บทที่ 12 เรียนรู้มนุษย์ (3) [3/3]
กลับมาถึงจวนจึงพบว่าฮูหยินเอกหวงจิ้งหรงนั่งรออยู่ เมื่อเห็นสามีอุ้มบุตรสาวที่หลับสนิทเข้ามาก็ต้องแปลกใจ
“ไม่รู้ว่าเชียนหยิงไปพบเจออะไรมา เมื่อข้าไปรับนางกลับบ้าน นางแอบไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวที่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ข้านั่งอยู่ข้างกายนาง นางยังไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเข้าใกล้ จนข้าเรียกนาง นางจึงได้รู้สึกตัว ถามว่ามีใครรังแกหรือไม่ นางก็ตอบว่าไม่มี ข้าเลยไม่รู้ว่านางร้องไห้เพราะเหตุใด”
อู๋ซิงว่านบอกจบก็เดินนำหวงจิ้งหรงมาที่เรือนเบญจมาศอันเป็นเรือนพักของอู๋เชียนหยิง ร่างเล็กถูกวางลงบนที่นอนอย่างระมัดระวังก่อนจะคลี่ผ้าห่มคลุมให้
“เสี่ยวถง เจ้าดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี มีอะไรให้รีบไปบอกข้ากับฮูหยินเอก”
“เจ้าค่ะ”
“เสี่ยวเฮย อยู่เป็นเพื่อนเชียนหยิงนะ” อู๋ซิงว่านอุ้มแมวดำเสี่ยวเฮยให้นอนอยู่ข้างๆ บุตรสาว เขาทราบดีว่ามันและบุตรสาวของเขาใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก กล่าวได้ว่าเห็นเชียนหยิงต้องเห็นเสี่ยวเฮย เห็นเสี่ยวเฮยต้องเห็นเชียนหยิง
เสี่ยวเฮยผงกศีรษะตอบรับอย่างรู้ความ ทำเอาอู๋ซิงว่าน หวงจิ้งหรง และสาวใช้เสี่ยวถงต้องประหลาดใจ แม้จะทราบว่าเสี่ยวเฮยเป็นแมวที่ฉลาด รู้ความ หากก็ไม่คาดคิดว่ามันจะรู้ความเสียจนเหมือนว่ามันเข้าใจภาษามนุษย์
คืนนั้นอู๋เชียนหยิงพลันฝันถึงเหตุการณ์ประหลาด ในฝันนั้นนางเห็นซากศพของคนมากมาย ทั้งยังเห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งทว่านางกลับมองเห็นใบหน้าของพวกเขาอย่างลางเลือน แต่แม้จะเห็นไม่ชัด นางก็บอกตนเองได้ว่าพวกเขาล้วนมีรูปโฉมงดงาม รัศมีรอบกายของบุรุษผู้นั้นไม่สดใส หากหม่นมัวอย่างน่าเศร้าใจ ส่วนสตรีผู้นั้น ความรู้สึกของนางบอกว่านางไม่รู้จัก แต่แม้จะไม่รู้จัก ไฉนนางกลับรู้สึกคุ้นเคยกับสตรีนางนี้อย่างยิ่ง คุ้นเคยเหลือเกิน
“จื่อเซีย ไปเสียตอนนี้ หากช้ากว่านี้ ข้าไม่อาจปกปิดไว้ได้แล้ว จะเป็นอันตรายกับเจ้าและลูกของเรา”
“แต่...ชางเล่ย...ท่านบาดเจ็บมาก...”
“เจ้าต้องไป จื่อเซีย พาลูกของเราหนีไป ชางซว่อ ชางจี้ ชางห้าว ไม่มีวันปล่อยเจ้ากับลูก”
“ข้าทิ้งท่านไปไม่ได้...พวกมันรู้แล้วว่าท่านและข้ามีความสัมพันธ์เช่นไร แต่พวกมันไม่ทราบถึงลูกของเรา และต่อให้ข้าและลูกหนีไป พวกมันก็ต้องตามล่าข้าอยู่ดี”
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ หากเจ้าพลาดท่าเสียทีจนพวกมันล่วงรู้และได้ตัวลูกของเราไป นางจะเป็นเช่นไร ในตัวนางมีทั้งโลหิตเทพและมาร นางต้องถูกแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นมารจะถูกทำลายทิ้งจนหมดสิ้น ส่วนที่เป็นเทพจะถูกรักษาไว้”
“ทว่าส่วนของเทพที่ถูกรักษาไว้นั้น นางยังต้องถูกลงทัณฑ์ โทษฐานที่นางถือกำเนิดจากมารดาต้องห้ามเช่นเจ้า นางจะกลายเป็นเทพธิดาต้องห้าม นางจะถูกขังที่หอกักเซียนใต้แม่น้ำว่างสามสายตลอดชีวิต นางจะมีชีวิตอยู่ในความมืดที่หอนั้นไปจนกว่านางจะดับสูญไปเอง”
“ที่หอกักเซียน นางจะถูกพรากเอาร่างนภาพิสุทธิ์และดวงจิตนภาพิสุทธิ์ออกไป ผู้ที่มีโอกาสจะได้รับร่างและดวงจิตอันเลิศล้ำที่สุดนี้ก็คือเทพธิดาดาวเหนือจื่อเสวียน บุตรสาวของชางซว่อ เจ้าสมควรทราบถึงความทะยานอยากในการฝึกฝนของนาง หากนางทราบถึงร่างและดวงจิตนภาพิสุทธิ์ เจ้าคิดหรือว่านางจะไม่แย่งชิง หากนางแย่งชิงสำเร็จ นางจะกลายเป็นเทพธิดาที่เลิศล้ำที่สุดของห้วงแห่งสุขาวดีนี้”
“หากเจ้าพาลูกหนีไป เจ้าและลูกยังมีโอกาสรอด ขอเพียงพวกเจ้ารอด ข้าก็หมดห่วงแล้ว”
“ไม่นะ ชางเล่ย ท่านไปกับข้าและลูกสิ พวกเราหนีไปด้วยกัน”
“ทำไม่ได้ ยามนี้ข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจซ่อนเร้นตัวตนให้พ้นสายตาของผู้ใดได้ หากข้าไปพร้อมกับเจ้า ข้าเป็นได้เพียงตัวถ่วงของเจ้ากับลูก”
“แต่...แต่...”
“ไม่มีแต่ เจ้าต้องพาลูกไป”
อู๋เชียนหยิงลืมตาตื่น ความฝันจบลงเพียงเท่านี้ นางสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมาอีกครั้ง น้ำตาไหลพรั่งพรูดุจทำนบทลาย เสี่ยวเฮยมาซุกตัวอยู่กับนาง อู๋เชียนหยิงกอดเจ้าแมวดำไว้แน่น น้ำตาไหลไม่หมดสิ้น นางร้องไห้เกือบทั้งคืน ร้องไห้จนหลับไป
รุ่งเช้าเมื่อเสี่ยวถงเข้ามาดูจึงได้พบว่าคุณหนูใหญ่ของนางเป็นไข้สูง ตัวร้อนจัด นางรีบบอกหวงจิ้งหรงทันที หวงจิ้งหรงให้คนไปเชิญแพทย์จากสำนักแพทย์หลวงมาดูอาการของบุตรสาว
“คุณหนูใหญ่มีเรื่องกระทบกระเทือนใจ ร่างกายจึงอ่อนแอ เป็นไข้ขึ้นมา ข้าเขียนเทียบยาให้แล้ว ต้มยาให้นางดื่มหลังรับประทานอาหารเช้าและก่อนนอน อาการนางจะดีขึ้น ไม่เกิน 3 วันก็หายเป็นปกติ”
แพทย์จากสำนักแพทย์หลวงบอกกล่าว หวงจิ้งหรงได้แต่ประหลาดใจ บุตรสาวของนางมีเรื่องใดกระทบกระเทือนใจจนถึงกับทำให้นางล้มป่วย หรือว่ายามที่นางไปเรียนที่ในวังจะมีองค์หญิงหรือองค์ชายคนใดกลั่นแกล้งนาง แต่อัครเสนาบดีอู๋ซิงว่านก็บอกแล้วว่าไม่มีผู้ใดรังแกนาง
ตลอดสามวันนี้หวงจิ้งหรงมานอนกับอู๋เชียนหยิงเพื่อคอยดูแลนาง กลางดึกทั้งสามคืน อู๋เชียนหยิงจะละเมอเรียกหาบิดามารดาของนาง นางละเมอเรียกอย่างเสียใจ ร้องไห้ทั้งที่ยังหลับ หวงจิ้งหรงได้แต่ห่วงกังวล ทราบแล้วว่าบุตรสาวของนางมิได้ถูกผู้ใดรังแก หากเป็นนางเกิดคิดถึงบิดามารดาที่แท้จริง
แต่ด้วยยาของแพทย์ที่สำนักแพทย์หลวงทำให้อาการไข้ของนางลดลงจนเป็นปกติ รุ่งเช้าวันที่สี่นางหายดีหากจิตใจกลับหมองเศร้า สีหน้าของอู่เชียนหยิงยังคงปรากฏร่องรอยความเสียใจ
“เชียนหยิง เจ้าบอกแม่ได้ทุกเรื่องนะ อย่าปิดบังแม่” นางบอกกล่าวบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อ้อมแขนโอบกอดนางไว้อย่างปลอบประโลม
“ลูก...ไม่รู้...จะบอกอย่างไร...”
“เจ้าฝันว่าอย่างไร แม่ได้ยินเจ้าละเมอเรียกหาบิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าทุกคืน”
“ลูก...ลูก...” อู๋เชียนหยิงอ้ำอึ้ง จะให้นางบอกกล่าวอย่างไรในเมื่อบุคคลที่นางฝันถึงเป็นเพียงบุคคลในตำนาน พวกเขาไม่มีตัวตนจริง หากนางบอกเล่าออกไปย่อมมีแต่คนหาว่านางเพ้อเจ้อ
“ลูกฝันเห็นท่านพ่อท่านแม่ถูกสัตว์อสูรฆ่าตาย พวกท่านตายอย่างทรมาน” นางจำใจต้องโกหกออกไป
“โถ ลูกแม่...” อ้อมแขนโอบกอดนางแน่นขึ้น
“อย่าคิดมาก เจ้ามาอยู่กับแม่แล้ว ลืมเรื่องพวกนั้นให้หมด หากเจ้าคิดถึงพวกท่าน ก็หมั่นทำกุศลให้พวกท่านให้มาก”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้านอนพักเสียเถิด เพิ่งหายดี อย่าเพิ่งไปร่ำเรียนเลย พักอีกสักสามวันแล้วจึงค่อยไปเรียน แม่จะให้ท่านพ่อไปบอกอาจารย์ให้”
“ขอบคุณท่านแม่”
“พี่เสี่ยวเฮย” นางลุกขึ้นพร้อมกับเรียกหาเจ้าแมวดำทันทีที่หวงจิ้งหรงลับสายตา เสี่ยวเฮยกระโดดขึ้นมาอยู่บนตักของนาง
“พี่เสี่ยวเฮย ข้า...”
“เจ้าเล่าความฝันของเจ้าให้ข้าฟัง”
เมื่ออู๋เชียนหยิงบอกเล่าออกมา เสี่ยวเฮยก็ต้องนิ่งอึ้ง เหตุการณ์ที่อู๋เชียนหยิงฝันคือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นก่อนที่เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียจะพานางหลบหนีมาที่ดาวเคราะห์ธาราครามแห่งนี้ ไม่คาดเลยว่านางจะฝันถึงเหตุการณ์นั้นได้
พลันอู๋เชียนหยิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดี
“เชียนหยิง เจ้าเป็นอะไร”
“ข้ารู้สึกร้อนที่หัวใจ”
“เจ้าเปิดเสื้อออก ให้ข้าดูที่หัวใจของเจ้า” เสี่ยวเฮยสั่งอย่างรวดเร็ว
