บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ใช่เขาแน่หรือ

หยาดโลหิตสีแดงฉานอาบไล้ไปทั่วใบหน้าหล่อเหลา หากแต่เว่ยหยวนยังคงยืนนิ่งส่งสายตามองคนตัวเล็กที่ถือแจกันไว้ในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ไม่เจ็บหรือ” หญิงสาวพึมพำเสียงแผ่ว มองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ โลหิตไหลอาบหน้าถึงเพียงนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องแสดงอาการเจ็บปวดบ้างสิ แต่นี่ยังคงยืนนิ่งแม้กระทั่งเสียงร้องสักแอะยังไม่มีเลย

“ข้าไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเจ้า” หลังจากที่นิ่งไปนาน เว่ยหยวนจึงค่อยเอ่ยขึ้น เขาไม่เคยคิดที่จะทำร้ายนางสักหน ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว…

“แล้วท่านบุกเข้ามาที่นี่ทำไมกัน” หลู่ฟู่หลินถามอย่างไม่ไว้ใจ มือบางยังคงกำแจกันกระเบื้องเคลือบในมือแน่น หากเขาก้าวเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว นางจะตีเขาให้หัวแตกเป็นหนที่สองเลย คอยดูสิ!

“ข้าโดนทำร้ายมาจึงแอบเข้ามาพักพิงสักครู่ ไม่นึกว่าจะเป็นห้องของเจ้า”

หลู่ฟู่หลินเหลือบมองไปยังท่อนแขนกำยำที่ปรากฏร่องรอยของการทำร้าย คาดว่าเขาคงจะพลาดท่าโดนกระบี่ฟาดฟันมากระมัง หากแต่รอยแผลไม่ได้ลึกมาก บาดแผลที่ศีรษะของเขาที่โดนนางตีจนจนแตกเมื่อครู่ยังดูน่ากลัวกว่าเสียอีก

“เช่นนั้นข้าจะไปตามคนมาช่วย” หญิงสาวนึกไปถึงบรรดาองครักษ์ที่ติดตามมาจากจวนสกุลหลู่ ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปากร้องเรียกพวกเขา เว่ยหยวนได้รีบขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ให้ใครรู้ไม่ได้ว่าข้าอยู่ที่นี่ หาไม่พวกมันคงได้ยกโขยงกันมาแน่ แล้วเจ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าจะเดือดร้อนเอาได้”

เดิมทีหลู่ฟู่หลินตั้งใจจะถามว่าเขาหนีผู้ใดมา หากแต่เมื่อได้ยินเขาเรียกท่านย่าเยว่เฉียวของนางว่าฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงรีบเปลี่ยนคำถามทันใด

“ท่านรู้จักข้ากับท่านย่าด้วยหรือ”

“หากเจ้าไม่ไว้ใจข้าก็ไปจุดตะเกียงขึ้นเถิด” เว่ยหยวนไม่ตอบคำถาม แต่กลับกล่าวตัดบทแทน จากนั้นจึงเดินซวนเซไปนั่งเอนหลังพิงผนังไม้อยู่อีกมุมหนึ่ง ยามนี้เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งศีรษะ ไม่นึกเลยว่าสตรีตัวเล็กๆอย่างนางจะมือหนักกระทั่งตีเขาจนหัวแตกได้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เขาโดนนางทำร้าย ส่วนครั้งแรกนั้นทั้งเขาและหลู่ฟู่หลินยังเด็กอยู่มาก ป่านนี้นางคงลืมไปแล้วกระมัง

พรึ่บ!

ไม่ต้องรอให้เขาบอกนางซ้ำสอง หลู่ฟู่หลินก็เดินไปจุดตะเกียงทันใด ครั้นเมื่อแสงจากตะเกียงสว่างวาบขึ้นทำให้นางได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของผู้บุกรุกอย่างชัดเจน ดวงตากลมโตจึงเปลี่ยนเป็นเบิกกว้างขึ้นทันใด

“ทำไมถึงเป็นท่าน…” หลู่ฟู่หลินตัวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงกระหน่ำยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่เคยคิดว่าจะได้พบพานเขาในที่แห่งนี้ อีกทั้งยังเป็นคนที่นางอยากเจอเป็นคนสุดท้ายในชีวิตนี้อีกด้วย

หลู่ฟู่หลินอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆยิ่งนัก นางเพิ่งใช้แจกันตีศีรษะของเว่ยหยวนไท่จื่อ อนาคตผู้ปกครองแผ่นดินแคว้นเป่ยคนต่อไป

เขาคือเว่ยหยวนไท่จื่อเชียวนะ!

“เจ้ารู้จักข้า?” คิ้วกระบี่เลิกขึ้นจ้องหน้าคนตัวเล็กอย่างจับผิด หากแต่หลู่ฟู่หลินกลับส่ายหน้าหวือปฏิเสธเสียงแข็งอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะจากเมืองหลวงไปนานเกือบสิบปี แต่เขาก็มักจะโผล่มาหานางในความฝันอยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกเดิม แต่ก็ทำให้นางจดจำเขาได้เป็นอย่างดี

บุรุษรูปร่างสูงโปร่ง เจ้าของสันกรามคมชัด คิ้วองอาจผึ่งผาย ดวงตาทั้งสองข้างหยักโค้งเล็กน้อยสง่างามทรงภูมิ คนที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้าเช่นเขา นางจำได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ

“เปล๊า เอ๊ย เปล่า ข้าไม่เคยรู้จักท่าน ไม่เคยสักหนเดียว” เรื่องอะไรจะให้นางยอมรับความจริงกัน ในเมื่อชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับเขา แต่การที่เขาเรียกท่านย่าเยว่เฉียวของนางว่าฮูหยินผู้เฒ่านี่น่ะสิที่ทำให้หลู่ฟู่หลินคิดหนัก เพราะมันหมายความว่าเขานั้นรู้จักนาง

“เอาล่ะ ข้าขออภัยที่ข้าทำร้ายท่าน แต่ข้าคิดว่าท่านรีบจากไปเสียดีกว่าก่อนที่โลหิตจะไหลจนหมดตัวไปเสียก่อน อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้อยากเดือดร้อนเพราะท่าน หากคนที่ท่านมีปัญหาด้วยตามมาพบเข้า ข้าไม่โดนพวกมันทำร้ายไปด้วยหรือ”

หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา หากเป็นผู้อื่นที่เดือดร้อน นางคงยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ องครักษ์ของจวนสกุลหลู่ล้วนมีแต่คนมากฝีมือ ทว่านี่เป็นเขา นางจึงออกปากไล่โดยที่ไม่ต้องหยุดคิด ยิ่งหวนนึกถึงเหตุการณ์ในความฝัน แม้จะเป็นเรื่องราวในนิยายที่เกิดขึ้นในภพชาติเดิมและยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงในภพนี้ แต่ก็ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยเลยทีเดียว

พระเอกเว่ยหยวนไท่จื่อผู้นี้ก็หาใช่คนดีเสียที่ไหนกัน หาไม่เขาคงไม่ทอดทิ้งนางเหมือนในภพชาติเดิมหรอก! ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากเอาแจกันตีศีรษะของเขาอีกสักรอบให้หายแค้นใจจริงๆ

ดวงตาสองคู่มองประสานกันนิ่ง อันที่จริงหลู่ฟู่หลินก็หวั่นใจอยู่บ้างแหละ แต่นางก็มีคิดๆเตรียมการเอาไว้แล้ว หากเขาเปิดเผยตัวตนสั่งให้ทหารองครักษ์มาจับนางไปลงโทษที่ทำร้ายเขา นางก็จะบีบน้ำตาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าพระพักตร์ของเมิ่งฮองเฮาให้ทรงเห็นใจนาง โดยอ้างว่าเว่ยหยวนไท่จื่อเป็นคนบุกรุกมายังเรือนพักของนาง ทำให้นางตกใจคิดว่าคนร้ายจึงต้องป้องกันตัว

เมิ่งฮองเฮาสนิทสนมคุ้นเคยกับท่านพ่อหลู่อวี้โจวอยู่มาก อีกทั้งยังเอ็นดูนางไม่น้อย เมิ่งฮองเฮาต้องทรงเห็นใจนางบ้างแหละ ส่วนเว่ยหยวนไท่จื่อเองก็รักใคร่พระมารดาไม่น้อย อย่างไรเขาคงไม่กล้าขัดพระทัยของเมิ่งฮองเฮาอย่างแน่นอน

‘หลินเอ๋อร์ช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก’ หญิงสาวชื่นชมตัวเองอยู่ภายใน ขณะที่ดวงตาคู่คมของเว่ยหยวนยังคงจดจ้องดวงหน้างามที่กำลังแย้มริมฝีปากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวด้วยความประหลาดใจ

“คนสกุลหลู่ใจดำเช่นเจ้าทุกคนเลยหรือ” ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าหากเขาเปิดเผยตัวตนกับนาง หลู่ฟู่หลินจะยังกล้าเอ่ยปากไล่เขาเช่นนี้หรือไม่

“ข้าใจดำกับคนที่ควรใจดำด้วยเท่านั้นแหละ” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดพลางเชิดหน้าขึ้น

“เจ้าทำเหมือนรู้จักข้ามาก่อน” เว่ยหยวนมองจ้องเข้าไปในดวงตาคู่งามของหลู่ฟู่หลินราวกับต้องการค้นหาคำตอบบางอย่าง นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าเขาเป็นใคร ไยถึงได้ทำท่าเสมือนว่าชังน้ำหน้าเขาเสียเต็มประดา

“ไม่รู้แล้วก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย ท่านรีบออกไปเถอะ หาไม่ครานี้ข้าจะร้องให้คนช่วยจริงๆนะ” หญิงสาวเดินไปเปิดประตู เว่ยหยวนจึงแค่นเสียงเหอะออกมาเบาๆ ดวงตาคมดุวาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ทว่าในตอนที่เขากำลังจะก้าวเดินออกไปจากประตู เขาได้ขยับเข้ามาประชิดนางก่อน หลู่ฟู่หลินตั้งท่าจะกรีดร้องด้วยความตกใจ หากแต่ไม่นานเขาก็ก้าวถอยออกไปจากนาง

“ไท่จื่… ท่าน! นั่นผ้าปักของข้านะ” หญิงสาวมองไปยังผ้าปักลายดอกมู่ตานในมือของเขา บุรุษผู้นี้เป็นถึงทายาทของเว่ยฮ่องเต้ ที่วังหลวงเองก็คงมีผ้านับพันนับหมื่นผืน หากเขาต้องการคงเอ่ยบอกสั่งให้นางกำนัลปักให้ไม่ยาก ไฉนกลับมาขโมยผ้าปักผืนเล็กๆของนางกันเล่า

“เราสองคนต้องได้เจอกันอีกแน่” มือหนายกผ้าปักลายดอกมู่ตานฝีมือของหลู่ฟู่หลินปิดไปที่บาดแผลบนศีรษะที่บาดเจ็บจากฝีมือของนาง ก่อนจากไปยังมิวายหันหน้ากลับมาเอ่ยกับนางอย่างข่มขู่อีกด้วย

ทันทีที่ร่างสูงของเว่ยหยวนเดินจากไป หลู่ฟู่หลินถึงกับขนเกรียวลุกชัน ทั้งสายตาและน้ำเสียงของเขาทำให้นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาพูดราวกับว่าอีกไม่นานเขาจะเอาคืนนางอย่างใดอย่างนั้นแหละ

ไม่ได้! ก่อนที่เว่ยหยวนไท่จื่อจะทรงคิดทำร้ายนางหรือคนสกุลหลู่ นางจะต้องเตรียมแผนรับมือเขาไว้เสียก่อน ถึงแม้ว่าบิดาของนางจะมียศเป็นถึงกั๋วกง แต่อย่างไรก็ยังไม่อาจสู้อำนาจของเว่ยหยวนไท่จื่อได้ ฉะนั้นแล้วนางต้องหาพรรคพวกหรือคนที่จะสามารถช่วยสกุลหลู่คานอำนาจของเว่ยหยวนได้…

หลู่ฟู่หลินเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ไม่นานดวงตาคู่งามพลันเปล่งประกายขึ้นอย่างสดใส เมื่อนึกถึงใครบางคนที่มีอำนาจไม่แพ้หลู่อวี้โจวบิดาของนาง

เย่หมิงชิน…

นอกจากท่านพี่หลู่โจวหลินที่มีบทบาทเป็นตัวร้ายแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังมีบุรุษผู้หนึ่งที่มีนามว่าเย่หมิงชิน เขามีบทบาทเป็นพระรองกึ่งตัวร้ายในนิยาย ในครึ่งแรกของเนื้อเรื่อง เย่หมิงชินนั้นมีใจชอบพอหลู่ฟู่หลิน ก่อนที่ในครึ่งเรื่องหลัง เขาจะเปลี่ยนใจจากหลู่ฟู่หลินไปหาแม่ดอกบัวขาวเจียงซูอี้ หลู่ฟู่หลินคิดว่าหากนางทำให้เย่หมิงชินหลงรักนางจนหัวปักปำไม่ให้เขาเปลี่ยนใจจากนางไปหาเจียงซูอี้ได้ เขาคงไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือและปกป้องนางจากเว่ยหยวนไท่จื่อ

อันที่จริงหลู่ฟู่หลินจะไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจมากถึงเพียงนี้หรอก ถ้าหากเว่ยหยวนไม่มีท่าทีแปลกๆกับนาง ในภพชาติเดิมมีเพียงแค่นางที่วิ่งหาเขา เอาอกเอาใจเขาสารภาพ หนำซ้ำยังยอมมอบกายมอบใจให้เขาเชยชม โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปากขอ นึกมาถึงเรื่องนี้คราใด หญิงสาวคิดว่าชีวิตนางในภพชาติเดิมช่างไร้ค่ายิ่งนัก ไม่แปลกใจหากเขาจะเห็นนางเป็นเพียงแค่ดอกไม้ริมทางที่เด็ดดมชมเชยจนพอใจแล้วก็โยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ทว่าเมื่อครู่นี้ที่เจอกัน เขากับมีท่าทีคุกคามนาง ไหนจะสายตาแปลกๆที่เต็มไปด้วยความสงสัยที่เว่ยหยวนไท่จื่อใช้มองมายังนางอีกเล่า เขาทำเหมือนว่ารู้จักนางดีอย่างนั้นแหละ

“เฮ้ออออ” หลู่ฟู่หลินล้มกายลงนอนพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก นางได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ได้มีความทรงจำในภพชาติเดิมเหมือนกันกับนางหรอกนะ หาไม่เรื่องราวคงได้บานปลายวุ่นวายไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยามนี้นางหาใช่หลู่ฟู่หลินไร้สมองคนเดิมอีกต่อไป หลู่ฟู่หลินคนใหม่นี้จะไม่ยอมจำนนต่อเว่ยหยวนไท่จื่อง่ายๆหรอก

นางขอสาบานว่าจะไม่มีวันยอมยกหัวใจให้เขาได้ครอบครองง่ายๆอีกต่อไปแล้ว!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel