บทย่อ
เรื่องราวในโลกล้วนมีหลากหลาย บ้างดี บ้างเลว บ้างแยกไม่ได้ว่าดีหรือเลว มนุษย์ทุกรูปนามที่รวมถึงเทพเซียนทั้งหลายต่างถูกสั่งสอนมาว่า 'มาร' คือผู้กระทำชั่ว ไม่อาจให้อภัยได้ พบเจอมารที่ใด สังหารได้โดยไร้ความผิด เป็นเช่นนี้เสมอมานับแต่ก่อกำเนิดผืนฟ้าและแผ่นดินในโลกมนุษย์และแดนสวรรค์ ทว่าโลกหล้าไหนเลยจะแยกแยะง่ายดายปานนั้น นางช่วยเหลือทุกสรรพชีวิตด้วยใจเมตตา เชื่อมั่นในคุณความดีมาตลอดนับแต่จำความได้ หากเมื่อนางเติบโตมากขึ้น พบเจอเรื่องราวมากมาย กลับเริ่มพบว่าคำ 'ความดี' และ 'ความชั่ว' ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป กระทั่งคำ 'เทพ' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความดี และคำ 'มาร' ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่ว เมื่อนางได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาและใจของตนเอง นางเริ่มไม่แน่ใจและสงสัยแล้วว่า 'เทพคือความดี' และ 'มารคือความชั่ว' จริงหรือ
บทที่ 1 ลูกครึ่งเทพและมาร (1/3)
ณ วังทลายสวรรค์ แดนอาคเนย์แห่งเผ่ามาร
เซียนบุรุษผู้หนึ่งใช้กระบี่ปักลงบนพื้นเพื่อค้ำยันร่างโชกเลือดของตนมิให้ล้มลงไป เข่าข้างหนึ่งทรุดลงกับพื้น
“จื่อเซีย ไปเสียตอนนี้ หากช้ากว่านี้ ข้าไม่อาจปกปิดไว้ได้แล้ว จะเป็นอันตรายกับเจ้าและลูกของเรา” เสียงของเซียนบุรุษผู้นั้นบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ทั่วร่างเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงสดอาบย้อมอาภรณ์สีขาวที่สวมใส่จนมองเห็นเพียงสีแดงแทบจะทั้งหมด เส้นผมสีดำสนิทรุ่ยร่ายยุ่งเหยิง สีหน้าแววตาปรากฏความวิตกกังวล รอบกายของทั้งสองเกลื่อนกล่นไปด้วยศพของทั้งเทพและมาร
“แต่...ชางเล่ย...ท่านบาดเจ็บมาก...” เสียงของเซียนสตรีนามจื่อเซียบอกกล่าวอย่างกังวล เพราะยามนี้มุมปากของเซียนบุรุษผู้นี้ปรากฏโลหิตไหลรินออกมาตลอดเวลา เขาบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง
เมื่อมองดูเซียนบุรุษและสตรีคู่นี้ หากเทพเซียนคนใดได้มาเห็นย่อมต้องตกตะลึงอย่างไร้สิ้นสุด นั่นเพราะเซียนสตรีนาม ‘จื่อเซีย’ มีไอมารสีดำทมิฬเข้มข้นรายล้อมรอบกาย ชัดเจนว่านางคือมาร มิหนำซ้ำนางถึงกับเป็นเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เทพมารที่ทรงอำนาจสูงสุดและปกครองเหล่ามารทั้งปวง เป็นใหญ่เหนือเทพมารอีกสามองค์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ขณะที่เซียนบุรุษนาม ‘ชางเล่ย’ นั้น รัศมีรอบกายสว่างใสเรืองรอง แน่นอนว่าเขาคือเทพ แต่เขากลับมิใช่เทพธรรมดาสามัญ หากเขาคือมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย เจ้าของวังครองฟ้า ปกครองเหล่าเทพทั้งปวงร่วมกับมหาเทพอีกสี่องค์ หากมหาเทพชางเล่ยกลับทรงอำนาจที่สุดในหมู่มหาเทพทั้งห้า
“เจ้าต้องไป จื่อเซีย พาลูกของเราหนีไป ชางซว่อ ชางจี้ ชางห้าว ไม่มีวันปล่อยเจ้ากับลูก” น้ำเสียงของมหาเทพชางเล่ยอ่อนล้า
หากเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียกลับไม่อาจตัดใจทอดทิ้งมหาเทพชางเล่ย
“ข้าทิ้งท่านไปไม่ได้...พวกมันรู้แล้วว่าท่านและข้ามีความสัมพันธ์เช่นไร แต่พวกมันไม่ทราบถึงลูกของเรา และต่อให้ข้าและลูกหนีไป พวกมันก็ต้องตามล่าข้าอยู่ดี” นางบอกกล่าวเสียงสั่น
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ หากเจ้าพลาดท่าเสียทีจนพวกมันล่วงรู้และได้ตัวลูกของเราไป นางจะเป็นเช่นไร ในตัวนางมีทั้งโลหิตเทพและมาร นางต้องถูกแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นมารจะถูกทำลายทิ้งจนหมดสิ้น ส่วนที่เป็นเทพจะถูกรักษาไว้”
“ทว่าส่วนของเทพที่ถูกรักษาไว้นั้น นางยังต้องถูกลงทัณฑ์ โทษฐานที่นางถือกำเนิดจากมารดาต้องห้ามเช่นเจ้า นางจะกลายเป็นเทพธิดาต้องห้าม นางจะถูกขังที่หอกักเซียนใต้แม่น้ำว่างสามสายตลอดชีวิต นางจะมีชีวิตอยู่ในความมืดที่หอนั้นไปจนกว่านางจะดับสูญไปเอง”
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องนิ่งงัน แม้นางจะพอได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับการลงทัณฑ์เทพเซียนที่กระทำผิด หากไม่เคยชัดเจนเท่านี้
“ที่หอกักเซียน นางจะถูกพรากเอาร่างนภาพิสุทธิ์และดวงจิตนภาพิสุทธิ์ออกไป ผู้ที่มีโอกาสจะได้รับร่างและดวงจิตอันเลิศล้ำที่สุดนี้ก็คือเทพธิดาดาวเหนือจื่อเสวียน บุตรสาวของชางซว่อ เจ้าสมควรทราบถึงความทะยานอยากในการฝึกฝนของนาง หากนางทราบถึงร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ เจ้าคิดหรือว่านางจะไม่แย่งชิง หากนางแย่งชิงสำเร็จ นางจะกลายเป็นเทพธิดาที่เลิศล้ำที่สุดของห้วงแห่งสุขาวดีนี้ ขณะที่ลูกสาวของเราจะกลายเป็นเพียงเซียนพิการผู้หนึ่ง” มหาเทพชางเล่ยบอกกล่าวอย่างขมขื่น
“หากเจ้าพาลูกหนีไป เจ้าและลูกยังมีโอกาสรอด ขอเพียงพวกเจ้ารอด ข้าก็หมดห่วงแล้ว”
“ไม่นะ ชางเล่ย ท่านไปกับข้าและลูกสิ พวกเราหนีไปด้วยกัน”
“ทำไม่ได้ ยามนี้ข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจซ่อนเร้นตัวตนให้พ้นสายตาของผู้ใดได้ หากข้าไปพร้อมกับเจ้า ข้าก็เป็นได้เพียงตัวถ่วงของเจ้ากับลูก”
“แต่...แต่...”
“ไม่มีแต่ เจ้าต้องพาลูกไปเดี๋ยวนี้”
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียต้องนิ่งงันอีกครั้ง
มหาเทพชางเล่ยพลันอ้าปากก่อนจะปรากฏอัญมณีสีแดงสดดุจสีโลหิตขนาดราวผลลำไยลูกใหญ่ทอประกายเจิดจรัสร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
“ชางเล่ย...” นางครางเรียกชื่อของเขาเสียงแผ่วโหย น้ำตาไหลพรั่งพรู ทราบแล้วว่าเขากระทำสิ่งใด
“นี่คือแก่นโลหิตจากหัวใจของข้าที่ข้าฝืนกลั่นมันออกมา ในนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างของข้า เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ลูก อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้และอย่าให้มันตกไปอยู่ในมือผู้ใดเป็นอันขาด มิฉะนั้น ลูกของเราย่อมไม่รอดชีวิต”
นางยื่นมือไปรับแก่นโลหิตนั้นมา พริบตาแก่นโลหิตนั้นก็เลือนหาย ได้ยินเสียงของเขาบอกเล่าสืบต่อ
“พาลูกไปที่ดาวเคราะห์ธาราคราม นั่นเป็นดาวเคราะห์ที่ข้าสร้างไว้นานแล้ว มันอยู่ในแดนดาราระดับล่างสุด ห่างไกลสายตาของเทพเซียนในห้วงแห่งสุขาวดีนี้ ไม่มีใครคาดเดาได้แน่ว่าเจ้าและลูกจะอยู่ที่นั่น ดังนั้น พวกเจ้าสมควรปลอดภัย แก่นโลหิตหัวใจของข้าจะนำทางเจ้าไปยังดาวเคราะห์นั่น” เสียงของเขายิ่งมายิ่งอ่อนล้าโรยแรง รัศมีสว่างรอบกายหม่นหมองพร่าเลือนจนสูญหายหมดสิ้น ไม่เหลือเค้าลางของมหาเทพครองฟ้า มหาเทพผู้เป็นอันดับหนึ่งของห้วงแห่งสุขาวดีอีกต่อไป
กระบี่ในมือถูกเขาสอดใส่ในฝักกระบี่ก่อนจะยื่นส่งให้กับนาง “นำกระบี่ครองฟ้าของข้าไป ยามนี้ข้าไม่อาจรักษามันไว้เพื่อมอบให้ลูกของเราได้แล้ว”
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียน้ำตาไหลพรั่งพรู มือขาวผ่องสั่นสะท้านยามยื่นมือไปรับกระบี่ กระบี่ในมือพลันเลือนหายเข้าสู่ร่างของนาง
“ขอข้าอุ้มลูกหน่อย” เขาบอกกล่าวอย่างอ่อนแรงกว่าเดิม บัดนี้เขาคุกเข่าลงทั้งสองข้าง ก่อนจะยื่นมือไปรับห่อผ้าที่ห่อหุ้มทารกน้อยไว้
มหาเทพชางเล่ยจับจ้องดวงหน้าเล็กๆ ของบุตรสาวเพียงคนเดียวราวกับจะจดจำไว้ในส่วนลึกที่สุดของวิญญาณ อ้อมแขนโอบกอดบุตรสาวที่หลับสนิทก่อนจะหลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาก่อนจะร่วงหล่นลงบนแก้มน้อยๆ ของบุตรสาว
“ท่านยังไม่ได้ตั้งชื่อให้นาง” เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียบอกเขา น้ำเสียงสั่นสะท้าน
“ลูกสาวข้าเพิ่งอายุ 7 วัน ข้ากลับไม่มีวาสนาได้อยู่กับนาง เพิ่งวันนี้ที่ข้าได้กอดนางไว้เช่นนี้” เขากล่าวกับตนเองอย่างโศกเศร้าสุดแสน
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “ให้นางชื่อ ‘เชียนหยิง’ ส่วนแซ่ของนาง แล้วแต่ใจเจ้าเถิด อย่างไรนางก็ไม่อาจใช้ทั้งแซ่ของเจ้าและข้าได้”
กล่าวจบแล้วเขาก็ก้มลงจุมพิตหน้าผากของทารกน้อยครู่หนึ่ง โอบกอดนางแนบแน่นอีกครั้ง ชั่วครู่จึงค่อยตัดใจยื่นบุตรสาวคืนให้เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ผู้เป็นมารดา
“ชางเล่ย สัญญากับข้า ท่านต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อข้าและลูก ข้าจะรีบกลับมาช่วยท่านให้เร็วที่สุด สัญญาสิ สัญญาเดี๋ยวนี้” นางเอ่ยเร่งเร้าเสียงสั่น น้ำตายิ่งไหลนอง
“ข้า...สัญญา...” เขารับคำเสียงอ่อนล้าแผ่วเบา
เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจำต้องพาเชียนหยิงบุตรสาวอายุเพียง 7 วันหลบหนีออกจากแดนมาร เพราะยามนี้เผ่าเทพยกกำลังเข้าโจมตีแดนมารเต็มกำลัง นั่นเพราะเผ่าเทพและเผ่ามารเป็นดั่งน้ำกับไฟที่ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้
แก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยนำพาเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียมาถึงดาวเคราะห์ธาราคราม นางใช้เวลาเดินทางมายังดาวเคราะห์แห่งนี้ราว 4 ชั่วยาม เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ แล้ว ดาวเคราะห์แห่งนี้เต็มไปด้วยสีฟ้า หากเมื่อเข้าใกล้มากขึ้นจึงได้ทราบว่าสีฟ้านั้นคือน้ำ วารีธาตุยึดพื้นที่ของดาวเคราะห์ดวงนี้ไปกว่า 7 ใน 10 ส่วน มหาเทพชางเล่ยจึงให้นามว่า ธาราคราม
