บทที่ 14 เรียนรู้มนุษย์ (4) [2/3]
ตลอดทางที่นั่งรถม้ากลับมาที่จวนกับอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน อู๋เชียนหยิงนั่งก้มหน้านิ่ง ในใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวดมากมาย
“เชียนหยิง เจ้าเป็นอะไรจึงไม่พูดไม่จา” อู๋ซิงว่านถามเสียงอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ลูกแค่เหนื่อย”
“เจ้าเพิ่งหายไข้ พักอีกสักหลายวันดีหรือไม่”
อู๋เชียนหยิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ลูก...เอ่อ...ขอพักสัก 10 วันได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ เจ้าพักเสียให้หายสนิทก่อน จะได้แข็งแรง”
“ขอบคุณท่านพ่อ”
“พี่เสี่ยวเฮย” อู๋เชียนหยิงเรียกหาเจ้าแมวดำเสี่ยวเฮยเมื่ออยู่เพียงลำพังในห้องนอน
เสี่ยวเฮยกระโดดจากพื้นขึ้นมาอยู่บนที่นอนของนาง “เจ้าสงสัยกระมังว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงเสียใจเมื่อได้ยินเรื่องราวของมหาเทพชางเล่ยและเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย”
อู๋เชียนหยิงพยักหน้า “พี่เสี่ยวเฮยรู้เรื่องพวกนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่ ข้ารู้ รู้เป็นอย่างดี”
“เพราะเหตุใดเผ่าเทพจึงยกกำลังมาทำลายล้างเผ่ามาร” คำถามสำคัญที่สุดถูกถามขึ้นทันที
เสี่ยวเฮยหลับตาก่อนจะถอนหายใจ “เชียนหยิง เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปที่จะทราบเรื่องนี้”
“แต่ว่า...”
“ข้าให้สัญญากับเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะเล่าเรื่องนี้เท่าที่เจ้าควรทราบให้เจ้าฟังเมื่อเจ้าอายุ 16 ปี และลมปราณของเจ้าอยู่ในระดับรวมปราณขั้นที่สิบ”
อู๋เชียนหยิงตาโตทันที “รวมปราณขั้นที่สิบ ! !”
“ทำไมสูงถึงเพียงนี้”
นี่เป็นระดับที่ห่างไกลนางนัก ยามนี้ระดับลมปราณของนางคือสร้างลำต้นขั้นที่แปดยังเป็นลมปราณระดับแรกเริ่มด้วยซ้ำ
“เพราะเรื่องที่เจ้าต้องการทราบหนักหนาสาหัสกว่าที่เจ้าจะคิดคำนวณได้ และแท้จริงแล้วต่อให้เจ้ามีลมปราณตามที่ข้ากำหนด เจ้าก็ยังไม่สมควรทราบด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นแท้จริงแล้วข้าต้องมีระดับลมปราณเท่าใด ท่านจึงจะยอมบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด”
“เจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง” เสี่ยวเฮยตอบเสียงเรียบ หากอู๋เชียนหยิงตะลึงลานแล้ว
ลมปราณระดับเจ้าเซียนเท่ากับนางต้องเลื่อนระดับเป็นเทียนเซียน ระดับที่สูงส่งถึงเพียงนั้น นางจะทำได้อย่างไร นางก้มหน้า นั่งนิ่งเงียบงัน เสี่ยวเฮยจ้องมองนางอย่างสงสาร ทราบดีว่าเงื่อนไขที่มันกำหนดไม่อาจเป็นจริงได้สำหรับนางในเวลานี้
“ได้ ข้าจะฝึกฝนจนมีลมปราณในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น ท่านต้องเล่าให้ข้าฟังทุกอย่าง”
เสียงใสเล็กๆ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว นางทราบแล้วว่าเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง มิฉะนั้น พี่เสี่ยวเฮยของนางไม่มีทางกำหนดเงื่อนไขที่ยากเย็นจนเป็นไปไม่ได้เช่นนี้ ที่ผ่านมานั้น พี่เสี่ยวเฮยสอนให้นางฝึกฝน เงื่อนไขที่กำหนดออกมาแม้จะยากไปบ้างแต่นางก็สามารถกระทำได้
ทว่าครั้งนี้เงื่อนไขของพี่เสี่ยวเฮยสูงเทียมฟ้า สูงเสียจนนางมองไม่เห็นหนทางที่จะไปถึง นั่นแปลว่าเรื่องราวที่นางต้องการทราบต้องเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่สุด
เสี่ยวเฮยจ้องหน้านางอย่างประหลาดใจ ไม่คาดว่านางจะยินยอมถึงเพียงนี้
“ดี เจ้าตั้งใจเช่นนั้นก็ดี ยามที่ข้าบอกเล่าออกมา เจ้าจะทราบได้ทันทีว่าอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ข้ากำหนดเงื่อนไขให้เจ้าสูงเช่นนี้”
“เชียนหยิง เวลานี้เจ้าอยู่กับมนุษย์ จำต้องปรับสภาพร่างเซียนของเจ้าให้เติบโตเช่นเดียวกับมนุษย์ ไม่อาจให้เจ้าใช้เวลาเติบโต 2,000 ปีตามปกติ จึงจะเท่ากับมนุษย์ 1 ปี มนุษย์จะได้ไม่ผิดสังเกตในตัวเจ้า”
“ข้าต้องทำอย่างไร พี่เสี่ยวเฮย” เสียงใสเอ่ยถามอย่างกังวล
“เจ้าโคจรลมปราณตามที่ข้าบอก เจ้าจะต้องโคจรลมปราณเช่นนี้ทุกคืนอย่างน้อยคืนละ 2 ชั่วยาม ติดต่อกันสามปี ห้ามขาดแม้แต่คืนเดียว มิฉะนั้นเจ้าต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้พลาดแม้แต่คืนเดียว”
เสี่ยวเฮยเริ่มบอกกล่าวถึงวิธีโคจรลมปราณ อู๋เชียนหยิงเริ่มทำตาม
แม้จะยังคลี่คลายปมในใจเกี่ยวกับเรื่องราวของมหาเทพชางเล่ยและเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียไม่ได้ แต่ยามนี้นางมีจุดหมายที่แสนไกลรออยู่ นั่นคือ ลมปราณในระดับเจ้าเซียนขั้นที่หนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่าลำบากยากเข็ญเพียงใด นางก็ต้องไปให้ถึง
เมื่อมีจุดมุ่งหมายแล้ว สายวันนี้อู๋เชียนหยิงจึงหยิบตำรับตำราที่นางต้องใช้เล่าเรียนในวังมาเริ่มอ่านอีกครั้ง ด้วยความสามารถพื้นฐานของร่างเซียนที่เพียงผ่านตาไม่ลืม พร้อมกับร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ที่ทำให้นางเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย การพักผ่อนสิบวันจึงทำให้นางอ่านตำราจนครบทุกเล่ม
เมื่อนางสงสัยสิ่งใด เสี่ยวเฮยก็สามารถอธิบายให้นางฟังได้ทั้งหมด นั่นเพราะความรู้ในแดนมนุษย์นั้นย่อมเป็นระดับต่ำสุดของห้วงแห่งสุขาวดี และที่จริงแล้วไม่สามารถนับเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานของห้วงแห่งสุขาวดีได้ด้วยซ้ำ เมื่อเสี่ยวเฮยอ่านตำราเช่นเดียวกับนาง มันจึงเข้าใจได้อย่างง่ายดายและอธิบายให้นางฟังได้อย่างกระจ่างแจ้ง
เมื่อครบสิบวัน วันนี้อู๋เชียนหยิงจึงกลับมาเข้าเรียนอีกครั้ง ทว่ากลับเป็นเวลาที่อาจารย์ทุกคนให้นักเรียนทุกคนทำข้อสอบย่อยเพื่อวัดระดับความรู้ในทุกวิชา นางจึงขอเข้าสอบด้วยทันที แม้เหล่าอาจารย์จะบอกว่านางไม่สามารถทำข้อสอบเหล่านี้ได้เพราะนางไม่ได้เข้าเรียนเลยก็ตาม
ผ่านไปอีกห้าวันจึงประกาศผลสอบ หากเหล่าอาจารย์และนักเรียนทั้งหมดต้องตกตะลึงเมื่อปรากฏว่าอู๋เชียนหยิงทำข้อสอบได้คะแนนเต็มในทุกวิชา
นักเรียนหลายคนอยากจะคิดว่านางโกงข้อสอบ แต่ที่นั่งในเวลาสอบนั้น อู๋เชียนหยิงนั่งอยู่แถวหน้าสุดและยังนั่งต่อหน้าอาจารย์ที่ควบคุมการสอบ ข้อกล่าวหาว่านางโกงจึงปัดตกไปได้ทันที
อาจารย์ใหญ่หวังให้คนไปเชิญอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านมาพบ เมื่ออู๋ซิงว่านมาถึง ข้อสอบที่อู๋เชียนหยิงตอบคำถามไว้ทั้งหมดก็ถูกยื่นให้ทันที อู๋ซิงว่านรับมาอย่างประหลาดใจก่อนจะก้มลงอ่านคร่าวๆ เริ่มแรกก็เพียงอ่านเรื่อยๆ หากเมื่ออ่านต่อไป ก็ต้องพลิกเปิดหน้ากระดาษเร็วขึ้น สุดท้ายจึงเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่หวัง
“คุณหนูใหญ่อู๋เชียนหยิง บุตรสาวของท่าน ทำข้อสอบได้คะแนนเต็มทุกข้อและทุกวิชา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบเจอเด็กน้อยที่เก่งกาจจนเหลือเชื่อ แต่เพราะนางทำได้เช่นนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องมาเรียนที่นี่อีกต่อไป เชิญอัครเสนาบดีอู๋พานางกลับไปเถิด นางสำเร็จการศึกษาจากที่นี่แล้ว”
อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านพูดไม่ออกทันที นี่เขาและฮูหยินเก็บได้สัตว์ประหลาดมาหรือไร ไฉนนางจึงเก่งกล้าสามารถนัก
“เชียนหยิง ลูกทำได้อย่างไร” อู๋ซิงว่านถามขึ้นระหว่างนั่งรถม้าพานางกลับมาที่จวนอัครเสนาบดี
“ลูกก็ตอบไปตามที่อ่านและทำความเข้าใจมาเจ้าค่ะ” อู๋เชียนหยิงตอบอย่างงุนงง นางจ้องมองอัครเสนาบดีอู๋ตาแป๋วด้วยความไม่เข้าใจ
เห็นแววตาของนางแล้ว อู๋ซิงว่านก็ทราบได้ทันทีว่าบุตรีบุญธรรมของเขาไม่ทราบเลยว่านางได้ทำสิ่งมหัศจรรย์เอาไว้ เขาต้องถอนหายใจออกมาก่อนจะพลันนึกได้ถึงเรื่องหนึ่ง
“เชียนหยิง เจ้าชอบอ่านตำรับตำรางั้นรึ”
“มิได้ชอบเจ้าค่ะ แต่เพราะว่าท่านพ่อท่านแม่ให้ลูกเรียน ลูกจึงตั้งใจอ่านและทำความเข้าใจ”
“หมายความว่าหากพ่อกับแม่ให้เจ้าเรียนสิ่งใด เจ้าก็จะเรียนใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
คำตอบของนางสร้างรอยยิ้มให้อู๋ซิงว่านทันที บุตรีบุญธรรมของเขาช่างน่าเอ็นดูนัก
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พ่อจะทูลขอฝ่าบาทให้ทรงอนุญาตให้เจ้าเข้าไปอ่านตำราในหอหนังสือสระเทพสัปดาห์ละสามวัน อีกสามวันเจ้าก็ฝึกฝนลมปราณและเรียนรู้จากแม่ของเจ้า ที่เหลืออีกหนึ่งวันเจ้าก็พักผ่อน ทำเช่นนี้จนกว่าเจ้าจะอายุ 12 ปีถึงกำหนดที่เจ้าจะได้ไปสอบเข้าเรียนที่สำนักวิญญาณเทพเช่นพี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามของเจ้า”
“เจ้าค่ะ แล้วที่หอหนังสือสระเทพมีตำรามากหรือเจ้าคะ”
