บทที่ 4 หนีไปซบอกตัวร้ายดีหรือไม่
หลังจากที่หลู่ฟู่หลินขึ้นไปสวดมนต์ไหว้พระและค้างคืนอยู่ที่วัดบนภูเขากับฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมาจนถึงสองวันแล้ว เป็นเพราะตลอดสองวันที่ผ่านมาฝนตกหนักตลอดทั้งวันราวกับพายุเข้าทำให้ถึงแม้ว่าวันนี้ฝนจะหยุดตกไปแล้ว แต่อากาศยังคงเย็นสบาย อีกทั้งดวงอาทิตย์ยังไม่ได้ส่องแสงแรงกล้าจนแสบผิวเหมือนหลายวันที่ผ่านมา
นับจากวันที่ได้พบเจอกับเว่ยหยวนไท่จื่อที่วัดบนภูเขาโดยบังเอิญครานั้น หลู่ฟู่หลินก็ได้ยินข่าวว่าเว่ยหยวนเสด็จกลับมาที่เมืองหลวงหลังจากเดินทางไปศึกษาวิทยายุทธที่เมืองต้าอิงเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องที่เขาบุกรุกมาที่เรือนพักของนางในวันนั้น หลู่ฟู่หลินตัดสินใจเล่าให้มารดาฟัง ทางด้านหยางเสี่ยวเหมยที่ได้ยินเรื่องที่บุตรสาวเล่า นางก็รู้สึกตกใจไม่น้อย ทว่ายังคงบอกให้หลู่ฟู่หลินเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ทำราวกับว่ามันไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้ และเกรงว่าชื่อเสียงของหลู่ฟู่หลินจะเสียหายเอาได้
บุรุษกับสตรีอยู่ร่วมกันสองต่อสองในห้อง หากมีใครรู้เข้าคงได้นำไปพูดกันอย่างสนุกปากเป็นแน่
“หลินเอ๋อร์ตื่นได้แล้ว อย่าขี้เซานักเลยลูก ลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้เจ้ามีเรื่องที่ต้องทำ” เสียงของมารดาที่ดังขึ้นทำให้คนที่นอนเกลือกกลิ้งไปมาด้วยความขี้เกียจอย่างหลู่ฟู่หลินค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น ที่หน้าประตูปรากฏร่างระหงของหยางเสี่ยวเหมยกำลังเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ที่จวนนี้ท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยมีอำนาจมากกว่าท่านพ่อหลู่อวี้โจวเสียอีก
“งานเลี้ยงจิบน้ำชาขององค์หญิงไป๋หลันจะเริ่มในยามซื่อ (9.00 - 10.59 น.) ตอนนี้เป็นยามเฉิน (7.00 - 8.59 น.) หากไม่ลุกตอนนี้คงไปไม่ทันแน่” หยางเสี่ยวเหมยดึงแขนเรียวเสลาของหลู่ฟู่หลินให้ลุกขึ้นจากเตียง ทว่าไม่นานร่างกายบอบบางดั่งกิ่งไผ่หลิวก็ร่วงผล็อยลงไปนั่งอยู่บนเตียงเช่นเดิม
“ข้าไม่อยากไปเลยเจ้าค่ะท่านแม่” หญิงสาวออดอ้อนมารดาเสียงหวาน เมื่อวันก่อนองค์หญิงไป๋หลันได้ส่งจดหมายมาเทียบเชิญนางไปร่วมงานเลี้ยงดื่มน้ำชาที่ลานอุทยานข้างตำหนักหมี่ซวง หลังจากที่ได้รับจดหมาย นางก็โยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ หากแต่ในตอนที่ท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยรู้เข้า นางก็รีบระดมสาวใช้สั่งให้ตามหาจดหมายเทียบเชิญฉบับนั้นยกใหญ่ จนสุดท้ายพบว่ามันลอยไปตกอยู่ที่ศาลาข้างสระบัวของจวนสกุลหลู่
“ไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป อีกไม่นานแม่จะส่งเจ้าเข้าไปเรียนที่สำนักศึกษา ผูกมิตรกับองค์หญิงไป๋หลันไว้อาจเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในภายภาคหน้า” หยางเสี่ยวเหมยนึกไปถึงดรุณีน้อยที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลู่ฟู่หลิน องค์หญิงไป๋หลันคือธิดาของเว่ยฮ่องเต้ที่เกิดจากซ่งกุ้ยเฟย หยางเสี่ยวเหมยมองการณ์ไกล และยิ่งรู้จากปากของบุตรสาวเรื่องที่เว่ยหยวนไท่จื่อบุกรุกเข้ามายังเรือนพักของหลู่ฟู่หลินในวันนั้น ทำให้นางยิ่งคิดว่าคิดว่าหากหลู่ฟู่หลินกับองค์หญิงไป๋หลันสนิทสนมกันไว้จะเป็นการดีกว่า เผื่อว่าภายภาคหน้าอาจมีเรื่องให้ต้องได้พึ่งพากัน
หลู่ฟู่หลินกลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย อากาศดีๆเช่นนี้มีใครอยากลุกจากเตียงในเวลานี้กันเล่า แต่ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น หญิงสาวก็ยอมหย่อนเท้าลงจากเตียงก้าวตรงไปยังส่วนอาบน้ำให้ชิงชิงกับสาวใช้ช่วยกันปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์อยู่ดีเพราะนางรู้ว่าไม่อาจขัดท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยได้
หยางเสี่ยวเหมยมองตามแผ่นหลังของบุตรสาวที่เดินจากไปพลางทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้ม หวนนึกถึงเรื่องราวความฝันที่หลู่ฟู่หฃินเคยเล่าให้นางฟังกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพบว่าเว่ยหยวนไท่จื่อปฏิบัติกับหลู่ฟู่หลินแปลกไปจากในโลกเดิมอยู่หลายส่วน ในภพชาติเดิมเป็นหลู่ฟู่หลินที่คอยวิ่งตามขอความรักจากเขา ทว่าในภพชาตินี้เว่ยหยวนไท่จื่อกลับนำตัวมาพัวพันยุ่งเกี่ยวกับหลู่ฟู่หลินเสียเอง แต่หยางเสี่ยวเหมยก็พยายามคิดปลอบใจตัวเอง หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เว่ยหยวนไท่จื่อไม่ได้มีเจตนาเข้าหาหลู่ฟู่หลินจริงๆหรอกนะ
หลังจากที่โดนท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยลากตัวลงจากเตียงบังคับให้ไปร่วมงานเลี้ยงดื่มน้ำชาขององค์หญิงไป๋หลันสำเร็จ ยามนี้หลู่ฟู่หลินก็ได้นั่งอยู่บนรถม้าโดยสารคันใหญ่เพื่อเดินทางเข้าไปในวังหลวง หากแต่ว่าระหว่างทางที่รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านถนนเส้นหลักที่จะตรงไปสู่วังหลวง รถม้าโดยสารของนางจำต้องหยุดลงอย่างกะทันหันเสียก่อน
“หลีกไป!” เสียงห้าวของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังควบขี่อาชาอยู่เบื้องหน้าขบวนม้าตะโกนร้องบอกพลขับรถม้าของหลู่ฟู่หลินด้วยเสียงอันดัง
“พวกเจ้านั่นแหละที่ต้องหลีกทางให้ขบวนรถม้าของคุณหนูหลู่ฟู่หลิน” ติงหัวองครักษ์ผู้ติดตามของหลู่ฟู่ที่ควบอาชานำขบวนรถม้าของเจ้านายสาวตะโกนกลับไปยังคนผู้นั้น
“หลู่ฟู่หลินงั้นหรือ…” เสียงพึมพำดังออกมาจากปากของเจ้านายหนุ่ม ทำให้ซ่าวเจ๋รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจจากน้ำเสียงนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากรู้ว่าเจ้านายของเขาคือเย่หมิงชินต่างก็ต้องยอมหลีกทางให้ทั้งนั้น
“ใช่ คุณหนูหลู่ฟู่หลิน บุตรสาวของท่านหลู่กั๋วกง พวกเจ้ารู้เช่นนี้แล้วก็หลีกทางไปเถอะ” ติงหัวเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นก็ทำท่าว่าจะไม่ยอมหลีกทางให้ง่ายๆเช่นกัน
“ทำอย่างไรกันดีเจ้าคะคุณหนู” ชิงชิงหันมาสบตากับเจ้านายสาวเกรงว่าจะมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น
หลู่ฟู่หลินนั่งฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว นางเองก็ไม่ได้อยากมีเรื่องกับผู้ใดเช่นกันจึงตวัดผ้าม่านให้เปิดออกพร้อมกับยื่นหน้าออกไปเรียกติงหัว
“หลีกทางให้พวกเขาเถิด”
ม่านผืนบางที่ถูกตวัดให้เปิดออกเผยให้เห็นโฉมงามสะคราญที่นั่งอยู่ภายในรถม้า ใบหน้างดงามเจือไปด้วยความอ่อนหวานทำให้คนมองถูกตาต้องใจตั้งแต่แรกพบ และในตอนที่นางใช้ดวงตาอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาจดจ้องมายังเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายพลันเต้นแรงระรัวดั่งมีกลองรบลั่นอยู่ภายในให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด
“เย่หมิงชินหรือ…” หลู่ฟู่หลินพึมพำเสียงเบา นางจำใบหน้าคร้ามคมของเขาได้จากความฝัน ถึงแม้ว่าจะเห็นเพียงไม่กี่หนก็ตาม
ซ่าวเจ๋ยกยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจที่ทำให้ติงหัวและขบวนรถม้าของบุตรสาวของหลู่กั๋วกงยอมหลีกทางให้ได้ หากแต่ไม่นานรอยยิ้มของเขาต้องหุบลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านายหนุ่มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ซ่าวเจ๋หลีกทางให้นาง”
“คุณชายเย่…” ซ่าวเจ๋หันมาสบตากับเจ้านายด้วยความไม่เข้าใจเท่าใดนัก ที่ผ่านมาเย่หมิงชินเคยยอมหลีกทางให้ใครที่ไหนกัน
“ข้าสั่ง!” น้ำเสียงของเย่หมิงชินเข้มขึ้น เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นและไม่ชอบให้ผู้ใดขัดคำสั่งหรือตั้งคำถามกับคำสั่งของเขา
“หลีกทางให้ขบวนรถม้าของคุณหนูสกุลหลู่!” ซ่าวเจ๋ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และออกคำสั่งเสียงดังทำให้ทหารของเขาต่างพากันเดินหลบลงไปยังข้างทาง
“คุณหนูจะไปไหนหรือเจ้าคะ” ชิงชิงร้องถามขึ้นเมื่อเห็นหลู่ฟู่หลินตั้งท่าจะเดินลงจากรถม้า ท่าทางของนางเต็มไปด้วยความรีบร้อนอยู่มากทีเดียว
“ข้าจะไปหาเย่…” หลู่ฟู่หลินพูดยังไม่ทันจบประโยคดี ชิงชิงก็รีบขัดขึ้นเสียก่อน
“เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้เราต้องรีบไปเข้าเฝ้าองค์หญิงไป๋หลันที่วังหลวง หากไม่รีบไปตอนนี้จะไปไม่ทันเวลาได้นะเจ้าคะ”
“แต่ว่า…” หลู่ฟู่หลินหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าอีกหน นึกเสียดายไม่น้อย โอกาสที่จะได้เจอเย่หมิงชินใช่ว่าจะมีบ่อยๆด้วยสิ
“อย่าลืมที่ฮูหยินสั่งสิเจ้าคะคุณหนู หากฮูหยินรู้เข้า…”
“ก็ได้ๆ รีบไปกันเถอะ” หลู่ฟู่หลินเอ่ยขัดชิงชิงอย่างยอมจำนนพร้อมกับส่งสายตาแง่งอนไปให้สาวใช้คนสนิท ชิงชิงรู้ดีว่าจุดอ่อนของนางนั้นคือท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยจึงยกท่านแม่ขึ้นมาอ้างเพื่อให้นางทำตามคำบอก
“เจ้าค่ะ ออกเดินทางต่อได้” ชิงชิงยื่นหน้าออกไปร้องตะโกนสั่งพลขับรถม้าพร้อมกับที่รถม้าคันใหญ่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป ทว่าในตอนที่รถม้าของหลู่ฟู่หลินวิ่งผ่านอาชาตัวใหญ่ของเย่หมิงชินที่ยืนหลบอยู่ข้างทาง
สายลมได้พัดโชยผ่านมาวูบหนึ่งราวกับตั้งใจทำให้ม่านผืนบางปลิวไสวจากแรงลมที่พัดผ่าน ดวงตาสองคู่มองสบประสานกันอีกหน เย่หมิงชินจึงก้มหน้าให้นางเล็กน้อย ขณะที่หลู่ฟู่หลินแย้มริมฝีปากให้เขาบางๆ หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของนางทำให้ความปรารถนาที่ต้องการครอบครองนางของเย่หมิงชินพลุ่งพล่านขึ้นทันใด ชายหนุ่มส่งสายตามองตามรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งผ่านไปจนลับสายตา ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ด ผ่านสตรีมามากมายนับไม่ถ้วน ยังไม่มีสตรีใดที่ทำให้เขารู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของเท่านางมาก่อน
“คุณชายเย่สนใจนางหรือขอรับ” ซ่าวเจ๋เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของเจ้านายหนุ่ม เขาจึงอดถามไม่ได้
“ใช่” เย่หมิงชินตอบสั้นๆ หากแต่ยังไม่ได้ละสายตาไปจากทิศทางของรถม้าจวนสกุลหลู่แต่อย่างใด ถึงแม้ว่ารถม้าของหลู่ฟู่หลินจะหายออกไปจากสายตาแล้วก็ตาม
“แต่เราเพิ่งมีเรื่องกับพี่ชายของนางมานะขอรับ” ผู้ติดตามคนสนิทเตือนสติเจ้านาย
“แล้วอย่างไรกัน ข้าพึงพอใจในตัวของนางหาใช่พี่ชายของนางเสียหน่อย” เย่หมิงชินเปล่งเสียงหัวเราะหึๆในลำคอ และได้ควบม้าวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว
ซ่าวเจ๋กระตุกมุมปากยิ้มคิดตามคำพูดของเจ้านาย เพราะทำงานรับใช้มานานทำให้เขารู้จักคนอย่างเย่หมิงชินเป็นอย่างดี เจ้านายของเขาปรารถนาสิ่งใดต้องได้ครอบครองสิ่งนั้น หาไม่คงไม่มีวันยอมรามืออย่างแน่นอน!
