บทที่ 10 เรียนรู้มนุษย์ (3) [1/3]
“อู๋เชียนหยิง ! !”
ได้ยินคล้ายเสียงดังจากที่ไกลๆ เรียกชื่อนาง หากสติของอู๋เชียนหยิงยังไม่กลับมา
“อู๋เชียนหยิง ! !”
คราวนี้กลายเป็นเสียงตะโกนลั่น อู๋เชียนหยิงและเสี่ยวเฮยสะดุ้งขึ้นทันทีก่อนจะเห็นว่าอาจารย์เหอที่กำลังสอนนั้นจ้องหน้านางอย่างเอาเป็นเอาตาย เสี่ยวเฮยหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็เผลอหลับเช่นกัน
“จะ...เจ้าคะ...ท่านอาจารย์มีอะไร” อู๋เชียนหยิงถามเสียงอ่อย รู้สึกตัวแล้วว่าตนเองเผลอนั่งหลับ ซ้ำยังหลับอยู่แถวหน้าสุดเสียด้วย
“อู๋เชียนหยิง เจ้ากล้านั่งหลับในระหว่างที่ข้าสอน เจ้ารู้และเข้าใจในเรื่องที่ข้าสอนดีใช่หรือไม่ถึงกล้าหลับ เช่นนั้น เจ้าตอบคำถามของข้ามา” อาจารย์เหอโกรธมากและยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อมองเห็นว่ากระทั่งเจ้าแมวดำของนางยังนอนหลับสบาย
“เจ้าค่ะ...” อู๋เชียนหยิงมีสีหน้าไม่สู้ดี ท่านอาจารย์สอนไปถึงไหนแล้วล่ะ ข้าไม่ได้ฟังเลย
“จงตอบมาว่าธาตุในโลกนี้มีกี่ธาตุ ธาตุอะไรบ้าง และธาตุใดชนะธาตุใด”
นี่เป็นคำถามที่ไม่ยากและไม่ง่าย เด็กอายุไม่เกินสิบปีจำได้แน่ว่ามีกี่ธาตุและธาตุใดบ้าง หากเรื่องการชนะธาตุนั้นมักจำกันไม่ค่อยได้หรือไม่ก็จำผิดจำถูก เด็กทุกคนในห้องมองอู๋เชียนหยิงเป็นตาเดียว บ้างยิ้มเยาะ บ้างเห็นใจ นั่นเพราะพวกตนก็แอบหลับเช่นกัน เพียงแต่อู๋เชียนหยิงนั้นหลับอย่างโจ่งแจ้งเหลือเกิน
“โดยพื้นฐานจะมีทั้งหมด 5 ธาตุ ได้แก่ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุทอง ธาตุลม ธาตุดิน”
“ธาตุน้ำชนะธาตุไฟ ธาตุไฟชนะธาตุทอง ธาตุทองชนะธาตุลม ธาตุลมชนะธาตุดิน และธาตุดินชนะธาตุน้ำ และยังมีธาตุพิเศษคือธาตุสายฟ้าที่ไม่ปรากฏว่ามีธาตุใดชนะธาตุนี้ หากธาตุสายฟ้าสามารถชนะทั้งห้าธาตุ” อู๋เชียนหยิงตอบรวดเดียวอย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่เสี่ยวเฮยสอนนางมาตั้งแต่นางจำความได้และนางก็ฝึกฝนเรื่องธาตุนี้มานานแล้ว
คำตอบนี้ทำให้ทุกคนในห้องตื่นตะลึง นักเรียนที่นั่งอยู่ด้วยต้องมองอู๋เชียนหยิงอย่างตกใจ พวกเขาคาดไม่ถึงว่านางจะรู้ละเอียดเช่นนี้ กระทั่งอาจารย์เหอผู้ถามคำถามนี้ยังต้องนิ่งอึ้ง เพราะก่อนหน้าที่จะถามคำถามนี้ ตนเองเพิ่งเริ่มสอนเรื่องธาตุเท่านั้นและเพิ่งบรรยายถึงว่าธาตุใดชนะธาตุใด และไม่คิดจะเอ่ยถึงธาตุสายฟ้าที่เป็นเรื่องของธาตุในระดับที่สูงขึ้น
“เจ้ารู้จักธาตุสายฟ้าได้อย่างไร”
“ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นนี่เจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงตอบกลับซื่อๆ หากทำให้สีหน้าของทุกคนเกิดอาการพูดไม่ออก นางเข้าใจว่าเรื่องง่ายเช่นนี้ ใครก็รู้มิใช่หรือ ขนาดพี่เสี่ยวเฮยยังรู้เลย
“เจ้าเปิดตำราไปที่หน้าที่ 178 อธิบายให้ข้าฟัง”
นางเปิดตำราตามที่สั่ง กวาดสายตามองชั่วครู่ว่าเป็นเรื่องราวใดก่อนจะเงยหน้ามาเริ่มอธิบายถึงธาตุน้ำ
“ธาตุน้ำ แม้เป็นธาตุที่อ่อนแอที่สุดในธาตุทั้งห้าเพราะพลังทำลายต่ำที่สุด แต่มันกลับเป็นธาตุที่ทรงพลังที่สุดในยามตั้งรับ ผู้ใช้ธาตุน้ำสามารถใช้ธาตุน้ำต้านรับการโจมตีได้เกือบทุกรูปแบบและยังช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและลมปราณของผู้ใช้ได้ดีที่สุด ดังนั้น หากจะกล่าวว่าธาตุน้ำอ่อนแอย่อมไม่สมควรอย่างยิ่ง ทุกธาตุย่อมมีดีมีเสียปะปนกัน”
“ธาตุไฟ พลังทำลายสูงล้ำที่สุดในธาตุทั้งห้า ธาตุไฟจะเริ่มที่สีแดงอันเป็นสีในขั้นต่ำสุด ถัดมาจึงเป็นสีคราม สีม่วง สีขาว และสีทอง ความร้อนแรงของเพลิงแต่ละสีจะร้อนขึ้นเป็นหลายสิบเท่าของขั้นก่อนหน้า หากเป็นเพลิงสีทองสามารถกล่าวได้ว่าสามารถทำลายได้ทั้งทวีปวิญญาณเทพ”
อู๋เชียนหยิงจบคำอธิบายของนางลงแล้ว หากทุกคนในห้องต้องอ้าปากค้าง
“เจ้าเปิดตำราไปที่หน้า...” อาจารย์เหอเริ่มตั้งคำถามให้นางตอบอีกครั้ง อู๋เชียนหยิงเปิดหน้าตำราตามที่สั่งก่อนจะอธิบายอย่างคล่องแคล่ว
ไม่ว่าอาจารย์เหอจะตั้งคำถามอย่างไร นางล้วนตอบได้หมดทั้งยังตอบอย่างละเอียดชัดเจนเสียยิ่งกว่าอาจารย์เหอที่เป็นผู้สอนวิชานี้ นั่นเพราะนางตอบตามการฝึกฝนของตนเอง
เรื่องเกี่ยวกับธาตุนี้ เสี่ยวเฮยสอนนางมาเนิ่นนานแล้ว ทั้งในการฝึกฝนเสี่ยวเฮยก็ให้นางฝึกฝนจนครบทุกธาตุรวมทั้งธาตุสายฟ้า เมื่อนางเริ่มฝึกฝนธาตุ เสี่ยวเฮยจึงได้ทราบว่านางสามารถใช้ได้ทุกธาตุเช่นเดียวกับมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย บิดาของนาง เพราะมหาเทพชางเล่ยคือผู้รังสรรค์สรรพธาตุ นางผู้เป็นบุตรสาวกลับสืบทอดความสามารถนี้มาจนครบถ้วน
นางฝึกฝนเช่นนี้มาตั้งแต่นางอายุได้ 13,000 ปี ยามนี้นางอายุ 14,000 ปี เท่ากับนางฝึกฝนธาตุทั้งหกมา 1,000 ปีแล้ว
หนึ่งพันปีนี้แม้นางจะทำความเข้าใจและใช้ธาตุได้ดีกว่าเซียนเด็กในห้วงแห่งสุขาวดีไปเพียงหนึ่งขั้น แต่หากเทียบกับมนุษย์ นางคืออัจฉริยะอันหาได้ยากยิ่ง แต่แน่นอนว่ายังไม่มีมนุษย์คนใดเคยเห็นนางใช้ออกด้วยธาตุทั้งหมด
“คุณหนูอู๋” อาจารย์เหอเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ มันรู้แล้วว่าลูกศิษย์ใหม่คนนี้เชี่ยวชาญแตกฉานเรื่องธาตุเสียยิ่งกว่าตัวมันเอง ไม่แปลกใจเลยที่นางจะนั่งหลับ นางเป็นเด็กอายุ 8 ปีจริงหรือนี่ ผู้ใดกันที่สอนนางจนเก่งกาจเช่นนี้
“เจ้าอยากออกไปวิ่งเล่นข้างนอกหรือไม่”
“ได้หรือเจ้าคะ” นางถามอย่างตื่นเต้น
“ได้สิ เจ้าออกไปเล่นกับลูกแมวของเจ้าก่อน แล้วยามเที่ยงค่อยกลับเข้ามารับประทานอาหารกลางวัน”
“ขอบคุณท่านอาจารย์” เสียงใสเล็กๆ กล่าวอย่างยินดี มือน้อยคว้าอุ้มเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของเด็กนักเรียนทุกคนที่จ้องมองนางอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน อู๋เชียนหยิงก็กลับเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับทุกคนในห้องรับประทานอาหารรวม นางหยิบชามกระเบื้องใบเล็กที่วางพิงในตะกร้าที่ใส่เสี่ยวเฮยออกมาก่อนจะขอให้นางกำนัลที่ยืนคอยรับใช้ให้นำชามไปใส่อาหาร เมื่อได้ชามที่ใส่อาหารจนเต็มกลับมา นางก็วางชามนั้นลงข้างตัวที่เสี่ยวเฮยนั่งหมอบรออยู่
“พี่เสี่ยวเฮย นี่อาหารกลางวัน” เสียงใสเล็กๆ บอกกล่าวราวกับบอกคนผู้หนึ่ง
เห็นแมวดำเสี่ยวเฮยก้มลงรับประทานอย่างเรียบร้อยว่าง่าย นับว่าผิดแผกจากแมวอื่นมากนัก เพราะแมวทั่วไปแทบจะไม่เชื่อฟังเจ้าของ แต่เสี่ยวเฮยกลับเชื่อฟังอย่างดียิ่ง ไม่ว่าอู๋เชียนหยิงจะบอกให้มันคอยนางที่ตรงไหนหรือทำอะไร มันก็จะคอยนางอยู่ที่นั้นและทำตามที่นางสั่ง ราวกับมันเข้าใจภาษามนุษย์ทุกคำ
ยามบ่ายเป็นการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ สำหรับนักเรียนคนอื่นแล้ว วิชานี้กลายเป็นวิชาที่น่าเบื่อและน่านอนที่สุด เพราะพวกเขาเติบโตมาในทวีปวิญญาณเทพและดาวเคราะห์ธาราคราม ดังนั้น เรื่องราวของสี่ทวีปและตำนานต่างๆ จึงได้ยินได้ฟังมาแต่เด็ก แต่กับอู๋เชียนหยิงนั้นตรงกันข้าม ตำราประวัติศาสตร์เป็นตำราที่นางยังไม่เคยพลิกอ่าน เมื่อได้เริ่มเรียนนางจึงเริ่มสนใจและสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
“มีตำนานเล่าขานกันว่าในมิติและช่วงเวลาอันไกลโพ้นเกินคิดฝัน ยามนั้นทุกสรรพสิ่งยังคงเป็นเพียงกระแสพลังสีขาวอันยิ่งใหญ่จนไม่อาจคาดเดา หลังผ่านช่วงแห่งการวิวัฒน์อันนานแสนนาน ในที่สุดก็แบ่งออกเป็นขั้วหยินและขั้วหยาง ห้วงมิติและกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานนับอสงไขย ใจกลางห้วงแห่งสุขาวดียามนั้นแบ่งออกเป็นสองขั้วก่อเกิดสองชีวิตแรกขึ้นมา นี่คือจุดเริ่มต้นของสรรพชีวิตทั้งปวงในห้วงแห่งสุขาวดีที่ชนรุ่นหลังเรียกขานว่าปฐมเทพแรกกำเนิดและปฐมเทพีแรกกำเนิด” เสียงของอาจารย์เจิ้งผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์เริ่มบรรยาย อู๋เชียนหยิงนั่งฟังอย่างสนใจ
