บทที่ 6 ตำหนักร้างของเมียวเฟย
องค์หญิงไป๋หลันพาทุกคนเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าตำหนักร้างหลังหนึ่งที่สูงราวตึกหนึ่งชั้นและสร้างจากไม้ ดูเหมือนว่าตำหนักแห่งนี้จะถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีใครเข้ามาดูแล ทำให้มีต้นไม้รกครึ้มเพิ่มความวังเวงให้กับตำหนักหลังเก่าขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“น่ากลัวจังเลยเพคะองค์หญิง” เริ่นเหอรีบหลบเข้าไปยืนอยู่ข้างหลังของมู่หลิว แอบชำเลืองสายตามองไปยังตำหนักไม้หลังเก่า บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจที่แผ่วเบา
“ผีจะออกมาหลอกพวกเราหรือไม่” มู่หลิวเองก็รู้สึกหวาดกลัวไม่แพ้กัน หลังจากพูดจบนางก็หันไปกอดกับเริ่นเหอ ในยามที่สายลมพัดโชยมาทำให้ขนแขนของนางลุกชันขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
“เรื่องที่บอกว่ามีผีหรือไม่มีนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่ที่แน่ๆข้างในตำหนักนั้นมีรูปปั้นทองคำของเมียวเฟยอยู่ ข้าอยากได้มันมาก อยากเห็นด้วยตาสักครั้งว่ามันเป็นอย่างไร มีใครจะอาสาเข้าไปเอามาให้ข้าดูหรือไม่” องค์หญิงไป๋หลันหวนนึกไปถึงเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆกันมา เมียวเฟยคืออดีตสนมของเว่ยจื่อฮ่องเต้ ซึ่งเป็นพระปัยกา (ทวด) ของเว่ยจิงหลงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหรือพระบิดาของนาง เรื่องนี้ผู้คนเล่าขานสืบต่อกันมาได้เกือบร้อยปีแล้ว หากแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปเอารูปปั้นทองคำนั้นเลยสักคน
“พวกหม่อมฉันไม่กล้าเพคะ” มู่หลิวกับเริ่นเหอตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายพร้อมกับส่ายหน้าหวือ
“หม่อมฉันคิดว่าเราควรฟังเสียงส่วนมากดีหรือไม่ว่าต้องการเลือกให้ผู้ใดเข้าไปข้างในนั้น“ เจียงซูอี้เสนอความเห็น ทั้งเริ่นเหอกับมู่หลิวต่างพากันพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนที่ทุกคนจะหันมามองหลู่ฟู่หลินเป็นตาเดียว
“หม่อมฉันจะไม่เข้าไปข้างในนั้นเพคะ” หลู่ฟู่หลินส่ายศีรษะไปมา ใช่ว่านางจะกลัวเรื่องผีไร้สาระที่ทุกคนพูดถึง หากแต่นางจะเข้าไปข้างในทำไมกัน ในเมื่อนางไม่ได้อยากมาที่นี่ตั้งแต่แรก
“แต่ทุกคนเลือกคุณหนูฟู่หลินแล้ว จะกลับคำได้อย่างไรกัน” เริ่นเหอมองหลู่ฟู่หลินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ทหารที่วังหลวงก็มีตั้งมากมาย เหตุใดองค์หญิงไป๋หลันถึงไม่ให้พวกเขาเข้าไปล่ะเพคะ” หลู่ฟู่หลินหันมาถามองค์หญิงไป๋หลันอย่างไม่กลัวเกรง นางเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะ เสียเวลากับเรื่องไร้สาระชะมัดเลย!
“คุณหนูฟู่หลินไม่รู้หรือว่าเว่ยจิงหลงฮ่องเต้ทรงรับสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปข้างในหรือเข้าใกล้ตำหนักร้างนี่เป็นอันขาด เพียงแค่องค์หญิงไป๋หลันพาพวกเรามายืนอยู่ที่นี่ก็ถือว่ามีความผิดแล้ว คุณหนูฟู่หลินอยากให้องค์หญิงไป๋หลันกับทุกคนเดือดร้อนหรือ” เจียงซูอี้แย้งขึ้น ไม่พอใจที่หลู่ฟู่หลินกล้าปฏิเสธไม่เข้าไปในตำหนักร้างต่อหน้าของทุกคน
“หากเป็นพระกระแสรับสั่งของเว่ยฮ่องเต้ เราทุกคนก็ควรที่จะต้องปฏิบัติตาม จะฝืนคำสั่งไปเพื่ออะไรกัน” หลู่ฟู่หลินตอบกลับเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“ข้าไม่รู้ว่าทุกคนไปฟังวาจาของผู้ใดมาถึงได้มีท่าทางไม่ชอบข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ทั้งๆที่ข้าไม่เคยไปทำอะไรให้ใครมาก่อน แต่เรื่องนั้นก็ช่างเถิด ข้าคงไม่สามารถห้ามความปากพล่อยของใครได้ ส่วนคนเชื่อถ้าไม่รู้จักใช้สมองกลั่นกรองสักแต่จะเชื่อคำพูดของคนอื่น ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรมาอธิบาย”
ดวงตากลมโตจดจ้องไปยังเจียงซูอี้อย่างรู้ทัน เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าบรรดาคุณหนูสกุลอื่นๆมีท่าทีชิงชังนางเป็นเพราะฝีมือของผู้ใด คงจะเป็นจริงดั่งในความฝัน วิญญาณของหญิงสาวผู้มาจากศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างของเจียงซูอี้ นางคงจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิยายหมดแล้วจึงรีบชิงลงมือปั่นหัวของทุกคนรวมถึงองค์หญิงไป๋หลันให้เกลียดนางเสียก่อน
“องค์หญิงไป๋หลันเพคะ งานเลี้ยงน้ำชาวันนี้ไม่เหมือนที่หม่อมฉันคิดเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญหม่อมฉันจะไม่ขัดพระกระแสรับสั่งของเว่ยจิงหลงฮ่องเต้เป็นอันขาด หม่อมฉันขอตัวกลับก่อนนะเพคะ” ในเมื่อได้พูดแล้ว หลู่ฟู่หลินจึงไม่คิดที่จะไว้หน้าผู้ใดอีก หญิงสาวพูดความในใจออกมาจนหมดเปลือกและยอบกายคารวะองค์หญิงสูงศักดิ์เร็วๆ หมุนกายหันหลังทำท่าจะก้าวเดินจากไป
องค์หญิงไป๋หลัน เริ่นเหอ มู่หลิว และเจียงซูอี้หันมาสบตากัน ก่อนที่องค์หญิงไป๋หลันจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้ทุกคน จากนั้นเริ่นเหอกับมู่หลิวก็วิ่งไปดักหน้าของหลู่ฟู่หลินเอาไว้ ก่อนที่พวกนางจะพร้อมใจกันลากหลู่ฟู่หลินตรงไปยังประตูตำหนักร้างที่ยามนี้มันเปิดอ้าออกด้วยฝีมือของเจียงซูอี้
“พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ!” หลู่ฟู่หลินร้องโวยวาย ขณะที่ชิงชิงก็รีบปรี่เข้ามาหมายจะช่วยเจ้านาย หากแต่บรรดาสาวใช้ของคุณหนูทั้งสามตระกูลต่างได้เข้ามาขวางนางไว้ก่อน
“คุณหนูฟู่หลินไม่รู้หรือว่าองค์หญิงไป๋หลันไม่ชอบให้ผู้ใดขัดใจ” เจียงซูอี้กระตุกยิ้มจากนั้นจึงออกแรงผลักหลู่ฟู่หลินอย่างแรง ทำให้ร่างบางของนางกระเด็นไปล้มลง หัวเข่าทั้งสองข้างกระแทกพื้นจนรู้สึกเจ็บ
หลู่ฟู่หลินรีบผุดลุกขึ้นหมายจะวิ่งออกไปยังประตู หากแต่เริ่นเหอกลับยื่นมือเข้ามาดึงประตูให้ปิดลงเสียก่อน
“ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” หลู่ฟู่หลินใช้มือทุบไปที่ประตูเสียงดัง พยายามดึงประตูไม้ให้เปิดออก หากแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ดูเหมือนว่ามันจะถูกปิดลงจากทางด้านนอก
เจียงซูอี้มองประตูที่ปิดลงอย่างสมใจ การกำจัดนางร้ายหลู่ฟู่หลินไม่ยากอย่างที่คิดเท่าใดนัก อีกอย่างคนในโลกนี้ก็มีแต่คนโง่งม นางแค่ใช้คำพูดหลอกปั่นหัวเล็กๆน้อยๆ ทุกคนก็พร้อมเชื่อนางจนหมดใจ
“หม่อมฉันไม่อยากทำเช่นนี้เลยเพคะองค์หญิง” เจียงซูอี้หันกลับมาพลางตีหน้าเศร้า น้ำเสียงของนางแผ่วเลือนราง ขณะที่แววตาปรากฏหยดน้ำเคลือบอยู่จางๆ
“ซูอี้ เจ้าอย่าได้รู้สึกผิด เจ้าเป็นคนบอกข้าเองไม่ใช่หรือว่าหลู่ฟู่หลินเป็นคนร้ายกาจ ที่พวกเราทำไปก็เพื่อต้องการสั่งสอนนางเท่านั้น อีกอย่างเราไม่ได้จะขังนางไว้ตลอดไปเสียหน่อย อีกราวสองเค่อข้าจะสั่งให้นางกำนัลมาเปิดประตูให้หลู่ฟู่หลินเอง” องค์หญิงไป๋หลันพูดด้วยพระพักต์เรียบเฉย ไม่ได้ยี่หระต่อสิ่งที่ได้ทำไปแต่อย่างใด ก่อนจะเดินนวยนาดจากไป โดยมีเริ่นเหอกับมู่หลิวก้าวตามไปอย่างติดๆ
เจียงซูอี้ยกยิ้มอย่างสมใจ นางหันไปมองบานประตูไม้ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายหันหลังเดินจากไปอีกคน ไม่สนใจต่อเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหลู่ฟู่หลินที่ดังขึ้นอยู่หลังบานประตู
หลู่ฟู่หลินทุบประตูจนรู้สึกเจ็บมือไปหมด เมื่อรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงนางจึงเลิกทำ ร่างบอบบางหมุนกายหันกลับมามองไปบริเวณรอบๆอย่างสำรวจ แม้ว่าภายนอกของตำหนักจะดูเก่าทรุดโทรมและน่ากลัว หากแต่ภายในยังดูสะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้ยังคงจัดวางไว้เหมือนเดิม ราวกับว่าในอดีตเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
สายลมที่พัดวูบผ่านช่องไม้ของประตูที่ผุพังทำให้หลู่ฟู่หลินรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น นางไม่ได้กลัวผีหรือสิ่งเร้นลับอย่างที่บรรดาคุณหนูทั้งหลายพูดถึงหรอก ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวันแท้ๆ นางมั่นใจว่าผีสางพวกนั้นคงไม่ออกมาหลอกหลอนในตอนกลางวันหรอก
หลังจากที่เดินสำรวจไปรอบๆตำหนัก หลู่ฟู่หลินพบว่านอกจากประตูบานนั้นก็ไม่มีทางออกอื่นใดอีกแล้ว หน้าต่างทุกบานถูกปิดสนิททำให้นางไม่สามารถเปิดมันออกได้เลย สุดท้ายหลู่ฟู่หลินจึงถอดใจ นางรู้ว่าองค์หญิงไป๋หลันคงไม่คิดที่จะขังนางไว้ที่นี่ตลอดไปหรอก องค์หญิงไป๋หลันไม่ใช่คนร้ายกาจถึงกับคิดมุ่งหมายเอาชีวิตของผู้ใด อย่างมากก็คงขังนางไว้สักระยะเท่านั้น แต่ถ้าเป็นหญิงสาวที่มาจากยุคศตวรรษที่ 21 ที่วิญญาณของนางได้เข้ามาอยู่ในร่างของนางเอกเจียงซูอี้นั้นก็ไม่แน่
หลู่ฟู่หลินเคยได้ยินว่าบุตรสาวสกุลเจียงผู้นี้มีร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก มักจะเจ็บป่วยเมื่อโดนอากาศเย็น หลายเดือนก่อนในยามที่เหมันตฤดูมาเยือน เจียงซูอี้ได้ล้มป่วยหนัก อาการทรุดลงอย่างน่าใจหายจนคนสกุลเจียงคิดว่านางจะไม่รอดเสียแล้ว ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน หลู่ฟู่หลินก็ได้ยินข่าวคราวว่าอาการของเจียงซูอี้นั้นดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ สามารถลุกขึ้นมาเดินเหินใช้ชีวิตได้เป็นปกติราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน คนสกุลเจียงดีใจเป็นอย่างมาก ทว่าไม่มีใครรู้ความจริงว่าเจียงซูอี้ตัวจริงนั้นได้จากไปแล้วต่างหาก
“ช่างเถิด คิดหรือว่าขังข้าไว้ที่นี่จะทำอะไรข้าได้” หญิงสาวยักไหล่ขึ้นเบาๆ ไม่ยี่หระต่อการที่โดนกลั่นแกล้ง หนนี้จะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้านางออกไปได้เมื่อไหร่จะคิดบัญชีล้างแค้นรายตัวเลย คอยดูสิ!
องค์หญิงไป๋หลันก็องค์หญิงไป๋หลันเถอะ ท่านพ่อหลู่อวี้โจวสอนเสมอว่าหากใครดีมาก็ให้ดีตอบ แต่ถ้าหากใครร้ายมาก็อย่าไปยอม ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม
หลู่ฟู่หลินเป็นบุตรสาวที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาเป็นอย่างดีเสียด้วยสิ หากไม่ได้แก้แค้นอย่ามาเรียกนางว่าเป็นบุตรสาวของท่านหลู่กั๋วกงก็แล้วกัน! หญิงสาวคิดอย่างหมายมาด ฉับพลันร่างเล็กก็ต้องสะดุ้งโหยงขึ้นอย่างแรงด้วยความตกใจ เมื่อมีมือของใครบางคนวางลงบนไหล่บอบบางของนาง
