บทที่ 26 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (ปลาย) [2/3]
ช่วงที่ผ่านมานี้ อู๋เชียนหยิงสามารถจดจำอักขระเวทระดับฟ้าดินจำนวน 54 ตัวได้ทั้งหมด ส่วนความเข้าใจในอักขระเวททั้ง 54 ตัวนี้ นางสามารถทำความเข้าใจไปได้สี่ในสิบส่วนแล้ว
“การทดสอบอักขระเวทในวันนี้จะมีสองส่วน ส่วนแรกเป็นการทดสอบความรู้ว่าพวกเจ้าสามารถจดจำมันได้มากเพียงใด พวกเจ้าต้องสอบให้ได้คะแนนไม่ต่ำกว่าเจ็ดในสิบส่วนจึงจะถือว่าสอบผ่านข้อเขียน”
“อีกส่วนจึงเป็นการทดสอบความเข้าใจอักขระเวท พวกเจ้าต้องใช้อักขระเวทสร้างสิ่งที่ข้าจะกำหนดขึ้นมา เกณฑ์การสอบผ่านคือพวกเจ้าต้องทำได้ตามเงื่อนไขที่ข้ากำหนด หากทำไม่ได้จะถือว่าเจ้าสอบตกในส่วนนี้และต้องมาสอบใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า”
“ส่วนการหลอมกระดูก พวกเจ้าต้องหลอมให้กระดูกมีความบริสุทธิ์อย่างน้อยสามในสิบส่วน ต่ำกว่านี้ถือว่าสอบตกและต้องมาสอบใหม่ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเช่นกัน” อาจารย์ผู้สอนวิชาอักขระเวทและหลอมกระดูกบอกกล่าวอย่างชัดเจน
เมื่อได้อ่านข้อสอบแล้ว อู๋เชียนหยิงแทบจะหลุดยิ้มกว้าง เพราะข้อสอบนี้ง่ายกว่าที่นางคาดไว้มากนัก คำถามในข้อสอบง่ายกว่าที่ท่านพ่อทดสอบนางในความฝันอย่างมาก นางจรดพู่กันเขียนคำตอบอย่างสบายใจโดยไม่ลืมว่านางต้องทำคะแนนให้ได้ไม่เกิน 95 คะแนน จาก 100 คะแนน
เขียนคำตอบจนเสร็จเรียบร้อย หากเมื่อเหลือบตามองรอบด้านจึงพบว่ายังไม่มีผู้ใดทำเสร็จ เสวียนหย่งเองก็กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับการเขียนคำตอบ นางจึงแสร้งทำทีก้มหน้าต่อไป จนกระทั่งเกือบหมดเวลาจึงมีผู้ลุกขึ้นนำข้อสอบไปส่งอาจารย์ อู๋เชียนหยิงลุกตามทันที นางนั่งเบื่อมาตั้งนานแล้ว แต่เพราะไม่ต้องการให้ตนเองสะดุดตาผู้ใดจึงจำใจนั่งรอ
ยามนี้มาถึงช่วงการทดสอบความเข้าใจในอักขระเวท อาจารย์เริ่มเรียกนักเรียนแต่ละคนออกมาก่อนจะสั่งให้พวกเขาใช้อักขระเวททำตามที่กำหนด อู๋เชียนหยิงนั่งฟังและนั่งมองการทดสอบที่เกิดขึ้นอย่างเพลิดเพลิน เมื่อได้ยินคำสั่งของอาจารย์ที่สั่งนักเรียนที่กำลังทดสอบ นางก็นึกตามไปด้วยว่าต้องใช้อักขระเวทใดบ้าง
“อู๋เชียนหยิง” อาจารย์เรียกชื่อของนาง
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าจงสร้างไฟที่ร้อนที่สุดเท่าที่เจ้าสร้างได้” คำสั่งนี้ง่ายกว่าที่ท่านพ่อสั่งสอนนางมากนัก
นิ้วเล็กๆ ตวัดเขียนอักขระเวทสีครามสามตัวออกมา อักขระเวทหลอมรวมกันก่อนจะกลายเป็นเพลิงอันร้อนแรงกองมหึมากลางลานฝึกซ้อม ความร้อนของเพลิงนั้นร้อนระอุแผดเผาอากาศรอบด้านจนอบอ้าวอย่างรวดเร็วก่อนจะทวีความร้อนขึ้นจนทุกคนที่เฝ้ามองอยู่รอบด้านเหงื่อออกโซมกาย ความร้อนยังคงไม่มีท่าทีจะลดลง ผ่านไปเพียงห้าลมหายใจ ความร้อนจากเพลิงกองใหญ่นั้นทวีสูงขึ้นจนแทบจะแผดเผาผู้คนรอบด้านให้มอดไหม้ตามไป
“อู๋เชียนหยิง ดับเพลิงของเจ้าเดี๋ยวนี้” อาจารย์ผู้สอนอักขระเวทตวาดสั่งอย่างรวดเร็วหลังจากหายตกตะลึง
นิ้วเล็กๆ ตวัดเขียนอักขระเวทสีครามออกมาเพียงหนึ่งตัว มองเห็นอักขระเวทนั้นลอยลับหายไปในกองเพลิง ราวสามลมหายใจกองเพลิงนั้นก็ดับวูบ เหลือทิ้งไว้เพียงความร้อนแรงและภาพกองเพลิงขนาดใหญ่ที่ยังคงติดตา
ทุกคนมองนางอย่างตกตะลึง กระทั่งอาจารย์ผู้สอนอักขระเวทก็แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
“อู๋เชียนหยิง สอบผ่าน” อาจารย์กล่าวออกมาหลังจากหาเสียงของตนเองเจอ แม้จะทราบดีว่าอักขระเวทระดับฟ้าดินสามารถสร้างเพลิงได้ หากก็ไม่คาดว่าจะสามารถสร้างเพลิงที่ร้อนแรงได้ถึงเพียงนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีเด็กหลายคนทำได้หากก็ไม่มีผู้ใดทำได้ดีเท่าอู๋เชียนหยิง
แม้จะถึงรอบของเด็กคนอื่นที่ต้องสอบการใช้อักขระเวท หากก็ไม่มีผู้ใดกระทำได้เช่นอู๋เชียนหยิงอีก
ยามนี้มาถึงรอบทดสอบการหลอมกระดูกสัตว์อสูร อู๋เชียนหยิงกลับหลอมกระดูกได้ความบริสุทธิ์เพียงสามส่วนพอดิบพอดี ทำให้ความสนใจในตัวนางของคนรอบข้างแปรเปลี่ยน เพราะตอนแรกพวกเขาคาดหวังว่าจะได้เห็นนางหลอมกระดูกได้ความบริสุทธิ์มากกว่านี้
ผ่านไปอีกสามวันจึงประกาศผลการสอบออกมา อู๋เชียนหยิงสอบได้ 95 คะแนนในวิชาอักขระเวท สูงสุดในบรรดานักเรียนใหม่ 20 คน ดังนั้น นางย่อมได้คะแนนภารกิจ 2,000 คะแนน แน่นอนว่าแต้มภารกิจนี้นางต้องนำไปแลกเป็นจำนวนชั่วยามสำหรับห้องฝึกฝนลมปราณ
อู๋เชียนหยิงใช้ชีวิตและศึกษาเล่าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพอย่างระมัดระวัง นางทุ่มเทศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ทั้งจากสำนักวิญญาณเทพและท่านพ่อของนางที่มาพบนางในความฝันทุกค่ำคืน แต่ไม่ว่าความสามารถของนางจะเลิศล้ำเพียงใด หากนางยังคงทำตามที่เสี่ยวเฮยย้ำเตือนนางไว้เสมอนั่นคือ การปกปิดความสามารถที่แท้จริงของนาง ทำให้ความสามารถของนางกลมกลืนไปกับผู้อื่นจนหมดสิ้น แม้ไม่อ่อนด้อยแต่ก็ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นควรแก่การสนใจ
ครบหนึ่งปีที่นางมาศึกษาเล่าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพ ระดับลมปราณของนางเลื่อนมาอยูที่แตกหน่อขั้นที่แปดจากเมื่อแรกเข้าอยู่ที่แตกหน่อขั้นที่หก สิ้นสุดปีที่สองระดับลมปราณเลื่อนขึ้นเป็นผลิดอกขั้นที่สอง สิ้นสุดปีที่สามระดับลมปราณของนางอยู่ที่ผลิดอกขั้นที่หก
ตลอดสามปีนี้อู๋เชียนหยิงอาศัยทั้งโอสถวิเศษที่นางปรุงได้และการใช้แต้มภารกิจแลกโอสถมา เพื่อเสริมให้ระดับลมปราณของนางเลื่อนระดับได้เร็วขึ้น ส่วนการหลอมกระดูกสัตว์อสูรนั้น แต้มที่ใช้แลกกระดูกสัตว์อสูรในระดับสูงนั้นต้องใช้มากนัก นางยังไม่สามารถรับภารกิจออกนอกสำนักไปล่าสัตว์อสูรได้ ดังนั้น เรื่องนี้นางจึงละความสนใจไป
ทุกครั้งที่ฝึกฝนในห้องฝึกฝนลมปราณ อู๋เชียนหยิงอดนึกถึงแท่นมังกรขดกาญจนาไม่ได้จริงๆ หากเป็นที่แท่นมังกรขดกาญนา ป่านนี้ระดับลมปราณของนางคงอยู่ที่ผลิดอกขั้นที่เก้ามิใช่ขั้นที่หกเช่นตอนนี้
ชีวิตที่สำนักวิญญาณเทพตลอดสามปีที่ผ่านมาเป็นปกติสุขอย่างยิ่ง และนางเองก็พึงพอใจยิ่งนัก แม้จะอึดอัดขัดข้องอยู่บ้างที่ต้องปกปิดทุกสิ่งแต่เมื่อแลกมาด้วยความสุขกายสบายใจ นางจึงเห็นว่าคู่ควร
“ท่านแม่” อู๋เชียนหยิงเรียกอย่างดีใจเมื่อพบเห็นหวงจิ้งหรง ยามนี้ครบกำหนดที่สำนักวิญญาณเทพอนุญาตให้ศิษย์สายนอกที่เล่าเรียนครบสามปีกลับมาเยี่ยมบ้านได้เป็นเวลา 10 วัน นางจึงรีบกลับมาที่จวนอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน
“เชียนหยิง เจ้ามาได้อย่างไร ไยจึงไม่ส่งจดหมายมาบอก แม่จะได้ไปรับเจ้าที่สำนัก” หวงจิ้งหรงต่อว่าอย่างดีใจ บุตรีบุญธรรมที่นางคิดถึงกลับมาแล้ว
“ข้าอยากให้ท่านแม่แปลกใจเจ้าค่ะจึงไม่ได้จดหมายมาบอก”
“แล้วเจ้าได้พบจิ่นฟานบ้างหรือไม่ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ลูกไม่ได้พบพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ คาดว่าพี่ใหญ่คงฝึกหนักมาก พี่ใหญ่เป็นศิษย์สายในแล้ว ไม่มีเวลาสักเท่าใด”
“จิ่นฟานได้เป็นศิษย์สายในแล้วรึ” หวงจิ้งหรงถามอย่างดีใจ คาดไม่ถึงว่าอู๋จิ่นฟานจะสามารถเป็นศิษย์สายในได้เร็วเช่นนี้
“ใช่เจ้าค่ะ เจ้าสำนักเพิ่งประกาศออกมาเมื่อ 10 วันก่อนที่ข้าจะกลับมาหาท่านแม่”
“พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ตัวเจ้าล่ะ เชียนหยิง คิดจะเป็นศิษย์สายนอกชั้นยอดบ้างหรือไม่” หวงจิ้งหรงถามขึ้น
ควรทราบว่าสำนักวิญญาณเทพนั้นแบ่งระดับศิษย์ออกเป็นสี่ระดับ ระดับแรกคือศิษย์สายนอกเช่นที่อู๋เชียนหยิงและเสวียนหย่งเป็นอยู่ในตอนนี้ ลำดับที่สองคือศิษย์สายนอกชั้นยอด จะมีจำนวนเพียงสิบคนเท่านั้นที่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้ ลำดับที่สามคือศิษย์สายใน จะมีเพียงสิบคนเช่นกัน ลำดับที่สี่คือศิษย์ส่วนตัว ศิษย์ส่วนตัวนี้จะมาจากเจ้าสำนักและสองรองเจ้าสำนักคัดสรรมาเอง หากศิษย์ส่วนตัวมีได้เพียงสามคน เพราะเจ้าสำนักและรองเจ้านักสามารถรับศิษย์ส่วนตัวได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น
