บทที่ 13 เรียนรู้มนุษย์ (4) [1/3]
มือน้อยรีบแกะเงื่อนที่ผูกไว้ที่อกเสื้อออก เพียงครู่ก็ปรากฏอกขาวผ่องเนียนละเอียด หากบริเวณหัวใจนั้น ปานแดงรูปมังกรคล้ายกำลังส่องแสงสีแดงอ่อน เสี่ยวเฮยจ้องมองปานแดงนั้นนิ่งงัน มันย่อมทราบถึงคำพูดของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียเกี่ยวกับปานแดงนี้
แก่นโลหิตหัวใจของพ่อเจ้าจะค่อยๆ เปิดเผยความลับให้เจ้ารู้เมื่อเจ้าอายุครบ 14,000 ปี
เป็นไปได้ว่าความฝันของอู๋เชียนหยิงเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนการหลบหนีของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย อาจเกิดจากแก่นโลหิตหัวใจที่เริ่มปลดผนึกตนเอง ประจวบเหมาะกับนางได้รู้ถึงเรื่องราวการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้า สองสิ่งนี้จึงเชื่อมโยงกันโดยบังเอิญ ทำให้นางฝันถึงเหตุการณ์นั้นได้
“ยามนี้เจ้าเพียงรู้สึกร้อนเท่านั้นหรือไม่ หรือว่าเจ้ารู้สึกอะไรอีก”
“แค่รู้สึกร้อนเท่านั้น ตอนที่ข้าเป็นไข้ ข้าก็รู้สึกร้อนที่หัวใจ”
“เจ้าไม่ต้องกังวล ต่อไปหากเจ้ารู้สึกผิดปกติที่บริเวณหัวใจอีก ให้รีบบอกข้า แต่ห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้ใดทั้งสิ้น”
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเฮยไม่ทราบดอกว่าแก่นโลหิตหัวใจที่เริ่มปลดผนึกตนเองนั้นจะทำให้อู๋เชียนหยิงทราบถึงสิ่งใดบ้าง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มหาเทพที่ถูกสร้างสรรค์โดยปฐมเทพและปฐมเทพียอมกลั่นแก่นโลหิตหัวใจออกมา จึงยังไม่มีผู้ใดทราบว่าแก่นโลหิตหัวใจที่ปลดผนึกนั้นจะบอกกล่าวสิ่งใด
ผ่านไปอีกราวครึ่งเค่อความร้อนที่หัวใจก็ค่อยๆ จางหาย
“ที่หัวใจของข้าหายร้อนแล้วล่ะ พี่เสี่ยวเฮย”
“ดีแล้ว เจ้านอนพักเถิด ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า”
“พี่เสี่ยวเฮย ข้าฝันถึงมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย ข้า...ข้า...เป็นอะไรกันแน่...ทำไมข้าจึงฝันเช่นนี้”
“เจ้าคงฟุ้งซ่านน่ะเชียนหยิง อย่าคิดมาก รีบนอนเสีย จะได้หลับสบาย”
อู๋เชียนหยิงยอมนอนอย่างเชื่อฟังแม้จะยังคิดถึงภาพในความฝันนั้น หากเพียงไม่นานนางก็หลับสนิท
ผ่านไปอีกสามวันนางจึงกลับไปเข้าเรียนที่ในวังอีกครั้ง และช่างบังเอิญนักที่ถึงกำหนดที่อาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์กำลังจะทดสอบนักเรียนเกี่ยวกับตำนานที่ได้เล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ก่อน นักเรียนทุกคนเตรียมตัวมาพร้อม หากอู๋เชียนหยิงกลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเพราะวันนั้นนางเอาแต่ร้องไห้จนไม่สบาย
“ข้าจะถามคำถามพวกเจ้า หากพวกเจ้าคนใดตอบได้ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าไม่ต้องเรียนวิชาของข้าตลอดบ่ายนี้ ใครที่ตอบไม่ได้หรือไม่ตอบก็ต้องเรียนไปตามปกติ”
นักเรียนทุกคนพยักหน้ารับอย่างยินดี มีเพียงอู๋เชียนหยิงที่เม้มปากแน่น
คำถามเกี่ยวกับตำนานการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้าถูกถามขึ้นมาเรื่อยๆ นักเรียนแต่ละคนที่ท่องจำมาเป็นอย่างดีล้วนแย่งกันยกมือตอบ จนกระทั่งสุดท้ายเหลือนักเรียนเพียงคนเดียวในห้องคืออู๋เชียนหยิง
“อู๋เชียนหยิง เจ้าตอบคำถามไม่ได้รึ เจ้าจึงไม่ยกมือตอบคำถามสักครั้ง” อาจารย์เจิ้งถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะสีหน้าท่าทีของนางดูมิใช่ว่าไม่รู้คำตอบ แต่เหมือนนางไม่ต้องการตอบ
“ท่านอาจารย์ ท่านช่วยเล่าตำนานการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้าให้ข้าฟังอีกสักครั้งนะเจ้าคะ ข้าอยากฟัง” นางเอ่ยขอร้อง
อาจารย์เจิ้งมีสีหน้าประหลาดใจ ถึงกับมีนักเรียนที่อยากรู้เรื่องที่ไม่มีเค้าความจริงเช่นนี้
“ได้สิ เจ้าอยากฟังช่วงใดของตำนานล่ะ”
อู๋เชียนหยิงกรอกตาครุ่นคิด “ยามนั้นข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์กล่าวถึงเทพมารทั้งสี่ว่าได้แก่ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้ แล้วพอดีข้าจำไม่ได้ว่าต่อไปคืออย่างไร มาจำได้อีกทีตอนที่ได้ยินว่ามหาเทพชางเล่ยร่วงหล่น”
“อ้อ ! เทพมารทั้งสี่ครองแดนมารสี่แห่งในห้วงแห่งสุขาวดี แดนมารสี่แห่งนี้ถูกเรียกว่าสี่มารศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วย แดนอาคเนย์ที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดปกครองโดยเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย แดนอิสานปกครองโดยเทพมารชาดเซวเจี้ยน แดนหรดีปกครองโดยเทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และแดนพายัพปกครองโดยเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้”
“แดนสี่ศักดิ์สิทธิ์และแดนสี่มารศักดิ์สิทธิ์อยู่กันคนละฟากฝั่งของห้วงแห่งสุขาวดี ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันได้ ทว่าไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น เผ่าเทพจึงยกทัพมาบุกแดนสี่มารศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง หากทัพนี้กลับนำโดยมหาเทพชางชว่อแห่งแดนหงส์แดง มิใช่มหาเทพชางเล่ยแห่งแดนมังกรทอง นี่เป็นเรื่องที่เป็นปริศนาในตำนานว่าเพราะเหตุใดมหาเทพชางเล่ยจึงมิได้นำทัพ”
“ระหว่างการรบ สองฝ่ายต่างมีกำลังสูสี เผ่าเทพจึงยังไม่สามารถหักเอาชัยเผ่ามารได้ ทว่าเพื่อให้เผ่าเทพมีชัย แม้มหาเทพชางเล่ยมิได้นำทัพ แต่ท่านสละตนเองบุกเผ่ามารจนสุดกำลัง ทำให้เผ่ามารแตกพ่าย แต่เผ่าเทพก็ต้องสูญเสียมหาเทพชางเล่ยไป นั่นจึงทำให้มหาเทพชางเล่ยร่วงหล่น”
“เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว เทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้ พลาดท่าเสียทีให้กับสามมหาเทพ เทพมารทั้งสามจึงร่วงหล่นตามมหาเทพชางเล่ยไป ส่วนเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแม้จะตกหลุมพรางของมหาเทพชางชว่อ แต่เพราะนางฝีมือด้อยกว่ามหาเทพชางเล่ยเพียงครึ่งขั้น แต่แข็งแกร่งกว่ามหาเทพทั้งสาม มหาเทพชางชว่อจึงวางแผนหลอกล่อก่อนจะผลักไสนางออกนอกห้วงแห่งสุขาวดีไปพร้อมกับเหล่ามารที่ติดตามนางมา มหาเทพชางชว่อปิดกั้นกำแพงที่ปกป้องห้วงแห่งสุขาวดีจนแน่นสนิทเพื่อมิให้เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียและเหล่ามารหวนกลับมาได้"
"เผ่ามารที่เหลืออยู่ในห้วงแห่งสุขาวดีจึงต้องหลบหนีเข้าสู่แดนเทพมารต้องห้ามที่ตั้งอยู่สุดขอบห้วงแห่งสุขาวดี”
อู๋เชียนหยิงน้ำตาไหลรินเมื่อฟังเรื่องราวจบ นางไม่ทราบว่าทำไมตนเองต้องร้องไห้ ทำไมตนเองต้องเสียใจอย่างแสนสาหัส
“อู๋เชียนหยิง เจ้าเป็นอะไร เหตุใดจึงร้องไห้”
ร่างน้อยสั่นสะท้านอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่ประดังขึ้นมาลงไปอย่างยากลำบาก
“มะ...ไม่มีอะไร...เจ้าค่ะ...ข้าไม่ค่อยสบาย...เพียงฟังเรื่องราว...จึงรู้สึกเสียใจ...”
อาจารย์เจิ้งพยักหน้าอย่างพอเข้าใจ
“ท่านอาจารย์ นอกห้วงแห่งสุขาวดีเป็นอย่างไรเจ้าคะ” อู๋เชียนหยิงถามคำถามที่สำคัญคำถามหนึ่ง เสี่ยวเฮยเองก็นั่งฟังหูผึ่ง มันก็อยากทราบเช่นกัน
“ตามตำนานเล่าว่านอกห้วงแห่งสุขาวดีนั้น มิได้สุขสบายเช่นในห้วงแห่งสุขาวดี ทุกทิศทางเต็มไปด้วยรอยบิดเบี้ยวของมิติ ผู้ที่ตกอยู่นอกห้วงแห่งสุขาวดีต้องเผชิญหน้ากับการเชือดเฉือนจากรอยบิดเบี้ยวของมิติตลอดเวลา กล่าวได้ว่าถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส โลหิตไหลรินไม่ขาดสาย”
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียกับเหล่ามารจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” นางถามไปก็น้ำตาไหลไป อาจารย์เจิ้งได้แต่มองนางอย่างแปลกใจ
“ไม่มีผู้ใดตอบได้หรอก แต่หากให้ข้าคาดเดานางและเหล่ามารคงดับสูญไปแล้ว เรื่องเล่านี้เกิดขึ้นมาราว 14,000 ปีแล้ว ผู้ใดจะทนทรมานอยู่ได้นานปานนั้น”
“แต่นางเป็นมาร ตายไปเสียได้ก็ดีแล้ว หากอยู่ต่อก็ไม่รู้ว่าพวกมารจะกระทำเรื่องให้เผ่าเทพและมนุษย์ต้องเดือดร้อนอะไรอีก”
วาจานี้เชือดเฉือนทำร้ายหัวใจของอู๋เชียนหยิงนัก
“แต่จากเรื่องที่ท่านเล่า พวกมารก็มิได้กระทำสิ่งใดผิด” นางแย้งออกมา
“เจ้าจะไปรู้อะไร พวกมารย่อมต้องทำอะไรบางอย่างที่ชั่วช้าเลวทรามอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเผ่าเทพจะยกทัพบุกแดนมารเพื่อทำลายพวกมารทำไม คิดดูว่าพวกมารถึงกับทำให้มหาเทพชางเล่ยต้องร่วงหล่น เพียงทำมหาเทพร่วงหล่นก็นับว่าเป็นความผิดมหันต์จนไม่อาจอภัยได้แล้ว”
