บทที่ 7 เรียนรู้มนุษย์ (2) [1/3]
วันรุ่งขึ้น เมื่ออู๋จิ่นฟานมาพบอู๋เชียนหยิงถึงเรือนพักของนางจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลง
“น้องสาวพี่น่ารักจริง” เขาเอ่ยปากชมทันทีเมื่อได้เห็นเด็กหญิงอยู่ในชุดกระโปรงที่น่ารักสมวัยและเหมาะกับตำแหน่งคุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี แม้น้องสาวบุญธรรมของเขาคนนี้จะหน้าตาธรรมดาไปบ้างหากเค้าความน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเด็กน้อยก็ยังมีให้เห็นชัดเจน
“พี่มารับเจ้าไปรับประทานข้าวที่เรือนใหญ่” เขาบอกกล่าวก่อนจะจับจูงมือน้อยพาเดินออกไป เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยเดินตาม
เมื่อมาถึงอู๋เชียนหยิงจึงได้พบฮูหยินรองและฮูหยินสาม รวมทั้งบุตรชายอีกสองคนของอู๋ซิงว่านกับฮูหยินทั้งสอง ส่วนอนุทั้งสี่นั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะตามธรรมเนียมอยู่แล้ว เมื่อวานนี้อู๋เชียนหยิงได้เห็นฮูหยินทั้งสองแล้ว แต่อู๋ซิงว่านยังมิได้แนะนำให้นางรู้จัก
“เชียนหยิง นี่คือแม่รองจางมู่เสี่ย และแม่สามจ้าวจินอิ๋ง”
“คำนับแม่รอง แม่สาม” อู๋เชียนหยิงกล่าวทำความรู้จักและคำนับได้อย่างถูกต้องตามที่เสี่ยวเฮยสอนสั่งไว้แล้ว มารยาทเล็กน้อยเหล่านี้เสี่ยวเฮยสอนนางไว้เมื่อไม่นาน เพื่อให้นางคุ้นเคยกับธรรมเนียมของมนุษย์ในเบื้องต้น
“นี่คือพี่รองของเจ้า อู๋เฝิงห้าว และนั่นพี่สามของเจ้า อู๋เจี้ยนหาว”
“คำนับพี่รอง พี่สาม”
หากการคำนับของอู๋เชียนหยิงกลับมิได้รับความสนใจจากฮูหยินและบุตรชายทั้งสอง พวกเขาเพียงมองหน้านางแล้วก็มิได้สนใจอีกต่อไป นั่นเพราะพวกนางมีบุตรชายเช่นเดียวกับหวงจิ้งหรง ฮูหยินเอก พวกนางย่อมต้องการให้บุตรชายของตนได้เป็นผู้นำตระกูลอู๋ต่อจากอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน
ฮูหยินเอกหวงจิ้งหรงนั้นตั้งครรภ์ก่อนพวกนาง 3 เดือน เมื่อครบกำหนด 9 เดือน นางจึงคลอดอู๋จิ่นฟานออกมา ขณะที่พวกนางทั้งสองตั้งครรภ์พร้อมกันและคลอดบุตรชายออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันหลังจากอู๋จิ่นฟานอายุได้ 3 เดือน
พวกนางสอนสั่งบุตรชายทั้งสองให้แข่งขันกับอู๋จิ่นฟานเพื่อแสดงความสามารถให้อู๋ซิงว่านได้เห็น เพราะยามนี้อู๋ซิงว่านยังมิได้ตัดสินใจให้บุตรชายคนใดเป็นทายาทสืบต่อ แม้ตามประเพณีจะต้องให้บุตรชายที่เกิดจากฮูหยินเอก แต่เพราะพวกนางล้วนแต่มาจากตระกูลใหญ่ไม่แพ้หวงจิ้งหรง ทำให้อู๋ซิงว่านยังไม่คิดให้บุตรชายคนใดเป็นผู้นำตระกูลอู๋ต่อจากตนเอง
ดังนั้น เมื่อหวงจิ้งหรงรับบุตรสาวบุญธรรมที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเข้ามา พวกนางจึงมิได้คิดสนใจหรือให้ความสำคัญ เพราะอย่างไรก็แค่บุตรสาวบุญธรรม ไหนเลยจะมาสู้บุตรแท้ๆ เช่นอู๋จิ่นฟาน อู๋เฝิงห้าว และอู๋เจี้ยนหาวได้ อีกทั้งนางเป็นสตรี ความสำคัญย่อมมิได้เท่าเทียมบุรุษ
หากเรื่องนี้กลับเป็นผลดีต่ออู๋เชียนหยิง นั่นเพราะเมื่อพวกนางมิได้ใส่ใจ อู๋เชียนหยิงย่อมอยู่ในจวนอัครเสนาบดีได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล
เมื่อถึงเวลารับประทาน แน่นอนว่าอู๋เชียนหยิงย่อมใช้ตะเกียบไม่เป็น เพราะนับแต่นางรู้ความ นางฝึกฝนตนเองอยู่ในสถานที่ที่มีปราณทิพย์หนาแน่น ปราณทิพย์หล่อเลี้ยงร่างครึ่งเซียนครึ่งมารของนางมาโดยตลอด นางจึงไม่เคยต้องรับประทานสิ่งใด จนเมื่อออกมานอกแท่นมังกรขดกาญจนา นางก็รับประทานเพียงผลไม้ป่า นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางต้องรับประทานเช่นมนุษย์
หวงจิ้งหรงแม้แปลกใจที่นางใช้ตะเกียบไม่เป็น หากก็เอ่ยปากสอนนางถึงวิธีการใช้ เพียงครู่อู๋เชียนหยิงก็ใช้ตะเกียบได้อย่างคล่องแคล่วราวกับคุ้นเคยมาเนิ่นนาน หวงจิ้งหรงต้องแปลกใจอีกครั้ง ขณะที่จางมู่เสี่ย จ้าวจินอิ๋ง อู๋เฝิงห้าว อู๋เจี้ยนหาว ต่างมองนางอย่างดูแคลน นั่นเพราะมีแต่คนยากจนเท่านั้นที่ต้องใช้มือรับประทานข้าว พวกเขาคิดว่าอู๋เชียนหยิงต้องเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจนอย่างยิ่ง
แม้ไม่มีวาจากระทบกระเทียบเปรียบเปรย แต่อู๋เชียนหยิงก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงบรรยากาศไม่สู้ดีในระหว่างรับประทานอาหาร
นี่เป็นครั้งแรกที่นางรับประทานอาหารของมนุษย์ รสชาตินับว่าดีอย่างยิ่งจนนางอยากเรียนรู้การทำอาหารของมนุษย์ แต่แล้วนางก็เหลือบเห็นว่าแมวดำเสี่ยวเฮยยังมิได้รับประทานสิ่งใด
“ท่านแม่ ข้าแบ่งอาหารบนโต๊ะนี้ให้พี่เสี่ยวเฮยได้หรือไม่” เสียงใสเล็กๆ เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“ได้สิ เจ้าแบ่งไปเถิด”
“ขอบคุณท่านแม่”
“พี่เสี่ยวถง ขอชามเล็กๆ ให้ข้าสักใบ ข้าจะแบ่งอาหารให้พี่เสี่ยวเฮย” อู๋เชียนหยิงหันมาสั่งสาวใช้ประจำตัว
เสี่ยวถงออกไปจากห้องครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมชามกระเบื้องเปล่าใบหนึ่ง อู๋เชียนหยิงรับมาก่อนจะตักแบ่งอาหารบางส่วนใส่ไว้จนเต็มและวางตรงหน้าเสี่ยวเฮยที่นอนหมอบอยู่ที่ริมห้อง
“พี่เสี่ยวเฮย รับประทานนี่นะ”
เจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยก้มลงรับประทานอย่างว่าง่าย
“ชามใบนั้น เจ้าแยกไปต่างหากเลยนะ อย่าเอามาปนกัน เจ้าใช้ชามนั้นให้อาหารแมวไปแล้ว ก็ไม่สมควรมาให้คนใช้ชามเดียวกับแมว” เสียงของจางมู่เสี่ย ฮูหยินรองดังขึ้น
“เจ้าค่ะ” อู๋เชียนหยิงรับคำ
“พี่เสี่ยวถง ต่อไปอาหารของพี่เสี่ยวเฮยให้ใส่แต่ในชามใบนั้นนะ” อู๋เชียนหยิงหันมาสั่งสาวใช้ประจำตัวที่ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่ามีหน้าที่เลี้ยงแมวด้วยนอกเหนือจากดูแลคุณหนูใหญ่
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
เมื่อรับประทานเสร็จเรียบร้อย อู๋จิ่นฟานจึงพาอู๋เชียนหยิงออกมาเที่ยวเล่นในนครประกายเทพ แน่นอนว่าเสี่ยวเฮยย่อมต้องติดตามมาด้วย อู๋เชียนหยิงตื่นตาตื่นใจกับบ้านเมืองและผู้คนในนครประกายเทพอย่างมาก นางซักถามอู๋จิ่นฟานอย่างลืมตัว อู๋จิ่นฟานก็บอกเล่าให้นางฟังอย่างไม่เกี่ยงงอน ความเอ็นดูในตัวน้องสาวบุญธรรมยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อได้เห็นนางอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมดทุกอย่าง เขาบอกเล่าและสอนนางมากมายโดยที่ไม่ทราบเลยว่าอู๋เชียนหยิงจดจำทุกสิ่งที่เขาสอนได้แม่นยำนัก
“ขนมนี้อร่อยถูกใจเจ้าหรือไม่” อู๋จิ่นฟานเอ่ยถามเมื่อพานางเข้ามานั่งรับประทานขนมที่เพิงร้านน้ำชาเพื่อพักเหนื่อยก่อนจะพาไปเที่ยวต่อ
“อร่อยเจ้าค่ะ พี่เสี่ยวเฮยยังชอบเลย” อู๋เชียนหยิงบอกกล่าวเสียงอู้อี้เพราะขนมยังเต็มปาก
“เชียนหยิง อย่าพูดเวลากำลังรับประทาน เจ้าต้องเคี้ยวและกลืนให้เสร็จเสียก่อนจึงค่อยพูด”
อู๋เชียนหยิงรีบกลืนอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบรับ “เจ้าค่ะ”
อู๋จิ่นฟานรู้สึกเอ็นดูรักใคร่น้องสาวตัวน้อยมากขึ้น เพราะนอกจากนางจะว่านอนสอนง่ายแล้ว นางยังเชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี อู๋จิ่นฟานพาอู๋เชียนหยิงเที่ยวเล่นในนครประกายเทพจนถึงเวลาอาหารเย็นจึงค่อยพานางกลับ เขาพานางเที่ยวเล่นเช่นนี้อยู่ถึง 7 วัน ระหว่างเจ็ดวันนี้ อู๋เชียนหยิงที่พูดคุยจนสนิทสนมกับอู๋จิ่นฟานจึงได้ทราบว่าพี่ใหญ่ของนางยามนี้กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักวิญญาณเทพ เจ้าสำนักคือนักพรตลิ่วเหริน
ระดับลมปราณของนักพรตลิ่วเหรินอยู่ในระดับพ้นบาปขั้นสิบที่กำลังพยายามทะลวงด่านเพื่อขึ้นสู่ระดับขึ้นสวรรค์ขั้นหนึ่ง ส่วนอู๋จิ่นฟาน พี่ใหญ่ของนาง ระดับลมปราณของเขาอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่สาม นับได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง เพราะพี่ชายของนางอายุ 15 ปี เด็กหนุ่มในวัยเดียวกับเขาส่วนใหญ่จะมีระดับลมปราณอยู่ในระดับผลิดอกขั้นที่หนึ่ง
“พี่ใหญ่ แล้วข้าจะได้ไปเรียนที่สำนักวิญญาณเทพเมื่อใด” เชียนหยิงน้อยถามอย่างอยากรู้ นางก็อยากไปเล่าเรียนเช่นกัน ฟังพี่ใหญ่เล่าแล้ว น่าสนุกจะตาย
“ไว้ให้เจ้าอายุ 12 ปีและระดับลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งเสียก่อน เจ้าค่อยไปสอบเข้าศึกษาที่นั่น”
“แตกหน่อขั้นที่หนึ่ง?”
“ใช่ สำนักวิญญาณเทพไม่รับศิษย์ที่ระดับลมปราณต่ำกว่าแตกหน่อขั้นที่หนึ่ง ยามนั้นที่ข้าอายุ 12 ลมปราณของข้าก็อยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่สามแล้ว”
