บทที่ 6 เรียนรู้มนุษย์ (1) [3/3]
“เจ้าอายุเท่าใดแล้วมีญาติพี่น้องหรือไม่”
เชียนหยิงส่ายหน้าทันที “ปีนี้ข้าอายุ 7 ปี ครอบครัวข้ามีกันแค่ข้า ท่านพ่อท่านแม่ และพี่เสี่ยวเฮย”
หวงจิ้งหรงนิ่งไปครู่ นัยน์ตาทอแววครุ่นคิดก่อนจะเหลือบตามองอู๋ซิงว่าน
“ฮูหยิน เจ้าจะพานางไปอยู่ที่จวนด้วยก็ได้ เด็กกำพร้าตัวแค่นี้ เลี้ยงไว้ก็ไม่เสียหาย ถือเสียว่าได้ช่วยชีวิตนาง เจ้าจะได้มีเพื่อนคุยด้วย” อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านออกปากอนุญาตทันที
“ขอบคุณท่านพี่”
“เชียนหยิง เจ้าไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ อย่างไรเจ้าก็อยู่ในป่านี้เพียงลำพังไม่ได้ดอก ที่เจ้ารอดมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าเจ้ามีวาสนามากแล้ว” หวงจิ้งหรงหันมาชักชวนเชียนหยิงอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปอยู่ได้หรือ ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับท่านเลยนะ”
“ได้สิ เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้า”
“เพื่อนคุยหรือ แต่...แต่...ข้า...เอ่อ...คุยไม่เก่ง” เชียนหยิงบอกกล่าวตามตรง นางจะคุยเก่งได้อย่างไร ก็อยู่กันเพียงแค่นางกับเสี่ยวเฮยเท่านั้น เมื่อนางรู้ความขึ้นมา เสี่ยวเฮยก็สอนสั่งให้นางฝึกฝนแล้ว เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้นางย่อมไม่ทราบ แน่นอนว่าเวลานี้นางอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เสี่ยวเฮยต้องยอมปล่อยให้เชียนหยิงออกมารู้จักมนุษย์
ยามนี้ไม่ทันมีผู้ใดสังเกตเห็นแมวดำที่อยู่ข้างกายเชียนหยิง เสี่ยวเฮยนั่งหมอบนิ่ง สายตาจับจ้องที่หวงจิ้งหรงและอู๋ซิงว่าน รอบกายคล้ายมีไอมารสีดำเลือนลาง
“เจ้าไม่ต้องเป็นเพื่อนคุยข้าแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้ามาเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า” หวงจิ้งหรงตัดสินใจปุบปับ ทำเอาอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านต้องจ้องมองนางอยู่ชั่วครู่
“นะ ท่านพี่ ข้ากับท่านรับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม” หวงจิ้งหรงหันมาอ้อนวอน
อู๋ซิงว่านนิ่งไปครู่ก่อนจะตอบรับ “ได้ ให้นางเป็นลูกสาวบุญธรรมของเจ้ากับข้า เช่นนั้นก็ให้นางเปลี่ยนมาใช้แซ่อู๋”
“ขอบคุณท่านพี่”
“เชียนหยิง ยังไม่รีบคารวะท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรมอีกรึ” หวงจิ้งหรงหันมากล่าวกับเชียนหยิงอย่างดีใจ
เด็กหญิงค่อยๆ คุกเข่าลงก่อนจะโขกศีรษะสามครั้งเพื่อคารวะบิดามารดาบุญธรรม
“เชียนหยิงคารวะท่านพ่อบุญธรรม ท่านแม่บุญธรรม”
หวงจิ้งหรงก้าวเข้ามาประคองเด็กหญิงให้ลุกขึ้น “ดีมาก ต่อไปนี้ เจ้าคืออู๋เชียนหยิง มิใช่เซี่ยเชียนหยิงอีกต่อไป จำไว้ให้ดี”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรม”
“ไม่ต้องเรียกท่านแม่บุญธรรม เรียกท่านแม่ ท่านพ่อ ก็พอ ไหนลองเรียกสิ ลูกแม่”
“ท่านแม่ ท่านพ่อ”
แค่เพียงเสียงใสเล็กๆ เรียกขานก็ทำให้หวงจิ้งหรงต้องน้ำตาซึม นางอยากได้บุตรสาวมาเนิ่นนานแล้ว เคยคิดจะรับหลานสาวสักคนมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็ไม่ถูกใจหลานสาวคนใดเลย แต่พอมาเป็นเด็กหญิงน้อยผู้นี้ เพียงสบตาดำขลับที่งดงามอย่างที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน หวงจิ้งหรงก็อยากได้เด็กหญิงนี้มาเป็นบุตรบุญธรรมทันที อู๋ซิงว่านที่รักถนอมฮูหยินเอกก็ตกปากรับคำอย่างง่ายดายจนต้องนึกแปลกใจตนเอง
ไม่มีผู้ใดในที่นี้ทราบว่าเสี่ยวเฮยใช้ออกด้วยวิชาเสน่ห์มาร อันเป็นวิชาประจำตัวของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย วิชานี้จะโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่ถูกเสน่ห์มารให้คล้อยตามและกระทำตามที่ถูกสั่ง และเพราะเป็นวิชาของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ย่อมไม่มีวิชาใดของแดนมนุษย์สามารถแก้ไขได้ กระทั่งตรวจให้พบก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้
เพราะอย่างไรเสี่ยวเฮยย่อมไม่ไว้ใจมนุษย์หรือผู้ใดทั้งสิ้น บุคคลที่มันไว้ใจย่อมมีเพียงเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียและมหาเทพชางเล่ยเท่านั้น ดังนั้น มันจึงยินยอมใช้ออกด้วยวิชาเสน่ห์มารเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหากับเชียนหยิงในภายภาคหน้า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เอาพี่เสี่ยวเฮยไปด้วยนะ” เสียงเล็กๆ เอ่ยขอทันที
“แน่นอน เจ้ากับมันอยู่ด้วยกันมาก่อน แม่จะพรากเจ้าไปจากมันได้อย่างไร” หวงจิ้งหรงตอบรับคำขอแรกของบุตรสาวบุญธรรมอย่างรวดเร็ว
จากที่ตั้งใจมาล่าสัตว์กลับกลายเป็นได้บุตรสาวบุญธรรมพร้อมแมวดำอีกหนึ่งตัว อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงจึงรีบกลับสู่จวนอัครเสนาบดีอย่างรวดเร็ว
ณ จวนอัครเสนาบดีอู๋ นครประกายเทพ
“จิ่นฟาน เจ้ามารู้จักน้องสาวบุญธรรมของเจ้าสิ” หวงจิ้งหรงเรียกให้บุตรชายมารู้จักน้องสาวคนใหม่ หนุ่มน้อยวัย 15 ปี จ้องมองอย่างงุนงงครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กหญิงผิวขาวผ่องหากหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและเก่าขาด
“นามของนางคือเชียนหยิง อายุ 7 ปี แม่กับพ่อพบนางที่ป่ามรณะในเทือกเขาเงาเทพ บิดามารดาของนางถูกสัตว์อสูรทำร้ายจนตายหมดสิ้น แม่กับพ่อถูกชะตากับนางจึงรับนางเป็นบุตรบุญธรรม นางจะได้เป็นน้องสาวของเจ้าด้วย จิ่นฟาน” หวงจิ้งหรงบอกเล่าสั้นๆ หากครบถ้วนทุกเรื่องราว
เชียนหยิงสบตากับพี่ชายบุญธรรมตรงหน้าอย่างตื่นๆ นางอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มีเพียงเสี่ยวเฮยเท่านั้นที่สนิทกับนางที่สุด สบตากับพี่ชายคนนี้แล้ว นางก็ไม่ทราบว่าเขารู้สึกอย่างไรกับนาง
เสี่ยวเฮยจับจ้องมองหนุ่มน้อยผู้นี้เงียบๆ มันยังไม่อยากใช้วิชาเสน่ห์มารโดยไม่จำเป็น แค่ควบคุมให้อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงรับเชียนหยิงเป็นบุตรีบุญธรรมก็นับว่าเพียงพอแล้ว
อู๋จิ่นฟานสบตากับเด็กหญิงน้อยแล้ว ก็ต้องรู้สึกสงสารนางไม่น้อย เพราะนางเป็นกำพร้าอย่างกะทันหัน ไร้ที่พึ่งพิง แค่หลงอยู่ในป่ามรณะที่เทือกเขาเงาเทพและรอดมาได้ก็เรียกว่าเหลือเชื่ออย่างที่สุด
“พี่ชื่อ ‘จิ่นฟาน’ ยินดีที่ได้รู้จักเจ้านะ เชียนหยิง” เด็กหนุ่มทักทายนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ยิ...ยินดีเช่นกันเจ้าค่ะ” เสียงใสเล็กๆ เอ่ยออกมาอย่างประหม่า อู๋จิ่นฟานต้องประหลาดใจ น้องสาวคนใหม่ของเขาเสียงใสไพเราะยิ่งนัก ช่างขัดกับรูปโฉมของนางอย่างยิ่ง
“เรียกพี่ว่า ‘พี่ใหญ่’ สิ”
เขาทอดไมตรีให้น้องสาวคนใหม่อย่างเต็มใจ ประการแรกเพราะสงสารเด็กหญิงน้อยนี้ ประการที่สองเพราะมารดาและบิดาของเขาอยากได้บุตรสาว แต่มารดาของเขาก็พ้นวัยเหมาะสมที่จะตั้งครรภ์แล้ว และประการสุดท้ายเพราะบิดามารดาของเขารักผู้ใด เขาก็จะรักด้วย
“พี่ใหญ่...”
“ดีมาก เช่นนั้น เดี๋ยวเจ้าไปพักผ่อนเสียก่อน พรุ่งนี้พี่จะพาไปเที่ยว” เขาบอกกล่าวอย่างใจดี เรียกให้เชียนหยิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ หากเพียงนางยิ้ม อู๋จิ่นฟานยิ่งตกตะลึงกว่าเดิม น้องสาวคนนี้ของเขาช่างยิ้มได้น่ารักเหลือเกิน
“จิ่นฟาน เชียนหยิงมีแมวติดตามมาด้วย นามของมันคือเสี่ยวเฮย”
อู๋จิ่นฟานจึงเพิ่งสังเกตเห็นแมวดำขนปุยที่หมอบอยู่ข้างเท้าของเชียนหยิง
“เสี่ยวเฮยรึ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขาเอ่ยทักทายอย่างเอ็นดู เจ้าแมวดำตัวนี้หน้าตาท่าทางน่ารักไม่น้อย
“ท่านแม่ จะให้นางพักที่เรือนใดขอรับ” เขาหันไปถามมารดาที่นั่งดูการพบปะกันครั้งแรกระหว่างพี่ชายน้องสาว
“ให้นางพักที่เรือนเบญจมาศก็แล้วกัน”
เรือนเบญจมาศเป็นเรือนใหญ่รองจากเรือนกิ่งท้อของอู๋จิ่นฟาน เรือนนี้ถูกเตรียมไว้สำหรับบุตรสาวที่อู๋ซิงว่านและหวงจิ้งหรงหมายมั่นว่าจะมีบุตรสาวมาหลายปีแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่สมหวัง เรือนนี้จึงถูกปิดไว้ หากยามนี้ถูกเปิดออกเพื่อให้เชียนหยิงใช้เป็นที่พักในฐานะคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครเสนาบดี
“ให้เสี่ยวถงเป็นสาวใช้ประจำตัวนาง” หวงจิ้งหรงจัดแจงหาสาวใช้ให้อู๋เชียนหยิงอย่างเรียบร้อย
หลังจากไปส่งน้องสาวตัวน้อยที่เรือนเบญจมาศแล้ว จึงได้ยินจากพ่อบ้านอู๋ฮวนว่าหวงจิ้งหรงออกไปนอกจวน เพื่อไปซื้อหาเสื้อผ้าให้คุณหนูใหญ่อู๋เชียนหยิง กว่าจะกลับมาก็เกือบถึงเวลาอาหารเย็น
