ตอนที่สี่ การแสดง
ตอนที่สี่
การแสดง
“ในเมื่อน้องเจ็ดมาแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มการแสดงเถอะ” คราวนี้องค์ชายสามเป็นคนเอ่ย ซ่งชิงเหม่ยจึงต้องหยุดคิดชั่วคราวพลางเอ่ยขอไม้พลองเบาจากขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์การแสดง
ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนลานกว้าง หญิงสาวในชุดสีเข้มรัดกุมยกมือขึ้นร่ายรำด้วยพลองไม้เรียวสองอันซึ่งคล้ายเป็นเพียงของเล่นที่หมุนวนสลับไปมาสอดประสานกับเสียงกลองที่ตีให้จังหวะช้าๆ
ไม่ทันไรการขยับกลับเต็มไปด้วยพลังที่เร็วและแรงขึ้นเร่งให้คนตีกลองต้องลงมือตีอย่างรวดเร็วตามไปด้วย
เสียงพลองที่แหวกอากาศในจังหวะหมุนตัว ก้าวเท้า และกระโดดพลิ้วราวกับนกนางแอ่นผสานกับเสียงทุ้มของกลองเรียกความสนใจและตื่นระทึกจนทุกผู้คนต้องมองตามโดยไม่อาจคลาดสายตา
ซ่งชิงเหม่ยเคลื่อนไหวคล่องแคล่วทะมัดทะแมง หญิงสาวใช้ไม้พลองไล่ฟาดเงาในอากาศ ตีลังกาพลิ้วตัวในจังหวะที่เหมาะสมก่อนจะลงสู่พื้นเบาๆ คล้ายขนนกที่ปลิวร่อนลงอย่างนุ่มนวล
ปลายเท้าเล็กกระทบพื้นเพียงแผ่วเบาแต่มั่นคงเส้นผมยาวสยายหยอกล้อกับแสงจันทร์ ท่ารำอันอ่อนช้อยเน้นความโค้งมนอ่อนโยน บางครากลับพลิ้วไหวดั่งคลื่นน้ำ แต่บางจังหวะกลับฉายชัดถึงความแม่นยำและความเด็ดขาดในการโจมตีทำให้ทุกสายตาไม่อาจละไปจากร่างบอบบางที่เคลื่อนไหวไม่หยุด
ทันใดนั้นเอง ร่างในชุดสีเข้มกลับหมุนตัวเป็นวงกว้าง กวาดไม้พลองในมือลงไปกระแทกกับโต๊ะข้างหน้าของซ่งชิงหลินเสียงดัง ปัง! ทำเอาทุกคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มคล้อยตามเผลอสะดุ้งโหยง
คิดจะหักหน้านางเช่นนั้นหรือ
ข้ายังไม่ได้เอาคืนที่วางยาเลยด้วยซ้ำ
แม่ลูกสกุลซ่งสะดุ้งสุดตัวจนแทบหงายหลังเผลอส่งเสียงอุทานน่าอายออกมา กว่าจะรู้สึกตัวรีบขยับนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเดิมก็ขายหน้าจนไม่กล้าเงยแล้ว
ซ่งชิงเหม่ยเห็นดังนั้นจึงแสร้งออกปาก
“ขอโทษด้วย มือของข้าไร้เรี่ยวแรงไปหน่อย” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหมายแฝง ทั้งสายตาคมกริบและมุมปากที่ยกขึ้นเยาะหยันเล็กน้อยก่อนร่างบางจะหมุนไม้พลองกลับขึ้นมาประคองไว้กลางฝ่ามืออีกครั้งอย่างสง่างามโดยไม่ได้เป็นที่ผิดสังเกตของคนอื่นนอกจากคนที่อยู่ใกล้เช่นบิดาของนาง
เมื่อเริ่มเมื่อยแขนซ่งชิงเหม่ยจึงตัดสินใจวางพลองทั้งสองลงหันมาใช้เพียงมือเปล่า ท่าทางของหญิงสาวเริ่มแฝงความเย้าแหย่ทั้งลูบไล้ไปตามสัดส่วนของตนเองด้วยความร้อนรุ่มจากพิษกำหนัดยังคงค้างอยู่
องค์ชายเจ็ดเข้าใจในท่าทางปาดป่ายไปตามเนื้อตัวนั้นดีจึงก้าวขาออกมาโอบเอวคอดเข้าหาใช้สองมือประคองหวังร่ายรำร่วมกันโดยเร็วเพื่อรีบจบการแสดง
หญิงสาวหรือจะต้องการความช่วยเหลือ นางหมุนตัวผลักร่างขององค์ชายหนุ่มให้ห่างแล้วยกเท้าสูงไปในทิศที่เขายืนอยู่อย่างตั้งใจ
ต่อหน้าผู้คนมากมาย ยังจะมาเสแสร้งแกล้งกินเต้าหู้นางอีกหรือ
องค์ชายหนุ่มชะงักค้างตัวแข็งทื่อ ตกใจกับเท้าที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันคล้ายจะถีบเขาอีกครั้งก่อนจะหยุดค้างอยู่ไม่ไกล
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันลื่นไปหน่อย”
ซ่งชิงเหม่ยเอ่ยคำขอโทษแล้วรีบหมุนตัวยืนตรงดึงปลายเท้ากลับด้วยความนุ่มนวล ร่างบอบบางก้มโค้งกล่าวคำขอโทษในความผิดพลาดไปโดยรอบอย่างนอบน้อม
องค์ชายเจ็ดไม่ได้เอ่ยคำตอบโต้เพียงหัวเราะหึหึด้วยน้ำเสียงที่ซ่งชิงเหม่ยจดจำได้ดีแล้วเดินกลับไปนั่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพรวดเดียวจนหมด
หญิงสาวขบเม้มปากพยายามหลบสีหน้าไม่พอใจด้วยการออกหมัดร่ายรำต่อไปแต่เรี่ยวแรงที่ส่งออกคล้ายกำลังปลดปล่อยความโมโห
การเคลื่อนไหวต่อเนื่องชวนให้สายตาทุกคู่จับจ้อง ทั้งความอ่อนช้อยงดงามที่ผสานความบอบบางและการใช้จังหวะความพลิ้วไหวเด็ดขาดที่สอดประสานโดยไร้ซึ่งความลังเลสมดั่งชื่อชุดการแสดงที่หญิงสาวตั้งออกมา
