บท
ตั้งค่า

บทที่ 11 เรียนรู้มนุษย์ (3) [2/3]

“เมื่อเวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน ปฐมเทพและปฐมเทพีแรกกำเนิดค่อยๆ มีจิตสำนึกและสติปัญญาทีละน้อยจนสมบูรณ์ ปฐมเทพและปฐมเทพีร่วมกันสร้างภาษา พลังลมปราณ เคล็ดวิชาลมปราณ และสิ่งอื่นอีกมากมาย”

“ทว่าห้วงแห่งสุขาวดีอันกว้างใหญ่ไพศาลมีเพียงปฐมเทพและปฐมเทพี หลายส่วนจึงอยู่ในภาวะไม่สมดุล ปฐมเทพและปฐมเทพีจึงหลอมรวมกันก่อนจะสลายร่างของตนเพื่อเปลี่ยนห้วงแห่งสุขาวดีให้มีความสมดุลทั้งหมด กฎต่างๆ ของห้วงแห่งสุขาวดีพลันบังเกิดขึ้นพร้อมกับสรรพชีวิตต่างๆ”

“พวกท่านยังได้ให้กำเนิดมหาเทพสี่องค์ และเทพมารสี่องค์ เพื่อให้ทั้งแสงสว่างและความมืดสมดุลกัน และเมื่อเกิดมหาเทพและมารทั้งแปดจนสมบูรณ์แล้ว ยุคแห่งทวยเทพได้เริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้น”

“มหาเทพสี่องค์นั้น ได้แก่ มหาเทพครองฟ้าชางเล่ย มหาเทพเสมอฟ้าชางซว่อ มหาเทพแบกฟ้าชางจี้ และมหาเทพค้ำฟ้าชางห้าว”

นามมหาเทพครองฟ้าชางเล่ยสะดุดความรู้สึกของอู๋เชียนหยิงทันที ยามได้ยินนามนี้ ในห้วงความคิดของนางพลันปรากฏภาพบุรุษในอาภรณ์สีขาวสะอาด มือถือกระบี่สีขาว รัศมีรอบกายพร่างพรายงดงาม บุรุษผู้นี้ย่อมเป็นบุรุษที่นางยังคงฝันถึงทุก 7 วันเสมอมา

ก้อนสะอื้นประหลาดแล่นเป็นริ้วขึ้นมาจุกที่ลำคอ นัยน์ตาดำขลับปรากฏประกายน้ำตาขึ้นกะทันหัน ความรู้สึกคิดถึงโหยหาอย่างรุนแรงพลันบังเกิดอย่างไร้สาเหตุ หยาดน้ำตาร่วงรินราวน้ำไหล หากเพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกตัว รีบทำทีซบหน้าลงกับท่อนแขน ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตนเอง อู๋เชียนหยิงได้แต่แปลกใจว่าตนเองเป็นอะไร

“มหาเทพทั้งสี่นี้ มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยทรงอำนาจสูงสุด มหาเทพอีกสามด้อยกว่ามหาเทพชางเล่ยอยู่หนึ่งขั้น แต่ทั้งสามมหาเทพทรงอำนาจใกล้เคียงกัน” เสียงของอาจารย์เจิ้งยังคงเล่าสืบต่อ

“มหาเทพทั้งสี่ครองแดนสี่แห่งในห้วงแห่งสุขาวดี สี่แดนนี้ถูกเรียกว่าสี่ศักดิ์สิทธิ์ อันประกอบด้วยแดนมังกรทองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกปกครองโดยมหาเทพชางเล่ย แดนหงส์แดงตั้งอยู่ทางทิศใต้ปกครองโดยมหาเทพชางซว่อ แดนพยัคฆ์ขาวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกปกครองโดยมหาเทพชางจี้ และแดนเต่าดำตั้งอยู่ทางทิศเหนือปกครองโดยมหาเทพชางห้าว”

“ทว่าช่วงเวลาที่ปฐมเทพและปฐมเทพีแรกกำเนิดใกล้จะสลายไป กลับพลันบังเกิดมหาเทพขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง แต่เพราะกำเนิดหลังสุด ปฐมเทพและปฐมเทพีจึงให้นามแก่ท่านว่า ต้วนเจี้ยน มหาเทพต้วนเจี้ยนทรงอำนาจทัดเทียมกับมหาเทพครองฟ้าชางเล่ย ท่านปกครองแดนลิขิตฟ้า”

“มหาเทพต้วนเจี้ยนมีฉายาว่าเทพยุทธ์หยั่งรู้ เพราะท่านเป็นผู้ที่สามารถหยั่งรู้ถึงลิขิตสวรรค์ แดนลิขิตฟ้าอยู่สุดขอบห้วงแห่งสุขาวดีถัดจากแดนมังกรทองของมหาเทพชางเล่ย แดนลิขิตฟ้าและมหาเทพต้วนเจี้ยนดำรงตัวเป็นกลางมาตลอดระหว่างเผ่าเทพและเผ่ามาร เพียงทำหน้าที่บอกเล่าถึงลิขิตสวรรค์เมื่อถึงคราวจำเป็น”

“เทพมารทั้งสี่ได้แก่ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซีย เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้”

นามเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียสะดุดความรู้สึกของอู๋เชียนหยิงอย่างรุนแรง ร่างน้อยสั่นระริกอย่างไม่อาจข่มกลั้น ก้อนสะอื้นแล่นถี่ขึ้นมาจุกที่ลำคออย่างรวดเร็ว นางต้องยกมืออุดปากของตนเองเพื่อปิดกั้นมิให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา น้ำตาไหลรินอย่างห้ามไม่อยู่ นางต้องรีบก้มหน้าลงกับท่อนแขนของตน ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้กับตนเอง ทว่าครั้งนี้น้ำตากลับไหลนอง เพียรใช้แขนเสื้อซับน้ำตาเท่าใดก็ราวกับไม่อาจซับได้หมด

โชคดีว่าแม้นางนั่งหน้าสุดหากก็อยู่ด้านข้าง อาจารย์เจิ้งจึงไม่ทันเห็นอากัปกิริยาที่ผิดปกติของนาง ขณะที่นักเรียนคนอื่นนั้นอยู่ในภาวะง่วงเหงาหาวนอนกันทั้งสิ้น ย่อมไม่ได้ใส่ใจกับนาง

ผ่านไปครู่หนึ่ง อู๋เชียนหยิงจึงระงับอาการประหลาดของนางได้ ยามนี้จึงได้ยินเสียงอาจารย์เจิ้งที่ยังคงบรรยายอยู่

“มหาเทพครองฟ้าชางเล่ยร่วงหล่น มหาเทพทั้งสามขึ้นปกครองแทนมหาเทพชางเล่ย เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียและเหล่ามารบางส่วนถูกขับไล่พ้นห้วงแห่งสุขาวดี เทพมารชาดเซวเจี้ยน เทพมารโลหิตมรณะฉงโหลว และเทพมารผลาญตะวันโฮ่วอี้ร่วงหล่นตามมหาเทพชางเล่ย เหล่ามารที่เหลือพากันหนีเข้าสู่แดนเทพมารต้องห้ามที่ตั้งอยู่สุดขอบห้วงแห่งสุขาวดี”

“แดนเทพมารต้องห้ามเป็นเขตแดนประหลาด ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในที่นี้ได้ต้องเป็นเหล่ามารเท่านั้น หากทวยเทพล่วงล้ำเข้าไป พวกเขาจะถูกพลังในเขตแดนกัดกร่อนทำลายอย่างรวดเร็ว หากพวกมารก็มิกล้าออกนอกแดนเทพมารต้องห้าม เพราะเมื่อเข้าสู่แดนแห่งนี้แล้ว คล้ายว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่าง พวกมารไม่สามารถอยู่นอกแดนเทพมารต้องห้ามได้อีกต่อไป นั่นจึงทำให้ตอนนี้จึงยังมีมารเหลือรอดอยู่ เพียงไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าใด”

อู๋เชียนหยิงที่น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ยามนี้น้ำตากลับไหลทะลักออกมาอีกครั้ง นางรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

“นี่คือตำนานของการสร้างแผ่นดินและแผ่นฟ้า พวกเจ้าไปทบทวนมาให้ดี สัปดาห์หน้าข้าจะทดสอบพวกเจ้าทุกคน” เสียงของอาจารย์เจิ้งดังขึ้นก่อนจะจบการเรียนในบ่ายวันนี้

อู๋เชียนหยิงรีบคว้าตะกร้าที่ใส่แมวดำเสี่ยวเฮยขึ้น นางรีบเดินออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็ว เหลียวมองรอบกายแล้วก็ตัดสินใจรีบเดินห่างออกไปอีกหน่อยจนถึงพุ่มไม้ใหญ่ใบหนาที่ห่างไกลผู้คน นางก้าวอ้อมไปหลังพุ่มไม้นั้นก่อนจะทรุดกายลงร่ำไห้ออกมาทันที หากยังคงใช้มืออุดปากตนเองไว้แน่นมิให้เสียงร้องไห้ของตนเล็ดลอดออกไป

เสี่ยวเฮยมองนางอย่างสงสารจับใจ มันเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน แม้จะทราบว่านี่เป็นเพียงตำนาน แต่ก็มีส่วนจริงมากกว่าครึ่ง อย่างน้อยเรื่องราวการก่อกำเนิดห้วงแห่งสุขาวดีและกำเนิดมหาเทพและเทพมารก็จริงแท้แน่นอน ที่มันไม่แน่ใจก็เพียงมหาเทพชางเล่ยร่วงหล่นจริงหรือ เทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียถูกกักขังอยู่นอกห้วงแห่งสุขาวดีจริงหรือ

ทว่านี่อาจเป็นความจริงเพราะนับจากมันรับคำสั่งของเทพมารทลายสวรรค์จื่อเซียแล้ว มันยังไม่เห็นนางกลับมาหาเชียนหยิงอีกเลยทั้งๆ ที่นางบอกว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุด ประการสำคัญคือมันยังไม่อยากเชื่อว่ามหาเทพชางเล่ยร่วงหล่น แม้มีความเป็นไปได้แต่มันยังไม่อยากเชื่อเช่นนั้น

อู๋เชียนหยิงนั่งร้องไห้อยู่หลังพุ่มไม้เนิ่นนาน

“เชียนหยิง” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น นางเหลียวหน้าไปมองอย่างตกใจ จึงค่อยพบว่าเป็นอัครเสนาบดีอู๋ซิงว่าน บิดาบุญธรรมของนาง เขานั่งอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้

“เจ้าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครรังแกเจ้า?” เขาทอดเสียงถามบุตรสาวอย่างอ่อนโยน วงแขนอบอุ่นดึงร่างนางมากอดไว้อย่างปลอบประโลม

นางส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว “ไม่...ไม่มีเจ้าค่ะ...ไม่มีใครรังแก...”

“แล้วร้องไห้ทำไม? พ่อมาถึงข้างกายเจ้าครู่ใหญ่ เจ้ายังไม่รู้สึกตัว ยังนั่งร้องไห้อยู่”

“ลูก...ไม่ทราบ...”

“ไม่เป็นไร ร้องไห้เสียให้พอ แล้วอย่าร้องไห้อีก”

สิ้นประโยคนี้ อู๋เชียนหยิงก็เปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอยู่กับอกของอู๋ซิงว่าน มือใหญ่ลูบหลังนางอย่างปลอบประโลม ผ่านไปอีกครู่ใหญ่นางจึงสามารถหยุดร้องไห้ได้ หากนางก็ร้องไห้จนหลับไป อู๋ซิงว่านอุ้มอู๋เชียนหยิงให้นางซบหลับกับตัวเขาก่อนจะก้มลงหยิบตะกร้าที่ใส่เสี่ยวเฮย ทว่าเสี่ยวเฮยมิได้นั่งในตะกร้าหากเดินเคียงข้างมาเงียบๆ

กลับมาถึงจวนจึงพบว่าฮูหยินเอกหวงจิ้งหรงนั่งรออยู่ เมื่อเห็นสามีอุ้มบุตรสาวที่หลับสนิทเข้ามาก็ต้องแปลกใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel