แปลกที่อู๋เชียนหยิงจะเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วและจดจำได้อย่างแม่นยำหากนางต้องการ
มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยมีดวงจิตนภาพิสุทธิ์ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียมีร่างนภาพิสุทธิ์ ความลับนี้ผู้ที่ล่วงรู้มีเพียงปฐมเทพและปฐมเทพีแรกกำเนิดเท่านั้น แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาจะครอบครองทั้งร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์พร้อมกัน เรื่องนี้สมควรเรียกว่าสวรรค์เมตตานางอย่างยิ่งหรือสวรรค์ต้องการกลั่นแกล้งนางกันแน่ ไฉนจึงมอบสิ่งล้ำค่าถึงสองอย่างให้กับนางพร้อมกัน
ความประเสริฐเลิศล้ำเช่นนี้กระทั่งเทพเซียนยังไม่อาจทำใจเชื่อ หากเหล่าเทพเซียนและมารได้รับรู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเชียนหยิงจะตกอยู่ในอันตรายเพียงใดเพราะนางยังไม่สามารถปกป้องตนเองได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยต้องให้เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียพาบุตรสาวหลบหนีมา และเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจึงต้องทำทุกอย่างที่จะปกปิดความลับเรื่องนี้ให้พ้นจากการรับรู้ของทุกคน
ยามนี้ระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงขาดอีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับสร้างลำต้นขั้นที่เก้า ขณะที่เด็กน้อยเยาว์วัยของมนุษย์ยังคงอยู่ที่ระดับสร้างลำต้นขั้นที่สี่หรือห้า
หวงจิ้งหรงพาอู๋เชียนหยิงมาพบอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน นางบอกเล่าเรื่องของอู๋เชียนหยิงให้เขารับรู้ รวมทั้งระดับลมปราณของบุตรสาว เพียงทราบว่าบุตรีบุญธรรมเลิศล้ำเช่นนี้ อู๋ซิงว่านก็ตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง บุตรสาวที่ตั้งใจรับเลี้ยงเพราะต้องการให้ฮูหยินเอกของตนมีความสุขกลับเก่งกาจเกินคาดคิด เขาทราบดีว่าเรื่องดีเช่นนี้อย่างไรก็ต้องเงียบไว้ให้นานที่สุด ไม่สมควรอวดโอ่ออกไปให้เป็นที่หมั่นไส้ของหลายคน เขาทำงานเป็นอัครเสนาบดีคู่พระทัยของฮ่องเต้ซูเซี่ยงหนานมาสิบปีแล้ว เรื่องเล่ห์กลย่อมทราบดีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ความล้ำเลิศของบุตรีบุญธรรมยังไม่สมควรให้ผู้ใดรับทราบ
“ฮูหยิน ข้าจะให้เชียนหยิงเข้าไปเรียนในวัง ที่นั่นมีอาจารย์ที่มีความรู้มากมายหลายท่าน ทั้งยังมีองค์ชาย องค์หญิง บุตรของขุนนางขั้นหกผิ่นเป็นต้นไปมาเรียนด้วย นางจะได้มีสหาย รู้จักการอยู่ร่วมกับผู้อื่น และจะได้รู้จักผู้คนมากขึ้น”
“เชียนหยิง” อู๋ซิงว่านหันมากล่าวกับอู๋เชียนหยิงที่ยืนฟังตาแป๋ว
“เจ้าคะ”
“พ่อจะให้เจ้าเข้าไปเรียนในวังนะ พรุ่งนี้พ่อจะกราบทูลฮ่องเต้ ให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจ้าเข้าไปเรียน อีกสามวันข้างหน้าเจ้าก็ไปเริ่มเรียนได้” อู๋ซิงว่านบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ แล้วให้พี่เสี่ยวเฮยไปเรียนกับข้าด้วยได้หรือไม่”
อู๋ซิงว่านต้องยิ้มออกมา ทราบมาสักพักแล้วว่าบุตรสาวตัวน้อยผูกติดกับแมวดำเสี่ยวเฮยยิ่งนัก ไม่ว่าไปไหนทำอะไรต้องมีเสี่ยวเฮยอยู่ด้วยเสมอ
“แล้วพ่อจะทูลขอฝ่าบาทให้ แค่แมวตัวหนึ่ง ฝ่าบาทย่อมทรงอนุญาตอยู่แล้ว เจ้าเพียงระวังอย่าให้มันซุกซนไปทำความวุ่นวายให้ผู้ใดก็พอ”
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง พี่เสี่ยวเฮยฉลาด พี่เสี่ยวเฮยไม่ซนแน่นอนเจ้าค่ะ...เอ่อ...ท่านพ่อมีตำราหรือคัมภีร์ใดที่ข้าต้องเรียนมาให้ข้าอ่านก่อนหรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากอ่านไว้ก่อน เวลาไปเรียนจะได้ทันผู้อื่น”
บุตรสาวข้า ให้มันได้อย่างนี้สิ รู้จักเตรียมตัวให้พร้อม อู๋ซิงว่านคิดในใจอย่างชื่นชม
“พรุ่งนี้พ่อจะเอามาให้”
วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายอู๋ซิงว่านก็กลับมาถึงจวนพร้อมกับให้พ่อบ้านอู๋ฮวนถือตำรับตำราสิบกว่าเล่มเดินตามหลังมาถึงเรือนเบญจมาศ จึงได้เห็นนางกำลังคัดลายมือตามคำสั่งของหวงจิ้งหรง
“เชียนหยิง พ่อเอาตำราที่เจ้าต้องเรียนมาให้ เจ้าว่างก็อ่านเสีย แล้ววันที่ไปเรียน เจ้านั่งรถม้าไปกับพ่อ พ่อจะไปส่ง”
ผ่านไปอีกสองวัน เช้าวันนี้หวงจิ้งหรงให้อู๋เชียนหยิงแต่งกายให้เรียบร้อยเพราะวันนี้นางต้องเข้าวังไปร่ำเรียน อู๋ซิงว่านพาอู๋เชียนหยิงมาส่งที่ตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่ใช้เป็นสถานที่เล่าเรียนขององค์ชาย องค์หญิง และบุตรขุนนาง
“วันนี้ พวกเรามีนักเรียนใหม่ นางคืออู๋เชียนหยิง บุตรีบุญธรรมของอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน” อาจารย์เหอกล่าวแนะนำนางกับนักเรียนในห้อง
“ข้า อู๋เชียนหยิง อายุ 8 ปี ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่าน และนี่คือพี่เสี่ยวเฮย แมวของข้า” เสียงใสเล็กๆ แนะนำตนเองและแมวดำเสี่ยวเฮย
“คุณหนูอู๋ เจ้าไปเลือกที่นั่งที่ว่างๆ ได้เลย และอย่าให้แมวของเจ้าวิ่งเพ่นพ่านรบกวนผู้ใด”
“เจ้าค่ะ”
อู๋เชียนหยิงเดินมาที่ที่นั่งแถวหน้าสุด เพราะที่นั่งที่เหลือมีแต่คนนั่งจนเต็มทุกที่ มีเพียงแถวหน้าสุดเท่านั้นที่ว่าง ตะกร้าใบเล็กที่ใส่แมวดำเสี่ยวเฮยถูกวางไว้ข้างตัว มือก็หยิบตำราเล่มที่ต้องเรียนวันนี้ขึ้นมา นั่งเรียนไปได้ราวสองเค่อนางก็ง่วงจนหลับคาโต๊ะ เพราะอาจารย์ผู้นี้สอนได้น่าเบื่ออย่างยิ่ง ไม่สนุกเหมือนที่ท่านแม่หวงจิ้งหรงสอนนาง เสี่ยวเฮยที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ นั้นมันหลับตานอนไปนานแล้ว
