บทที่ 5 งานเลี้ยงจิบน้ำชา
หลู่ฟู่หลินมาถึงลานสวนอุทยานข้างตำหนักหมี่ซวงได้ทันเวลาอย่างเฉียดฉิว ครั้นเมื่อทหารที่ยืนอารักขาทางเข้าเห็นหลู่ฟู่หลิน พวกเขาก็เปิดทางให้นางเข้าไปเพราะรู้ว่านางนั้นมาร่วมงานเลี้ยงจิบน้ำชากับองค์หญิงไป๋หลัน หากแต่ในตอนที่ติงหัวกำลังจะก้าวเดินตามไปกับเจ้านายสาว ทหารอารักขาความปลอดภัยทั้งสองคนก็ได้ปิดทางเข้าออกเสียก่อน
ติงหัวย่นคิ้วเข้าหากันมองทหารทั้งสองนายด้วยความไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดพวกทหารถึงไม่ยอมให้เขาตามไปอารักขาความปลอดภัยของคุณหนู
“ติงหัวเป็นองครักษ์ของข้า” หลู่ฟู่หลินเองก็เช่นกัน นางหยุดฝีเท้าลงและหันกลับมาเอ่ยกับทหารอีกหน หวังให้พวกเขาเปิดทางให้ติงหัวติดตามนางเข้าไปข้างในด้วย
“ต้องขออภัยคุณหนู ตำหนักหมี่ซวงถือเป็นพื้นที่ของวังหลัง หากไม่ได้รับอนุญาต บุคคลภายนอกห้ามเข้า” ทหารนายหนึ่งเป็นผู้เอ่ยปากตอบหลู่ฟู่หลิน
“แต่ติงหัวเป็งผู้ติดตามของข้า อีกทั้งข้ายังเป็นแขกขององค์หญิงไป๋หลัน เหตุใดติงหัวถึงติดตามเข้าไปไม่ได้เล่า” หลู่ฟู่หลินแย้งขึ้นอีกหน หากแต่ทหารนายนั้นยังคงยืนกรานด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นเช่นเดิม และดูเหมือนว่าครานี้น้ำเสียงของเขาจะเริ่มเจือไปด้วยความไม่พอใจอีกด้วย
“คุณหนูเป็นแขกขององค์หญิงไป๋หลันย่อมเข้าไปข้างในได้ แต่องครักษ์ของคุณหนูไม่ใช่ ฉะนั้นห้ามเข้าไปข้างในโดยเด็ดขาด!”
“ได้อย่างไรกัน ติงหัวกับข้าล้วนเป็นผู้ติดตามของคุณหนูฟู่หลิน พวกท่านอนุญาตให้ข้าติดตามคุณหนูเข้าไปได้แล้วเหตุใดต้องห้ามติงหัวด้วยเล่า” ชิงชิงช่วยเถียงอีกคน ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นเขตพื้นที่ภายในวังหลวง แต่กระนั้นความปลอดภัยของหลู่ฟู่หลินย่อมต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ไยจะต้องห้ามไม่ให้ติงหัวติดตามเข้าไปดูแลคุณหนูหลู่ฟู่หลินด้วยเล่า
“เป็นคำสั่งขององค์หญิงไป๋หลัน หากคุณหนูไม่เชื่อก็ลองไปถามองค์หญิงเถิด” ทหารอีกคนกล่าวบ้าง หลู่ฟู่หลินคิดว่าพวกเขาคงไม่ยอมปล่อยให้ติงหัวเข้ามาอย่างแน่นอน แม้จะแปลกใจแต่นางก็ยังคิดว่าผู้ติดตามของคุณหนูสกุลอื่นๆก็คงถูกห้ามเหมือนกัน อีกทั้งงานเลี้ยงน้ำชาก็คงใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก
“ติงหัวเจ้ารออยู่ข้างนอก” หลู่ฟู่หลินหันไปสบตากับองครักษ์หนุ่ม ติงหัวจึงตอบรับคำเจ้านายอย่างจำใจ เขามีหน้าที่อารักขาดูแลความปลอดภัยของคุณหนูหลู่ฟู่หลิน หากหลู่กั๋วกงรู้เข้าว่าเขาปล่อยให้คุณหนูคลาดสายตาคงได้โดนตำหนิเป็นแน่
“อย่าได้เป็นกังวล ข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อฟังเอง” หญิงสาวรู้ว่าติงหัวหวาดกลัวเรื่องใด ในสายตาของคนอื่นท่านพ่อหลู่กั๋วกงของนางเป็นคนดุ ทำให้ทุกคนเกรงกลัวเขาเป็นอย่างมาก
“ขอรับคุณหนู”
เป็นเพราะยืนเถียงกับทหารอารักขาความปลอดภัยทางเข้าเรื่องติงหัวอยู่นานสองนาน ทำให้ในตอนที่หลู่ฟู่หลินเดินเข้ามาถึงลานข้างตำหนักหมี่ซวง ก็ได้เลยเวลานัดหมายไปเกือบหนึ่งถ้วยชาแล้ว
ทว่าทันทีที่เดินเข้าไปถึงจึงได้พบว่าองค์หญิงไป๋หลันและคนอื่นๆได้เดินทางมาถึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีเจียงซูอี้นั่งรวมอยู่ด้วย หนนี้เป็นครั้งแรกที่หลู่ฟู่หลินได้พบเจอกับแม่นางเอก ทว่าการที่ได้พบกันในครั้งนี้ทำให้หลู่ฟู่หลินอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ตามเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภพชาติเดิม เจียงซูอี้ไม่ได้รับจดหมายเทียบเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงดื่มน้ำชาขององค์หญิงไป๋หลัน
‘เจียงซูอี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน’ หญิงสาวครุ่นคิดด้วยความสับสน อีกทั้งยังรับรู้ได้ถึงสายตาแปลกๆของทุกคนที่กำลังมองมายังนางอีกด้วย
“เมื่อเช้าคุณหนูฟู่หลินตื่นสายหรือ” คุณหนูสกุลเริ่นผู้มีนามว่าเริ่นเหอเป็นผู้กล่าวถาม หากแต่น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความประชดประชันจนหลู่ฟู่หลินรู้สึกได้
“ระหว่างที่กำลังเดินทางมายังวังหลวง มีเรื่องเกิดขึ้นเล็กน้อย หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยองค์หญิงไป๋หลันที่มาสายเพคะ” หลู่ฟู่หลินไม่ได้สนใจต่อสายตาหรือวาจาประชดประชันของคนอื่น ทว่านางกลับยอบกายคารวะองค์หญิงไป๋หลัน สตรีหงส์เพียงแค่ยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมาทำให้หลู่ฟู่หลินจำต้องยืนก้มหน้าลงอยู่นานสองนาน จนนางรู้สึกปวดคอไปหมด ก่อนที่องค์หญิงไป๋หลันจะกล่าวขึ้น
“คุณหนูฟู่หลินขึ้นมานั่งเถิด”
“เพคะ” หลู่ฟู่หลินรีบเงยหน้าขึ้นทันใด ขณะที่ทุกคนส่งสายตามองมายังนาง บางคนมีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นที่มุมปาก ซึ่งหลู่ฟู่หลินเองก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก นางมาสายเพียงแค่เสี้ยวนาทีทำให้ทุกคนไม่ชอบใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ แต่ก็อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ว่าทุกคนไม่พอใจเพราะนางมาสาย หรือมีใครพูดจาให้ร้ายนางในระหว่างที่นางยังเดินทางมาไม่ถึงที่นี่กันแน่ ทุกคนถึงมีท่าทีจงเกลียดจงชังนางเช่นนี้
หลู่ฟู่หลินหย่อนกายลงนั่งไปยังที่ว่างซึ่งบรรดาคุณหนูต่างพากันขยับให้ราวกับจงใจให้นางได้นั่งข้างองค์หญิงไป๋หลัน
“คนสกุลหลู่คงเลี้ยงดูคุณหนูฟู่หลินมาแบบตามใจสินะ คุณหนูฟู่หลินถึงกล้าทำตัวเสียมารยาท โดยไม่เกรงพระทัยองค์หญิงไป๋หลัน” มู่หลิวตวัดสายตามองไปยังหลู่ฟู่หลิน ขณะที่คนถูกพาดพิงพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ พลางบอกให้ตัวเองใจเย็นๆไม่ให้ยกจอกชาขึ้นกรอกปากของคุณหนูสกุลมู่เสียก่อน
“หรือว่าหลู่กั๋วกงกับหยางฮูหยินไม่มีเวลาสั่งสอนคุณหนูฟู่หลิน” เริ่นเหอกล่าวจบก็แสร้งทำเป็นปิดปากทำหน้าตาตื่นตกใจเสียเต็มประดา ราวกับว่านางไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนั้น
ปึง!
ครานี้ความอดทนของหลู่ฟู่หลินขาดผึงลงทันใด มือบางตบลงบนโต๊ะเสียงดัง จนบรรดาคุณหนูทั้งสามคนต่างพากันสะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความตกใจ
“อย่าลามปามท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า!” หลู่ฟู่หลินตวัดสายตาหันไปมองเจ้าของวาจานั้น ราวกับว่าสายตาของนางเป็นดั่งมีดคมเพราะมันทำให้คนถูกมองใจหายวาบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไม่นึกว่าหลู่ฟู่หลินจะกล้าใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างต่อหน้าขององค์หญิงไป๋หลัน
“ตายจริง! ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ” เริ่นเหอยกมือขึ้นทาบอก หันไปสบตากับองค์หญิงไป๋หลันด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยหยดน้ำสีใสที่ปรากฏขึ้นในหน่วยตา หวังจะให้องค์หญิงไป๋หลันปกป้องนางจากหลู่ฟู่หลินที่กำลังใช้สายตาจ้องมายังนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เจียงซูอี้เห็นว่าองค์หญิงไป๋หลันไม่เอ่ยวาจาใดออกมา นางจึงทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย หันไปบีบมือของเริ่นเหออย่างให้กำลังใจ
“คุณหนูฟู่หลินใจเย็นๆก่อนเถิด คุณหนูเริ่นเหอไม่ได้ตั้งใจพูดถึงหลู่กั๋วกงกับหยางฮูหยินเช่นนั้นหรอก คุณหนูโปรดเห็นแก่พระพักตร์ขององค์หญิงไป๋หลันด้วย” เจียงซูอี้กล่าวเสียงเรียบ แต่แววตากลับฉายถึงความสะใจอยู่หลายส่วน หากนางรีบกำจัดนางร้ายหลู่ฟู่หลินได้ นางก็จะได้พลิกบทบาทจากนางร้ายเปลี่ยนมาเป็นนางเอกได้เร็วขึ้น ตอนจบของนางร้ายนั้นคือความตาย คนที่ได้ครองคู่กับพระเอกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางเอก ฉะนั้นแล้ว นางจะไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป
อันที่จริงนางเอกเจียงซูอี้ไม่ได้รับจดหมายเทียบเชิญมางานเลี้ยงน้ำชาขององค์หญิงไป๋หลันหรอก แต่เป็นเพราะในยุคศตวรรษที่ 21 โลกเดิมที่เลี่ยงจิ่งได้จากมา นางได้อ่านนิยายจนจบแล้วทำให้รู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปเช่นไร ในนิยายนางร้ายหลู่ฟู่หลินชิงชังนางเอกเจียงซูอี้เพราะเห็นพระเอกเว่ยหยวนเปลี่ยนใจจากนางไปหานางเอก หากแต่ตอนแรกหลู่ฟู่หลินนั้นยังไม่ได้รักใคร่พระเอกเว่ยหยวนหรอก นางเพียงแค่ต้องการได้ยืนข้างกายของเขาในฐานะไท่จื่อเฟยเพื่อปูทางให้ตนได้รับตำแหน่งฮองเฮาเคียงคู่บัลลังก์ของเว่ยหยวนฮ่องเต้ในอนาคตต่างหาก
และเพราะเหตุนี้ นางจึงเกรงว่าหากพระเอกมีใจให้เจียงซูอี้จะทำให้แผนการของนางล่ม ในงานเลี้ยงน้ำชานางจึงพูดจาให้ทุกคนเกลียดชังเจียงซูอี้ หากแต่เลี่ยงจิ่งที่วิญญาณได้มาอยู่ในร่างของเจียงซูอี้ในตอนนี้นั้นไม่ยอมหรอก ก่อนที่องค์หญิงไป๋หลันจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้น นางจึงรีบใช้โอกาสนั้นในการตีสนิทองค์หญิงไป๋หลันเสียก่อน และสุดท้ายนางก็ได้รับจดหมายเทียบเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับองค์หญิงไป๋หลันสมใจ นางจึงชิงพูดจาเป่าหูให้ทุกคนเกลียดชังหลู่ฟู่หลินก่อน ไม่รู้ว่าทุกคนรวมถึงองค์หญิงไป๋หลันนั้นเป็นคนหูเบาหรือแค่โง่กันแน่ เพียงแค่นางใส่สีตีไข่ลงไปนิดๆหน่อยๆ ทุกคนก็พร้อมเชื่อนางจนหมดแล้ว
“เอาล่ะๆ เลิกพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องเถิด ข้าตั้งใจชวนทุกคนมางานเลี้ยงจิบน้ำชาก็เพื่อพูดคุยสนทนากัน ไม่ใช่ให้มาทะเลาะเบาะแว้งกันเช่นนี้” สุดท้ายองค์หญิงไป๋หลันที่นั่งเงียบอยู่นานก็ได้เอ่ยขึ้น วาจาของนางเป็นดั่งคำประกาศิตทำให้ทุกคนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยวาจาใดต่อ
“องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินเรื่องตำหนักร้างหลังตำหนักหมี่ซวง ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างหรือเพคะ” เจียงซูอี้เปิดประเด็นเรื่องตำหนักร้าง วาจาของนางทำให้ดวงตาขององค์หญิงวาววับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่บรรดาคุณหนูจากสกุลอื่นๆก็ให้ความสนใจกับเรื่องที่เจียงซูอี้พูดเป็นอย่างมาก
“นั่นสิเพคะ ที่ตรงนั้นเห็นว่ามีผีดุ แค่คิดหม่อมฉันก็ขนลุกแล้วเพคะ” มู่หลิวทำท่ายกมือขึ้นลูบแขนของตัวเอง กลอกตาไปมาราวกับหวาดกลัวเสียเต็มประดา
“หากพวกเจ้าอยากรู้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดู” องค์หญิงไป๋หลันวางจอกน้ำชาในมือลงพลางผุดลุกขึ้นยืน เยื้องร่างหงส์เดินลงไปจากศาลา ขณะที่หลู่ฟู่หลินไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางเองก็ไม่ได้อยากไปที่นั่นด้วย แต่หากไม่ตามเสด็จองค์หญิงไป๋หลันก็กระไรๆอยู่ สุดท้ายจึงจำต้องลุกขึ้นเดินตามทุกคนออกไปจากศาลาอย่างเสียมิได้
