บท
ตั้งค่า

บทที่ 15 เรียนรู้มนุษย์ (4) [3/3]

“มีมากเลยเชียวล่ะ เจ้าได้อ่านจนไม่หวาดไม่ไหวแน่ๆ พ่อเคยได้ยินจากสหายของพ่อ เขาเล่าว่าที่นั่นมีตำรา คัมภีร์ และหนังสือเกือบสองหมื่นเล่ม”

“ท่านพ่อ อย่าลืมทูลขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้พี่เสี่ยวเฮยไปกับลูกด้วยนะเจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงรีบบอกกล่าวเผื่อเจ้าแมวดำทันที

“ไม่ลืมดอก ฝ่าบาททรงอนุญาตแน่”

ผ่านไปอีกสามวัน วันนี้เป็นวันแรกที่อู๋เชียนหยิงมาที่หอหนังสือสระเทพ ที่นี่นางได้พบกับบรรณารักษ์ชรานามซุนเย่ แม้เมื่อแรกพบเฒ่าซุนเย่จะมิได้สนใจอะไรนาง เพราะเห็นเป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 8 ปี เด็กอายุเท่านี้ย่อมไม่สนใจสิ่งใดนานนัก จึงคิดว่าที่ฮ่องเต้อนุญาตให้นางมาอ่านตำราที่นี่ตามคำขอของอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน ก็เพราะอัครเสนาบดีอู๋ตามใจบุตรสาว ฮ่องเต้เองก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นจึงอนุญาต

ทว่าผ่านมาถึง 15 วันแล้ว เฒ่าซุนเย่ก็ยังคงเห็นเด็กหญิงน้อยผู้นี้มาอ่านหนังสือที่นี่สัปดาห์ละสามวันอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาดสักวัน และหลายหนนางยังยืมหนังสือออกไปด้วย เมื่อครบกำหนดก็นำมาคืนอย่างเรียบร้อย ทำให้จากที่ไม่คิดจะสนใจจึงกลายเป็นสนใจ

เฒ่าซุนเย่คอยตามดูอู๋เชียนหยิงโดยไม่ให้รู้ตัว จึงได้เห็นว่านางนั้นสนใจการอ่านอย่างยิ่ง และได้เห็นนางพูดคุยกระหนุงกระหนิงกับเจ้าแมวดำตัวน้อยที่ติดตามนางมา เจ้าแมวดำนั้นก็มีท่าทีเชื่อฟังนางยิ่งนัก มองเห็นมันกางตำราออกแล้วก้มลงมอง ซ้ำยังพลิกเปิดอ่านราวกับราวกับว่ามันอ่านหนังสือออก เฒ่าซุนเย่ได้แต่ประหลาดใจ

เสี่ยวเฮยเองทราบดีว่าเฒ่าซุนเย่คอยตามดูอู๋เชียนหยิง นั่นเพราะในหอหนังสือสระเทพแห่งนี้ แทบไม่มีผู้ใดมาเยือน หากจะมีมาก็เป็นเพียงนางกำนัลทั้งหลายที่มาขอรับหนังสือที่เหล่าองค์หญิงและองค์ชายต้องการออกไป ดังนั้น หอหนังสือสระเทพจึงเงียบเหงายิ่งนัก มีเพียงอู๋เชียนหยิงและตัวมันครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

ทว่าเฒ่าซุนเย่เพียงตามดูเพราะสนใจที่เด็กหญิงตัวน้อยขยันอ่าน มิได้มีจิตคิดร้าย เสี่ยวเฮยจึงปล่อยผ่าน มันเพียงระมัดระวังมิให้ตนเองเผลอกล่าวภาษามนุษย์ออกไปให้เฒ่าซุนเย่ได้ยินเท่านั้น เสี่ยวเฮยบอกเรื่องที่เฒ่าซุนเย่ตามดูอู๋เชียนหยิงให้นางทราบ เพื่อที่นางจะได้ไม่เผลอทำอะไรออกไปให้เป็นที่ผิดสังเกต

ผ่านไปหนึ่งเดือนเฒ่าซุนเย่จึงเริ่มเข้ามาพูดคุยกับอู๋เชียนหยิง จึงเป็นครั้งแรกที่ตาเฒ่าผู้นี้ได้รับทราบว่าเด็กหญิงน้อยนี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง นางอ่านหนังสือไปมากมายทั้งยังสามารถร้อยเรียงความรู้ที่อ่านได้เป็นอย่างดี ทำให้ความเข้าใจในด้านต่างๆ ยิ่งเพิ่มพูน เฒ่าซุนเย่จึงเริ่มแนะนำหนังสือและตำรับตำราดีๆ ให้นางอ่าน เพราะผ่านมาหนึ่งเดือนนี้ นางอ่านแบบสนใจสิ่งใดก็อ่านสิ่งนั้น เมื่อได้รับคำแนะนำจากเฒ่าซุนเย่ อู๋เชียนหยิงจึงสามารถเลือกหยิบตำรับตำรามาอ่านได้ดีขึ้น

ผ่านไปจนครบปี ยามนี้อู๋เชียนหยิงอายุ 9 ปีแล้ว และนางก็สนิทสนมกับเฒ่าซุนเย่มากขึ้น เฒ่าซุนเย่กลายเป็นแขกประจำของจวนอัครเสนาบดีอู๋เพราะวันพักผ่อนสัปดาห์ละหนึ่งวันของนาง เฒ่าซุนเย่จะมารับนางที่จวน พานางไปเที่ยวเล่น รับประทานของอร่อย กลายเป็นคู่ปู่หลานที่รักใคร่กันยิ่ง แน่นอนว่าไม่ว่าอู๋เชียนหยิงจะไปที่ใด เสี่ยวเฮยย่อมติดตามไปด้วยเสมอ นั่นจึงทำให้เฒ่าซุนเย่พลอยเอ็นดูเจ้าแมวดำน้อยเสี่ยวเฮยไปด้วยเช่นกัน

หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ แก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยยังมิได้เปิดเผยสิ่งใดออกมา อู๋เชียนหยิงฝึกวิชาหมัดมวยและท่าเท้าต่างๆ ที่หวงจิ้งหรงสอนให้ในเบื้องต้นเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการสอบเข้าศึกษาต่อที่สำนักวิญญาณเทพ นางเรียนรู้และฝึกฝนได้ดีและรวดเร็วอย่างยิ่ง ทว่าเพียงฝึกไปได้หกเดือน เสี่ยวเฮยจึงสังเกตเห็นว่ากระบวนท่าที่หวงจิ้งหรงสอนให้อู๋เชียนหยิงฝึกฝนนั้นกลับกลายเป็นกระบวนท่าที่มันคุ้นตาอย่างยิ่ง

นั่นเพราะกระบวนท่านั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าหมัดมวยและท่าเท้าต่างๆ ของมหาเทพชางเล่ยไปเสียสิ้น แม้จะเป็นการเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแต่ก็น่าประหลาดที่หวงจิ้งหรงกลับไม่เห็นความผิดแปลกใดๆ และเมื่อหวงจิ้งหรงให้อู๋เชียนหยิงประลองกับหลานสาวและหลานชายของนางในวัยใกล้เคียงกัน อู๋เชียนหยิงสามารถชนะพวกเขาทั้งหมดได้ภายในสามกระบวนท่าทุกครั้ง ประการสำคัญที่สุดคือ ยามนี้ระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงเพิ่มขึ้นอีกสองขั้นเป็นสร้างลำต้นขั้นที่สิบจากเดิมที่อยู่ที่ขั้นที่แปด

หวงจิ้งหรงดีใจอย่างยิ่งที่ระดับลมปราณของบุตรสาวรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งการเพิ่มขึ้นนี้ ความหนาแน่นของลมปราณก็หนาแน่นและเสถียรอย่างที่สุด ระดับลมปราณนี้กล่าวได้ว่ารุดหน้าเกินเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันไปมาก เพราะยามนี้เด็กน้อยเหล่านี้ทำได้เพียงสร้างลำต้นขั้นที่ห้าหรือหก

ทว่าอู๋เชียนหยิงและเสี่ยวเฮยทราบดีว่าการเพิ่มขึ้นเช่นนี้มิได้เร็วแต่อย่างใด กลับช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะปราณทิพย์ในนครประกายเทพเบาบาง การฝึกฝนจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร หากนางยังคงฝึกฝนที่แท่นมังกรขดกาญจนา หนึ่งปีที่ผ่านมานี้นางสมควรก้าวขึ้นสู่ระดับแตกหน่อขั้นที่หนึ่งมิใช่ระดับสร้างลำต้นขั้นที่สิบ

ผ่านมาอีกสามปี ยามนี้อู๋เชียนหยิงอายุครบ 12 ปี และถึงกำหนดที่นางจะต้องไปสอบเข้าศึกษาที่สำนักวิญญาณเทพ ระดับลมปราณของนางในยามนี้อยู่ที่แตกหน่อขั้นที่ห้า ขณะที่เด็กน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับนางมีระดับลมปราณอยู่เพียงแตกหน่อขั้นที่หนึ่งถึงสอง

สามปีที่ผ่านมา แก่นโลหิตหัวใจของมหาเทพชางเล่ยมิได้ปรากฏอาการผิดปกติใด แต่ที่เห็นได้ชัดคือระดับลมปราณของอู๋เชียนหยิงเลื่อนระดับอย่างง่ายดาย ไม่เกิดคอขวดในการเลื่อนระดับแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งความหนาแน่นของลมปราณก็หนาแน่นเกินอายุและระดับการฝึกฝนของนางไปมาก เสี่ยวเฮยแน่ใจว่านี่คือการเกื้อหนุนของแก่นโลหิตหัวใจ แต่มันก็มั่นใจว่าแก่นโลหิตหัวใจต้องมีดีมากกว่านี้แน่นอน มิฉะนั้นแล้วมหาเทพชางเล่ยคงไม่กล่าวว่าทุกสิ่งของเขาอยู่ในแก่นโลหิตหัวใจนี้

วันนี้เฒ่าซุนเย่มาส่งอู๋เชียนหยิงออกเดินทางไปที่สำนักวิญญาณเทพ

“สอบเข้าศึกษาให้ได้นะ เชียนหยิง มีเรื่องเดือดร้อนอะไร รีบส่งจดหมายมาหาปู่ ปู่จะรีบจัดการให้เจ้า” เฒ่าซุนเย่ออกปากสั่งความอย่างอาลัย ทราบดีว่ากว่าหลานสาวบุญธรรมผู้นี้จะกลับมาให้เห็นหน้าอีกครั้งก็ต้องอีกสามปีข้างหน้า

“เจ้าค่ะ ท่านปู่ไม่ต้องเป็นห่วง”

“อย่าลืม เขียนจดหมายมาหาปู่บ้าง แต่ถ้าเจ้ายุ่งมาก ก็ไม่ต้องเขียน”

“ข้าจะพยายามเขียนมาเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็ทุกสามเดือน”

เช้าวันนี้หวงจิ้งหรงพาอู๋เชียนหยิงมาที่สำนักวิญญาณเทพเพื่อเข้าสอบข้อเขียนในวันแรก การสอบนี้จะใช้เวลา 2 ชั่วยาม ผลการสอบจะประกาศในอีก 7 วันข้างหน้า วันทดสอบระดับฝีมือจะเป็นวันรุ่งขึ้นหลังประกาศผลสอบข้อเขียน ศิษย์สำนักวิญญาณเทพทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาบริเวณที่จัดให้เป็นสถานที่สอบข้อเขียนนี้

เกณฑ์ผ่านการสอบข้อเขียนนั้น สำนักวิญญาณเทพกำหนดเพียงต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 70 คะแนนจาก 100 คะแนน อู๋เชียนหยิงเปิดอ่านข้อสอบที่วางอยู่ คำถามในข้อสอบมีเพียง 15 ข้อ เมื่ออ่านคำถามครบทุกข้อ นางก็ต้องยิ้มกว้างก่อนจะจรดพู่กันในมือเขียนคำตอบ

“เป็นอย่างไร เจ้าทำได้หรือไม่” หวงจิ้งหรงถามบุตรสาวอย่างเป็นห่วงเมื่อนางออกจากห้องสอบและเดินมาหามารดา

“ทำได้ทุกข้อเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel