บท
ตั้งค่า

บทที่ 17 เรียนรู้มนุษย์ (5) [2/3]

“นั่นหมายความว่าการทดสอบฝีมือในวันพรุ่งนี้ เจ้าแค่ทำให้ได้ตามเกณฑ์หรือเหนือกว่าเกณฑ์สักหน่อย เจ้าก็จะสอบผ่านเข้าไปศึกษาในสำนักวิญญาณเทพได้โดยไม่มีผู้ใดทราบถึงความสามารถแท้จริงของเจ้า”

“ส่วนเรื่องที่เจ้าทำคะแนนสอบข้อเขียนได้ดี ไม่นานนักมันก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าว่าเจ้าเพียงโชคดีจึงทำคะแนนได้ดีเกินกว่าผู้ใด ทั้งยังจะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้าอีกต่อไปเพราะเจ้าได้กลืนไปกับพวกมันแล้ว”

“เจ้าค่ะ”

คราวนี้อู๋เชียนหยิงเข้าใจอย่างชัดเจนมากขึ้น นางไม่อาจเข้าใจได้อย่างแท้จริงทั้งหมด เพราะนางยังเยาว์วัยเป็นประการแรก ส่วนประการที่สองคือนางยังไม่เคยอิจฉาผู้ใด นางจึงไม่มีวันเข้าใจความอิจฉานั้นได้

วันนี้เป็นวันวัดระดับลมปราณและทดสอบฝีมือ อู๋เชียนหยิงโคจรลมปราณตามที่เสี่ยวเฮยสอนไว้ ทำให้นางสามารถซ่อนเร้นระดับลมปราณแท้จริงได้ แม้นางจะใส่สร้อยมายาลวงใจ แต่สร้อยนี้ก็เพียงทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่านางมีระดับลมปราณอยู่ในระดับเดียวกับผู้อื่น แต่หากนางใช้ลมปราณออกไป ทุกคนจะทราบได้ทันทีว่าระดับลมปราณของนางในยามนี้คือแตกหน่อขั้นที่ห้า แน่นอนว่าระดับลมปราณของเด็กส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งถึงสอง พี่ใหญ่อู๋จิ่นฟานของนางในยามอายุ 12 ระดับลมปราณของเขาก้าวหน้ากว่าผู้อื่นไปเพียงขั้นเดียว นั่นคือลมปราณของเขาอยู่ในระดับแตกหน่อขั้นที่สาม

ยามนี้ผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนต่างกำลังเข้าแถวอยู่ 10 แถว เด็กแต่ละคนได้รับการจัดสรรว่าแต่ละคนจะต้องไปเข้าแถวที่แถวใด อู๋เชียนหยิงอยู่ในแถวที่แปด นางกำลังยืนรออยู่ในแถว ได้ยินเสียงกรรมการจากทั้งสิบแถวขานนามและระดับลมปราณที่วัดได้ออกมา เด็กคนใดที่มีระดับลมปราณต่ำกว่าแตกหน่อขั้นที่หนึ่งล้วนถูกคัดออกทั้งสิ้นไม่ว่าจะทำคะแนนการสอบข้อเขียนได้ดีเพียงใดก็ตาม

“อู๋เชียนหยิง ระดับลมปราณแตกหน่อขั้นที่สอง ผ่าน” กรรมการที่ควบคุมการวัดระดับลมปราณขานนามและระดับลมปราณของนางออกมา หลังจากที่นางวางฝ่ามือทาบลงบนแท่นหินก่อนจะปลดปล่อยลมปราณลงไปบนแท่นหินนั้น

เมื่อได้ยินนามและระดับลมปราณของนาง เด็กหลายคนก็ซุบซิบพูดคุยกันทันทีว่าอู๋เชียนหยิงนั้นก็มิได้เก่งกาจสักเท่าใด เพราะระดับลมปราณสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักวิญญาณเทพกำหนดเพียงขั้นเดียว

อู๋เชียนหยิงทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่คนรอบข้างพูดถึงนาง นางเดินตรงไปบริเวณด้านในที่จัดไว้เป็นที่ทดสอบฝีมือ ในอ้อมแขนอุ้มแมวดำน้อยเสี่ยวเฮย ทุกคนต้องมองนางอย่างประหลาดใจ หากก็ไม่ได้ติดใจอะไร

เมื่อเดินเข้ามาด้านในได้ไม่นาน อู๋เชียนหยิงจึงมองเห็นลานประลองขนาดใหญ่ รอบลานประลองด้านหนึ่งนั่งไว้ด้วยอาจารย์อาวุโสถึงห้าคน ถัดจากอาจารย์อาวุโสจึงเป็นศิษย์ของสำนักวิญญาณเทพ นางเลือกนั่งรอที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ทั้งหมดต้องรอให้ผู้ที่ผ่านการวัดระดับลมปราณเข้ามาทั้งหมด การทดสอบฝีมือจึงจะเริ่มขึ้น

“อาจารย์คุมสอบทั้งห้าคนนั้นมีลมปราณอยู่ในระดับพิชิตขั้นห้าถึงขั้นสิบ” เสี่ยวเฮยที่หมอบอยู่บนตักของนางกระซิบบอกเสียงเบา นางพยักหน้ารับทราบ

“ส่วนศิษย์ที่นั่งอยู่ เป็นศิษย์สายนอกชั้นยอด พวกมันมีลมปราณอยู่ในระดับตั้งแต่รวมปราณขั้นที่สองถึงขั้นที่สิบ”

นั่งรออยู่ราวครึ่งชั่วยาม เด็กที่ผ่านการคัดเลือกจากระดับลมปราณจึงเข้ามาครบกันหมด

“การทดสอบฝีมือในรอบนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าประลองฝีมือกัน ผู้ชนะจะได้เข้าศึกษาในสำนักวิญญาณเทพ และอย่างที่ทุกคนทราบ สำนักวิญญาณเทพรับศิษย์ใหม่เพิ่มเพียงปีละ 20 คน แต่พวกเจ้าผ่านเข้ามาถึง 79 คน ดังนั้น ยามนี้จะมีผู้หนึ่งที่ข้าจะจับสลากรายชื่อขึ้นมาให้ผ่านเข้าไปรอทดสอบฝีมือในรอบที่สอง”

อาจารย์อาวุโสผู้นั้นล้วงมือลงไปในโถแก้วใบหนึ่งที่มีศิษย์ผู้หนึ่งยื่นส่งให้ กวาดสายตาเพียงครู่ก็ประกาศนามของผู้ที่ผ่านเข้ารอบก่อนจะหันสลากใบนั้นให้ทุกคนได้เห็น

“อู๋เชียนหยิง”

เพียงนามนี้ถูกประกาศ เด็กหลายคนก็ซุบซิบกันทันทีว่านางโชคดีเหลือเกินที่ได้ชนะเข้าไปรอในรอบถัดไปโดยไม่ต้องเหนื่อย

อู๋เชียนหยิงเดินอุ้มเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยไปนั่งยังที่นั่งของผู้ชนะในรอบแรกเพื่อรอประลองฝีมือในรอบถัดไป สายตาของเด็กทุกคนลอบชำเลืองมองนางอย่างจะจดจำไว้ว่านี่คืออู๋เชียนหยิง

อาจารย์อาวุโสจับสลากรายชื่อขึ้นมาสองคนก่อนจะประกาศออกมา เด็กสองคนที่ถูกขานชื่อเดินขึ้นสนามประลองก่อนจะเริ่มการต่อสู้

“ผู้ที่สามารถทำให้อีกฝ่ายกล่าวยอมแพ้หรือทำให้อีกฝ่ายออกนอกสนามประลอง จะถือเป็นผู้ชนะ ผ่านไปเข้ารอทดสอบในรอบที่สอง” อาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งประกาศเกณฑ์การตัดสินออกมา

คู่แรกเริ่มการต่อสู้กันแล้ว อู๋เชียนหยิงจับตามองอย่างสนใจ ข้างหูจะมีเสี่ยวเฮยคอยบอกกล่าวและสอนนางถึงวิธีการที่คู่ต่อสู้บนสนามประลองใช้ออก ทั้งยังบอกนางถึงวิธีแก้ไขว่าต้องทำเช่นไรจึงจะชนะได้อย่างรวดเร็ว ด้วยดวงจิตนภาพิสุทธิ์ที่สามารถตอบรับทุกสิ่งได้อย่างแม่นยำ ทุกสิ่งที่เสี่ยวเฮยสอนนาง อู่เชียนหยิงรับรู้ ทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ร่างนภาพิสุทธิ์ตอบรับถึงการจดจำที่เพียงผ่านตาไม่ลืมไว้อย่างแม่นยำ คู่ใดที่ไม่น่าสนใจ นางจะเพียงมองผ่านครั้งเดียวก็นั่งหลับตาแม้หูจะยังเงี่ยฟังสิ่งรอบกายที่เกิดขึ้น

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม การทดสอบฝีมือรอบแรกจึงเสร็จสิ้น การทดสอบฝีมือรอบที่สองจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย และรอบที่สองนี้จะเป็นการคัดเลือกให้เหลือเพียง 20 คน

อู๋เชียนหยิงเพียงหยิบเสบียงออกจากถุงแพรมิติที่พกติดตัวอยู่เป็นประจำออกมา ล้วงหยิบห่ออาหารสำหรับเสี่ยวเฮยมาแก้ออกและวางไว้ให้มันก่อนจะหยิบของตนเองมานั่งรับประทานไปเงียบๆ

“อู๋เชียนหยิงใช่หรือไม่” เสียงของเด็กชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

นางหันไปมองจึงพบว่าเด็กชายผู้นี้มานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ นาง

“ใช่ เจ้ามีอะไรรึ”

“ข้าเห็นเจ้านั่งคนเดียวกับแมวตัวนี้ ข้าก็คนเดียว สหายข้าไม่มีใครผ่านเข้ารอบมาสักคน”

อู๋เชียนหยิงพยักหน้ารับรู้หากไม่เอ่ยอะไรต่อ นางนั่งรับประทานต่อไปเงียบๆ

“นี่ นี่ ข้าชื่อเสวียนหย่ง เรามาเป็นสหายกันนะ” เด็กน้อยเสวียนหย่งบอกง่ายๆ

“เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ทัพเสวียนอู่?”

“ก็ใช่ แต่อย่าไปพูดถึงเลย ข้าก็แค่บุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยาเท่านั้น เทียบไม่ได้กับบุตรชายที่เกิดจากเหล่าฮูหยินหรอก”

“ถึงเทียบไม่ได้ แต่ท่านแม่ทัพก็ให้เจ้ามาสอบเข้าเพื่อศึกษาต่อที่สำนักวิญญาณเทพนี่”

อู๋เชียนหยิงย่อมทราบดีว่าหากมิใช่บุตรจากฮูหยินเอก ฮูหยินรอง และฮูหยินสามแล้ว บุตรที่เกิดจากอนุภรรยาหรือสาวใช้อุ่นเตียงนั้น การเล่าเรียนต่างๆ จะจำกัดอยู่เพียงภายในจวน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาศึกษาที่นอกจวน จะออกมาศึกษาได้ก็ต้องให้เจ้าของจวนหรือผู้นำตระกูลอนุญาต ขณะที่นางเองแม้จะเป็นเพียงบุตรบุญธรรม แต่นางเป็นบุตรบุญธรรมของฮูหยินเอก นางจึงมีสิทธิเท่าเทียมกับบุตรชายและบุตรสาวของฮูหยินเอกทุกประการ

“ก็ใช่ ท่านพ่อข้าส่งเสริมลูกทุกคน เพียงแต่ข้าไม่ได้เก่งกาจมากมาย กลัวจะสอบเข้าไม่ได้น่ะสิ ขนาดคะแนนสอบข้อเขียน ข้ายังทำได้เพียง 70 คะแนนเอง อยู่อันดับท้ายสุดของรายชื่อเลยแหละ” เสวียนหย่งเล่าออกมาอย่างไม่อายกับคะแนนของตน นั่นเพราะเกณฑ์การสอบผ่านข้อเขียนคือต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 คะแนนจาก 100 คะแนน เรียกได้ว่าเสวียนหย่งสอบผ่านชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel