บทที่ 24 เริ่มชีวิตศิษย์สำนักวิญญาณเทพ (กลาง) [3/3]
“พี่เสี่ยวเฮย ข้าจะส่งชิ้นนี้ให้อาจารย์” นางกระซิบบอกก่อนจะหยิบกระดูกที่หลอมแล้วให้เสี่ยวเฮยดู ทว่า...
“เจ้าส่งชิ้นนี้ไป ที่เหลือเก็บให้พ้นสายตาทุกคน” เสี่ยวเฮยกระซิบสั่งก่อนจะยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งเขี่ยกระดูกชิ้นที่ต้องการมาให้นาง
นักเรียนที่ถูกเรียกนำกระดูกไปให้ เห็นอาจารย์พลิกดูอยู่ครู่หนึ่ง
“ความบริสุทธิ์สองส่วน ถือว่าใช้ได้ เริ่มแรกทำได้เท่านี้ก็ดีไม่น้อยแล้ว”
นักเรียนทยอยกันส่งกระดูกให้อาจารย์ได้ดูจนกระทั่งมาถึงอู๋เชียนหยิง อาจารย์ผู้นั้นรับไปก่อนจะแผ่ลมปราณออกตรวจสอบ ทว่าอาจารย์กลับมีสีหน้าตื่นตะลึง ลมปราณถูกแผ่ออกตรวจสอบกระดูกชิ้นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แววตายิ่งแสดงอาการตกตะลึงมากกว่าเดิม อาจารย์หันมามองหน้านางทันที
“เจ้ามีเพียงชิ้นเดียวรึ ที่เหลืออีกเก้าชิ้น เอาออกมาให้ข้าดู”
อู๋เชียนหยิงพูดไม่ออก เสี่ยวเฮยก็นิ่งอึ้ง ทว่า...
“อีกเก้าชิ้นข้าทำหักหมดเลยเจ้าค่ะ มีชิ้นนี้เหลือชิ้นเดียว” อู๋เชียนหยิงโกหกออกไปทันที นึกเฉลียวใจว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเพราะก่อนจะส่งกระดูก เสี่ยวเฮยก็ให้นางส่งกระดูกชิ้นนี้ซึ่งไม่ใช่ชิ้นที่ดีที่สุดที่นางทำได้
อาจารย์ผู้นั้นมีสีหน้าเสียดาย “เอาเถิด ไม่เป็นไร ทำได้เท่านี้ก็ดีเกินคาดมากแล้ว เจ้ากลับไปนั่งเถิด”
อาจารย์เอ่ยชมเชยแต่ก็ไม่ได้บอกว่ากระดูกที่นางหลอมนั้นมีความบริสุทธิ์เท่าใด
“ทุกเจ็ดวันพวกเจ้าทุกคนสามารถมาขอรับกระดูกที่หอทวยเทพจำนวนสามสิบชิ้นไปฝึกฝนการหลอมได้ หากต้องการมากกว่านี้ก็ใช้คะแนนภารกิจไปแลกได้ที่หอภารกิจเทพ” อาจารย์ผู้นั้นบอกกล่าวก่อนจะจบการเรียนอักขระเวทและการหลอมกระดูก
“พี่เสี่ยวเฮย กระดูกที่ข้าหลอมมีอะไรผิดปกติ?” อู๋เชียนหยิงเอ่ยถามทันทีที่กลับมาถึงเรือนพัก
“กระดูกที่เจ้าหลอมได้ แทบทุกชิ้นมีความบริสุทธิ์ 4-5 ส่วน ชิ้นที่ดีที่สุดที่เจ้าทำได้มีความบริสุทธิ์ 7 ส่วน ด้วยความบริสุทธิ์ระดับนี้สำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มศึกษาการหลอมกระดูกเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ ดังนั้น เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าหากต้องส่งกระดูกที่หลอมแล้วให้อาจารย์ดู เจ้าต้องหลอมให้มันมีความบริสุทธิ์เพียง 3 หรือ 4 ส่วน ห้ามมากกว่านี้โดยเด็ดขาด นอกเสียจากว่ามีผู้ใดที่เรียนร่วมกับเจ้าทำได้มากกว่านั้น เจ้าจึงค่อยทำให้เท่าเขา”
“แต่เมื่อเจ้าฝึกซ้อมเพียงลำพังเจ้าต้องหลอมให้ได้ความบริสุทธิ์อย่างน้อย 6 ส่วนขึ้นไป และจงพยายามทำให้ได้ 10 ส่วน”
“เจ้าค่ะ” อู๋เชียนหยิงเข้าใจได้ทันทีว่านางยังคงต้องปกปิดความสามารถแท้จริงเอาไว้ นางต้องทำตัวให้กลืนไปกับผู้คนรอบข้างมากที่สุด
วันนี้อู๋เชียนหยิงเริ่มเรียนกระบี่ที่หอศาสตราเทพ ที่ผ่านมานั้นเสี่ยวเฮยและหวงจิ้งหรงเพียงสอนวิชาหมัด วิชาฝ่ามือ และท่าเท้าให้เท่านั้น ยังมิได้สอนกระบี่หรืออาวุธใดให้ เพราะเด็กอายุไม่ถึง 12 ปียังไม่มีความระมัดระวังเพียงพอ
อาจารย์ที่หอศาสตราเทพเริ่มสอนวิชากระบี่วิญญาณเทพแล้ว วิชากระบี่นี้สืบทอดกันมาตั้งแต่เจ้าสำนักวิญญาณเทพรุ่นแรกที่ก่อตั้งสำนักเมื่อ 50,000 ปีก่อน
“วิชากระบี่วิญญาณเทพมีทั้งสิ้น 49 กระบวนท่า แต่ข้าจะสอนให้พวกเจ้าเพียง 18 กระบวนท่าเท่านั้น กระบวนท่าที่ 19-25 จะสอนให้เฉพาะศิษย์สายนอกชั้นยอด กระบวนท่าที่ 26-30 จะสอนให้ศิษย์สายใน กระบวนท่าที่ 31-40 จะสอนให้ศิษย์ส่วนตัว สำหรับเก้ากระบวนท่าสุดท้ายนั้น ไม่สามารถสอนได้เพราะมันได้หายสาบสูญไปราว 14,000 ปีก่อน” อาจารย์ผู้สอนบอกเล่าถึงประวัติของวิชากระบี่วิญญาณเทพ
เสี่ยวเฮยนั่งหมอบอยู่ริมลานฝึกมองดูอู๋เชียนหยิงรำกระบี่ตามที่อาจารย์สอน มันจับตามองอย่างสนใจแต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงเมื่อจดจำได้ว่าวิชากระบี่วิญญาณเทพนี้ เหมือนกับวิชากระบี่ครองฟ้าของมหาเทพชางเล่ยที่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเคยเห็นมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ประการสำคัญคือเสี่ยวเฮยคล้ายมองเห็นเงาร่างเลือนรางของมหาเทพชางเล่ยยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของอู๋เชียนหยิง มหาเทพโอบเอวและจับมือของนางพารำกระบี่ เสี่ยวเฮยสะบัดหน้าอยู่ 2-3 หน เพราะคิดว่าตนเองตาฝาด แต่เมื่อมองไปที่อู๋เชียนหยิงอีกครั้ง มันก็ยังคงเห็นเงาร่างของมหาเทพชางเล่ยเช่นเดิม ทว่าผู้คนรอบข้างกลับไม่มีผู้ใดมองเห็น
“อู๋เชียนหยิง เจ้าทำได้ดีมาก จดจำได้เร็วและถูกต้องทุกกระบวนท่า” อาจารย์ผู้สอนกล่าวชมเชย
นางได้แต่ยิ้มรับ ทว่านางก็รู้สึกเช่นกันว่านางจดจำและเข้าใจกระบี่วิญญาณเทพได้รวดเร็วกว่าปกติราวกับมีใครสักคนคอยบอกคอยสอนอยู่ตลอดเวลาที่นางรำกระบี่
“เชียนหยิง เจ้ารำกระบี่ให้ข้าดู” เสี่ยวเฮยบอกนางทันทีที่กลับมาถึงเรือนพัก
นางรำกระบี่ตามที่เสี่ยวเฮยบอก ยามนี้เสี่ยวเฮยก็ยังคงเห็นร่างเงาของมหาเทพชางเล่ยที่ยืนซ้อนด้านหลังของอู๋เชียนหยิง พานางรำกระบี่วิญญาณเทพ
นี่คงเป็นผลจากแก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยกระมัง จึงปรากฏร่างเงาของมหาเทพขึ้น เสี่ยวเฮยค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเช่นนี้
หากจะบอกว่าวิชากระบี่ของสำนักวิญญาณเทพอาจเหมือนในบางกระบวนท่าของกระบี่ครองฟ้า เรื่องนี้ไม่มีความเป็นไปได้ วิชากระบี่ครองฟ้าถือกำเนิดมาพร้อมมหาเทพชางเล่ย ไม่มีทางที่มนุษย์ในแดนดาราระดับต่ำเช่นนี้จะสามารถค้นคิดวิชากระบี่อันร้ายกาจได้
แต่การเหมือนกันทุกประการระหว่างกระบี่วิญญาณเทพและกระบี่ครองฟ้า นี่หมายความว่าอย่างไร ที่แท้แล้ววิชากระบี่นี้มีเบื้องหลังใดแอบแฝง สำนักวิญญาณเทพมีความเกี่ยวข้องกับมหาเทพชางเล่ยหรือไม่ หากเกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกันอย่างไร เสี่ยวเฮยอยากรู้เรื่องนี้นักและมันต้องรู้ให้ได้ เพราะนี่เกี่ยวพันกับอู๋เชียนหยิงโดยตรง
ยามนี้อู๋เชียนหยิงรำกระบี่วิญญาณเทพจบลงแล้ว ทุกกระบวนท่าที่นางร่ายรำล้วนสมบูรณ์แบบ ที่ขาดไปก็เพียงความคล่องแคล่วว่องไวและความชำนาญเท่านั้น แน่นอนว่าอาศัยเพียงการฝึกซ้อมก็สามารถลบข้อผิดพลาดในเรื่องความคล่องแคล่วไปได้ ส่วนความชำนาญนั้นย่อมต้องอาศัยประสบการณ์การต่อสู้เท่านั้น
“เจ้าเหนื่อยมากรึ เชียนหยิง” เสี่ยวเฮยทักถามเมื่อมองเห็นท่าทีเหน็ดเหนื่อยของนาง
“เจ้าค่ะ ข้ารู้สึกว่าทุกกระบวนล้วนใช้ลมปราณมากมายนัก”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้จะดีขึ้นเมื่อระดับลมปราณของเจ้าเลื่อนขั้น เป็นไปได้ว่าวิชากระบี่นี้ ระดับลมปราณที่เหมาะสมอาจจะต้องเป็นแตกหน่อขั้นที่แปดเป็นต้นไป”
“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายามเลื่อนระดับลมปราณให้เร็วที่สุด” เพราะยามนี้ลมปราณของนางอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่หก
“เชียนหยิง เจ้าดูให้ดี” เสียงของท่านพ่อของนาง บุรุษที่นางฝันถึงทุก 7 วันดังขึ้น ทว่าวันนี้นางกลับฝันถึงท่านพ่อได้ทั้งๆ ที่ยังไม่ครบ 7 วัน
นางมองเห็นบิดาร่ายรำกระบี่วิญญาณเทพให้นางดู ทว่ามิใช่เพียง 18 กระบวนท่า แต่กลับมีมากถึง 49 กระบวนท่า นางแน่ใจว่านับไม่ผิด 49 กระบวนท่าจริงๆ เพราะท่านพ่อรำกระบี่นี้ให้นางดูถึงสามรอบ
“เจ้าลองดู” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกนางอย่างอ่อนโยน
ในฝันนั้น นางรำกระบี่ตามกระบวนท่าที่จดจำได้ หากก็จดจำได้เพิ่มอีกเพียง 7 กระบวนท่าจากเดิมที่นางจำได้ 18 กระบวนท่า นางรำกระบี่ให้ท่านพ่อดูสองรอบแต่ก็ได้เพียง 25 กระบวนท่า นอกเหนือจากนี้นางยังจดจำไม่ได้
“ไม่เป็นไร ฝึกให้มากหน่อย เดี๋ยวเจ้าก็จะคุ้นเคยและจำได้เอง นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าฝึก จดจำได้ถึง 25 กระบวนท่าก็ดีเกินคาดมากแล้ว” ท่านพ่อบอกนางอย่างปลอบโยนก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากของนางครู่หนึ่ง
“เจ้าพักผ่อนเถิด เด็กดี” ท่านพ่อบอกเสียงนุ่ม เสียงของท่านพ่อค่อยๆ ไกลออกไป อู๋เชียนหยิงพลันง่วงงุนก่อนจะหลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า
