บทที่ 7 ยืมมือเว่ยหยวนไท่จื่อนิดหน่อย
หมั่บ!
“กรี๊ดดด ผี!” มือเล็กยกมือขึ้นปิดหน้า สะดุ้งอย่างแรงพร้อมกับก้าวถอยไปทางด้านหลัง แต่เพราะไม่ทันได้ระวังทำให้นางถอยไปชนกับโต๊ะกลมตัวหนึ่งที่วางอยู่เป็นผลให้คนตัวเล็กหงายหลังทำท่าจะล้มลง หากยังดีที่มีมือหนาคว้าหมั่บไปที่เอวเล็กๆ ของนางเสียก่อนพร้อมกับดึงเข้าหาตัวทำให้หลู่ฟู่หลินตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงนั้นไปโดยปริยาย
“ผีไม่หน้าตาดีเท่าข้าหรอก” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอยู่ข้างใบหูทำให้หลู่ฟู่หลินรีบลดมือลงทันใด แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าของอ้อมแขนนี้เป็นผู้ใด ดวงตากลมโตก็พลันเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม นางรู้สึกตกใจที่เห็นเขายิ่งกว่าเห็นผีตัวจริงเสียอีก!
“ไท่จื่อ! คะ…คารวะไท่จื่อเพคะ” ร่างบางยอบกายลงทำความเคารพทายาทของโอรสสวรรค์ ดวงหน้างามเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ นึกอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆแต่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
แต่เดี๋ยวนะ… นี่เขาเข้ามาได้อย่างไรกัน หญิงสาวส่งสายตามองไปยังประตูพบว่ามันยังคงปิดสนิทเช่นเดิม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปข้างบนจึงได้พบคำตอบ หลังคาของตำหนักร้างถูกเปิดอ้าออกพร้อมกับสายลมวูบใหญ่ที่พัดเข้ามาข้างใน
“เจ้ารู้จักข้า? แล้วเหตุไฉนคราก่อนที่ได้พบเจอกันถึงแสร้งทำเหมือนว่าไม่รู้จักข้าเล่า” คิ้วดาบของเขาเลิกขึ้นด้วยความสงสัย กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นพร้อมกับตวัดสายตามองคนตรงหน้าอย่างคาดคั้น
“เอ่อ… คืนนั้นมันมืดมาก หม่อมฉันเลยจำไท่จื่อไม่ได้เพคะ” หญิงสาวอึกอักพยายามหาเหตุผลล้านแปดมาพูดเพื่อให้เขาเชื่อนาง
“ไท่จื่อปล่อยหม่อมฉันก่อนได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันอึดอัด หายใจไม่ออกแล้วนะ” หลู่ฟู่หลินทำหน้ามุ่ยพยายามดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการแข็งแรง ท่อนแขนของเขาไม่ต่างอะไรไปจากเชือกขนาดใหญ่ที่พันธนาการรอบกายของนางเอาไว้
“เมื่อก่อนเจ้าชอบให้ข้ากอดไม่ใช่หรือ” เว่ยหยวนแค่นเสียงเหอะออกมาในลำคอ หากแต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยนางแต่โดยดี เมื่อเห็นว่ายามนี้นางดิ้นแรงจนเริ่มหอบหายใจสะท้าน จนเขานึกห่วงเกรงว่านางจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน หลู่ฟู่หลินช่างพยศและดื้อดึงยิ่งนัก เขาจะใจร้อนด่วนกำราบนางไม่ได้ จะต้องรับมืออย่างใจเย็นและค่อยเป็นค่อยไป หาไม่นางคงได้หนีเขาไปอีกครั้งเป็นแน่
ทว่าประโยคที่หลุดออกมาจากปากหนาของเว่ยหยวนทำให้หลู่ฟู่หลินนิ่งค้างไปทันใด หญิงสาวเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงเนตรคม ถามด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อก่อน? หมายถึงตอนไหนกัน หม่อมฉันกับไท่จื่อไม่เคยเป็นคนรักกัน ไยไท่จื่อถึงได้พูดจาชวนเข้าใจผิดเช่นนี้ล่ะเพคะ” แสร้งทำเป็นถามเสียงแข็ง หากแต่แววตากลับวูบไหวไปมา ไม่ต่างจากมือบางที่สั่นระริกอย่างคนมีพิรุธทำให้หลู่ฟู่หลินต้องรีบบีบมันเข้าหากัน หวังว่าเขาคงไม่ได้มีความทรงจำในภพชาติเดิมเช่นเดียวกับนางหรอกนะ
เว่ยหยวนส่งสายตามองคนปากแข็งนิ่ง ดูเอาเถิด นางช่างเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเสียจริง ปากหนากระตุกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะกลับไปเรียบเฉยเช่นเดิม แต่ในเมื่อหลู่ฟู่หลินไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ เขาจะแสร้งตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน
“เจ้าเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ไม่รู้หรือว่าฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดย่างกายเข้ามาในตำหนักร้างแห่งนี้” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของนาง แต่เขากลับเปลี่ยนเรื่องแทน ทว่าคำถามของเขาทำให้แววตาของหลู่ฟู่หลินกระด้างขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆอ่อนแสงลงเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก
“ฮึก” ร่างบางสะท้านขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมา
“เจ้าร้องไห้ทำไมกัน” หยดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาคู่งามทำให้คนมองถึงกับใจหล่นวูบ
“หม่อมฉันโดนกลั่นแกล้งเพคะ” น้ำเสียงของนางสั่นไหวทำท่าทางราวกับหวาดกลัวเสียเต็มประดา ยิ่งพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้หยาดน้ำตาไหลทะลักทลายออกมาเกลื่อนไปทั่วใบหน้ายิ่งกว่าเดิม
“ผู้ใดกลั่นแกล้งเจ้า”
หลู่ฟู่หลินลอบยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยด้วยความดีใจ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มที่เอ่ยถาม หลังจากที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันมาในภพชาติเดิมทำให้นางรู้ว่าถึงแม้พระเอกเว่ยหยวนจะเป็นคนแข็งกระด้างและน่ากลัว ทว่านอกจากใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีนั่นคือเขาเป็นคนที่มีความยุติธรรมอยู่มาก สมกับที่เป็นทายาทของเว่ยจิงหลงฮ่องเต้
“หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อมาร่วมงานเลี้ยงน้ำชาขององค์หญิงไป๋หลัน หากแต่คุณหนูสกุลมู่ คุณหนูเริ่นและคุณหนูเจียงซูถิง รวมถึงองค์หญิงไป๋หลันกลับวางแผนกลั่นแกล้งหม่อมฉันเพคะ” หลู่ฟู่หลินยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แสร้งทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารที่สุดเพื่อหวังให้เขาเห็นใจ เพราะถ้าหากนางทำสำเร็จ นอกจากจะไม่โดนลงโทษที่ขัดพระกระแสรับสั่งของเว่ยจิงหลงฮ่องเต้แล้ว นางยังจะได้แก้แค้นบรรดาคุณหนูทั้งสามตระกูลรวมถึงองค์หญิงไป๋หลันอีกด้วย
‘งื้ออ หลู่ฟู่หลินฉลาดยิ่งนัก ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องภาคภูมิใจในตัวของนางมากแน่ๆ’ หญิงสาวคิดอย่างกะหยิ่มยิ้มย่องในใจ
“เจ้าไม่ได้โกหกข้า?” เว่ยหยวนหรี่สายตาให้แคบลงมองคนตัวเล็กอย่างจับผิด
“หม่อมฉันจะโกหกไท่จื่อไปทำไมกันเพคะ ให้ไปสาบานที่ไหนก็ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นหม่อมฉันเป็นเพียงแค่เหยื่อ ไท่จื่อต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ ฮืออ” หลู่ฟู่หลินส่ายหน้าหวือ แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงจับจ้องมองมายังนางด้วยแววตาลังเลจับผิด นางจึงแกล้งเปล่งเสียงร้องไห้ให้ดังมากขึ้นกว่าเดิม
“อย่าร้องไห้ ข้าไม่ชอบเห็นใครทำตัวอ่อนแอ” น้ำเสียงที่เคยแข็งกระด้างอยู่เป็นนิตย์อ่อนลงทันใด มือหนายกขึ้นหมายจะวางลงบนเรือนผมนุ่ม หากแต่เขากลับหยุดชะงักค้างไว้ที่กลางอากาศเสียก่อน ในตอนที่นางหันมา เขาก็รีบวางมือลงเช่นเดิม
หากแต่สำหรับคนฟังแล้ว วาจาของเขาไม่ต่างอะไรจากคำขู่เลยแม้แต่น้อย เขาพูดราวกับว่าเสียงร้องไห้ของนางทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างใดอย่างนั้นแหละ ใช่สิ… ในภพชาติเดิม นางเคยเสียน้ำตาให้เขานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะสนใจ หลู่ฟู่หลินไม่แปลกใจหรอก เพราะนางรู้เหตุผลดีว่าเขาไม่เคยรักนางอย่างไรเล่า
“ออกไปได้แล้ว หากมีผู้ใดมาเห็นเข้า เจ้าจะเดือดร้อนเอาได้”
“หม่อมฉันจะออกไปได้อย่างไรหรือเพคะ ประตูปิดอยู่เช่นนั้นน่ะ” หญิงสาวบุ้ยหน้าไปที่ประตู นางไม่ได้มีวิทยายุทธอย่างเขานี่ที่จะใช้วิชาตัวเบากระโดดไปไหนต่อไหนได้ตามใจ หากแต่ไม่นานความสงสัยของหลู่ฟู่หลินก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อเว่ยหยวนคว้าคนตัวเล็กมาอุ้มแนบอกในท่าเจ้าสาว หลู่ฟู่หลินเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยวาจาใดออกมา เขาก็พานางกระโดดหายออกไปจากหลังคา ท่ามกลางเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความตกใจของหลู่ฟู่หลิน
ร่างบางแทบจะยืนทรงตัวไม่ไหว ทันทีที่เท้าของนางแตะลงบนพื้นหญ้า เมื่อครู่นี้นางรู้สึกได้ว่าตัวของนางกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศและลงมาหยุดอยู่บนพื้นเพียงเสี้ยววินาที ทุกอย่างเกินขึ้นอย่างรวดเร็วจนนางตั้งตัวแทบไม่ทัน ยามนี้จึงรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาหน่อยๆจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก
“เป็นอะไรไป” เว่ยหยวนขยับเข้ามาใกล้คนตัวเล็ก แววตาของเขาอ่อนแสงลง เมื่อเห็นนางยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับวิ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่
“หม่อมฉันเวียนศีรษะนิดหน่อยเพคะ”
“ข้าจะพาเจ้าไปพัก” ร่างสูงย่อกายหมายจะอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอีกหน หลู่ฟู่หลินรีบยกมือดันแผงอกหนั่นแน่นของเขาไว้เสียก่อน
“พักที่ใดหรือเพคะ”
“ตำหนักของข้า”
หลู่ฟู่หลินอ้าปากค้างอย่างอึ้งๆ เขาพูดราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ นางอยากรู้นักว่าเขาชวนสตรีอื่นไปพักที่ตำหนักเช่นนี้ทุกคนเลยหรือไม่
“ไม่เอาหรอก! คือว่าหม่อมฉันหายดีแล้ว ไม่กล้ารบกวนไท่จื่อหรอกเพคะ” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมส่งสายตามองค้อนขวับใส่อย่างลืมตัว ท่าทางราวกับคนแง่งอนของนางทำให้คนมองรู้สึกพอใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าไม่เคยชวนผู้ใดไปที่ตำหนักเหมือนที่กำลังชวนเจ้าหรอก”
เว่ยหยวนตอบหน้าตาเฉย กลับทำให้หลู่ฟู่หลินตกใจไม่น้อย เขารู้ได้อย่างไรกันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ราวกับเข้ามานั่งอยู่ในใจของนางอย่างไรอย่างนั้นแหละ น่ากลัวยิ่งนัก!
“ข้าไม่ชอบเห็นผู้ใดโดนรังแก เรื่องที่เกิดขึ้น ข้าจะจัดการตามสมควร” กล่าวจบร่างสูงก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่หลู่ฟู่หลินกลับวิ่งไปขวางหน้าเขาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนเพคะ ไท่จื่อบอกเองว่าฝ่าบาทมีพระกระแสรับสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดย่างกายเข้ามาในตำหนักร้าง แล้วไท่จื่อเสด็จมาที่นี่ทำไมกันเพคะ” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย ทว่าคำถามของนางกลับทำให้คนตัวโตเงียบไป ขณะที่หลู่ฟู่หลินจับจ้องเข้าไปในดวงตาของเขานิ่ง เว่ยหยวนไท่จื่อทำเหมือนกับรู้ว่านางโดนกลั่นแกล้งและจงใจมาปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือนาง
“ข้า…” ปากหนาของเขาเปิดขึ้น แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็หุบลงไปเช่นเดิม
“ข้าอะไรหรือเพคะ ไท่จื่อมีเรื่องใดที่อยากพูดหรือเพคะ” หลู่ฟู่หลินถามอย่างคาดคั้น นางรู้สึกสงสัยในตัวของเขาไม่น้อย ใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าเขาจงใจเข้าหานาง หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้สึกหวั่นใจ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะมีความทรงจำในภพชาติเดิมเช่นเดียวกันกับนาง แต่นางจะยังไม่ปักใจเชื่อจนกว่าจะได้ยินจากปากของเขาเอง
ขณะที่ดวงตาคมกริบก็จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เว่ยหยวนค่อยๆขยับก้าวเข้ามาประชิดหลู่ฟู่หลิน ใบหน้าหล่อเหลาก้มต่ำลงมาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของกันและกัน
‘เขาจะจูบนางหรือ!’ หลู่ฟู่หลินคิดด้วยความตกใจ เมื่อยามนี้ปากหยักของเขาเคลื่อนมาใกล้เรียวปากของนางทุกทีๆแล้ว
