บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ผู้บุกรุกในยามวิกาล

หลังจากให้ชิงชิงช่วยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้อย่างเร่งรีบ หลู่ฟู่หลินได้ก้าวออกจากหอนอนตรงดิ่งไปยังหน้าประตูจวนสกุลหลู่ที่มีรถม้าโดยสารคันใหญ่จอดอยู่ ที่ตรงนั้นนอกจากฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวแล้วยังมีประมุขของจวนสกุลหลู่กับหยางฮูหยินยืนอยู่ด้วย ครั้นเมื่อเห็นนางกำลังย่างกายเข้ามา พวกเขาต่างพากันส่งยิ้มอบอุ่นมาให้

“หลินเอ๋อร์ขออภัยที่ทำให้ท่านย่าต้องรอเจ้าค่ะ” ใบหน้าหวานสลดลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวจะมารอนางได้พักใหญ่แล้ว แทนที่จะโกรธทว่าเยว่เฉียวกลับยกมือขึ้นลูบศีรษะของหลู่ฟู่หลินไปมาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรหรอกลูก ย่าเองก็เพิ่งเดินออกมาเช่นกัน”

“ท่านแม่ข้าขอฝากดูแลหลินเอ๋อร์ด้วยนะขอรับ ได้ออกไปเปิดหูเปิดตากับท่านแม่ก็ดีเหมือนกัน เที่ยวให้สนุกนะลูก” ประโยคสุดท้ายหลู่อวี้โจวหันมาเอ่ยกับบุตรสาว หากแต่เขากลับโดนภรรยาแย้งขึ้น

“ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ต่างหากที่ต้องดูแลท่านแม่นะเจ้าคะ” หยางเสี่ยวเหมยส่ายศีรษะไปมาด้วยความเอือมระอา หลู่ฟู่หลินโตจนอายุได้สิบเจ็ดหนาวแล้ว ยามนี้กำลังเป็นสาวสะพรั่งหาใช่เด็กน้อยวัยสามหนาวในอดีต

“เหมยเอ๋อร์ ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดไปเสียหน่อย ให้ท่านแม่ช่วยดูแลหลินเอ๋อร์น่ะถูกต้องแล้ว เพราะลูกของเรางดงามเหมือนเจ้า ข้าเกรงว่าจะมีพวกแมลงหวี่แมลงวันเข้ามาสร้างความรำคาญ” แววตาคมดุของหลู่อวี้โจววาวโรจน์ขึ้นในตอนท้าย และเพราะเหตุนี้ หากไม่จำเป็นเขาจึงไม่ให้หลู่ฟู่หลินออกไปจากจวน หาไม่ก็ต้องมีคนติดตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอมอย่างแน่นอน

เพี้ยะ!

“ท่านพี่หวงลูกเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” มือบางของหยางเสี่ยวเหมยตีลงไปบนท่อนแขนของสามี นางรู้ดีว่าหลู่กั๋วกงหวงหลู่ฟู่หลินยิ่งกว่าจงอางหวงไข่เสียอีก

ขณะที่คนที่โดนภรรยาตีถึงกับทำหน้าม่อยลงไปทันใด ท่าทางของสองสามีภรรยาเรียกเสียงหัวเราะจากฮูหยินผู้เฒ่ากับหลู่ฟู่หลินได้เป็นอย่างดี ตอนที่อยู่นอกจวนสกุลหลู่ หลู่อวี้โจวมียศเป็นถึงกั๋วกงขุนนางใหญ่แห่งแคว้นเป่ย ผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี หากแต่ภายในจวนสกุลหลู่เขาเป็นเพียงบุรุษที่เกรง(กลัว)ภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านพี่โจวหลินหายไปไหนหรือเจ้าคะ” หลู่ฟู่หลินกวาดสายตามองไปรอบๆไม่เห็นแม้แต่เงาของคนเป็นพี่อย่างผิดสังเกต หากเป็นในยามปกติหลู่โจวหลินคงไม่พลาดที่จะมายืนรอส่งนางกับท่านย่าแล้ว หากแต่คำถามของนางกลับทำให้คนเป็นแม่ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“พักหลังมานี้โจวหลินไม่ค่อยอยู่จวนบ่อยๆ ข้าเป็นกังวลเหลือเกินเจ้าค่ะท่านพี่” หยางเสี่ยวเหมยหันไปสบตากับคู่ชีวิต ยิ่งได้เห็นว่ายามนี้หลู่โจวหลินกำลังคบหากับบุตรขายสกุลซ่งเป็นสหาย ยิ่งทำให้นางเป็นกังวลใจไม่น้อย เพราะเคยได้ยินถึงกิตติศัพท์เรื่องความเกเรของชายผู้นั้นอยู่มาก

“เอาน่าฮูหยิน ลูกของเราโตแล้ว อีกทั้งยังเป็นบุรุษ ลูกอาจจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างเท่านั้นเอง” หลู่อวี้โจวปลอบใจให้หยางเสี่ยวเหมยคลายความกังวลพร้อมยกมือขึ้นโอบไหล่กลมกลึงของภรรยา

หากแต่หลู่ฟู่หลินไม่คิดเหมือนที่ท่านพ่อหลู่อวี้โจวของนางคิด เมื่อหันไปสบตาของมารดาก็รับรู้ได้ทันทีว่าท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยเป็นกังวลถึงสิ่งใด นางเองก็รู้สึกกลุ้มใจไม่น้อยไปกว่าท่านแม่ ได้แต่หวังว่าชะตาชีวิตของพี่ชายฝาแฝดจะดำเนินไปตามเส้นทางที่ถูกที่ควร และไม่พาชีวิตของครอบครัวสกุลหลู่ไปพบกับจุดจบที่น่าอนาจตามเส้นเรื่องในนิยาย

“ออกเดินทางเถิด ไม่เช่นนั้นฟ้าอาจมืดก่อนเดินทางถึงวัดบนภูเขาได้” หลู่อวี้โจวหันไปพยักหน้าให้พลขับรถม้า ฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวเองก็ตอบรับคำอย่างเห็นด้วย จากเมืองหลวงไปถึงวัดบนภูเขาต้องออกไปทางนอกเมืองและผ่านหมู่บ้านอีกสองหมู่บ้านจึงจะเดินทางไปถึง ซึ่งใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งวันเลยทีเดียว อีกทั้งตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบถึงค่อนวันแล้ว หากไม่รีบออกเดินทางอาจมืดค่ำระหว่างทางได้

หลู่ฟู่หลินกอดบอกลาบุพการีทั้งสองคน จากนั้นจึงเดินเข้ามาช่วยพยุงฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นรถม้าและก้าวตามขึ้นไป ไม่นานรถม้าคันใหญ่ก็วิ่งออกไปจากจวนสกุลหลู่โดยมีสายตาของหลู่อวี้โจวและหยางเสี่ยวเหมยมองตามไปด้วยความห่วงใยจนลับสายตา

รถม้าคันใหญ่วิ่งไปตามถนนเส้นหลัก ก่อนจะผ่านไปยังนอกเมือง จวบจนกระทั่งผ่านหมู่บ้านที่สองซึ่งเป็นปลายทางสุดท้าย จากนั้นจึงวิ่งขึ้นไปบนทางลาดชันทอดยาวขึ้นไปบนภูเขาลูกใหญ่ กระทั่งถึงจุดหมายในปลายยามเซิน (15.00 - 16.59 น.)

นับว่าหลู่ฟู่หลินกับฮูหยินผู้เฒ่าโชคดียิ่งนัก เพราะเมื่อมาถึงปลายทาง เม็ดฝนห่าใหญ่ก็ได้ตกกระหน่ำลงมาอย่างพอดิบพอดี หลังจากรับประทานอาหารเย็นอย่างง่ายๆเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อน

เรือนพักที่วัดบนภูเขาแห่งนี้เป็นเรือนไม้หลังเล็กที่ตั้งเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ทว่ามีเพียงแค่สามหลังเท่านั้น เนื่องด้วยที่นี่เป็นเพียงวัดเล็กๆ นานๆทีจะมีคนขึ้นมาสวดมนต์และพำนักอยู่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น หากแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียวชื่นชอบวัดแห่งนี้มาก เหตุเพราะไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนที่วัดใหญ่จึงทำให้เงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากกว่า

เรือนไม้ที่หลู่ฟู่หลินพำนักเป็นคนละหลังกับฮูหยินผู้เฒ่าเยว่เฉียว ทันทีที่ประตูไม้บานเล็กเปิดออกก็เผยให้เห็นตั่งนอนขนาดย่อมและเตาผิงเล็กๆเพียงหนึ่งอันเท่านั้น

“พวกเจ้าออกไปนอนอีกหลังเถอะ ไม่ต้องนอนเป็นเพื่อนข้า” หลังจากที่ย่างกายเดินเข้าไปในเรือนพัก หลู่ฟู่หลินก็หันมาเอ่ยกับชิงชิงและสาวใช้ผู้ติดตามอีกสองคน นางเห็นว่าที่นี่คับแคบต่างจากที่จวนสกุลหลู่จึงไม่เหมาะนักหากจะมานอนรวมกันอยู่ในนี้

“เช่นนั้นให้พวกนางไปพักอีกหลัง ส่วนชิงชิงจะนอนเฝ้าคุณหนูเองเจ้าค่ะ” ชิงชิงรู้ดีว่าคุณหนูหลู่ฟู่หลินเป็นคนจิตใจดี คงเกรงว่าพวกนางจะต้องนอนเบียดเสียดกันอยู่ภายในห้องแคบๆ หากแต่นางจะปล่อยให้คุณหนูนอนอยู่ที่นี่แค่คนเดียวก็กระไรๆอยู่

“ไม่ต้องหรอก ข้านอนได้ เจ้าออกไปเถอะ” หลู่ฟู่หลินโบกมือไล่ชิงชิง บางทีก็รู้สึกไม่ชอบใจอยู่หน่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหลู่อวี้โจวหรือชิงชิงต่างก็ปฏิบัติราวกับว่านางยังเป็นเด็กอยู่เสมอ บางทีนางก็อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง ดีที่มีท่านแม่หยางเสี่ยวเหมยเข้าใจจึงคอยขัดใจท่านพ่อให้นางบ้าง

“หากคุณหนูต้องการอะไรก็ตะโกนเรียกชิงชิงได้เลยนะเจ้าคะ” สาวใช้เห็นเจ้านายยืนยันด้วยถ้อยคำหนักแน่นจึงไม่เซ้าซี้ต่อ ทว่าก่อนออกไปยังมิวายหันกลับมาเอ่ยกับเจ้านายสาวอีกครั้ง

“อืม” หลู่ฟู่หลินขานรับคำชิงชิง คล้อยหลังจากที่ประตูปิดลงจึงค่อยเอนกายลงนอน เตียงไม้หลังเล็กถึงจะไม่สุขสบายเท่ากับที่จวนสกุลหลู่แต่ก็พอนอนได้ หลู่ฟู่หลินนอนหลับตาฟังเสียงสายฝนอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทาง

ตุ้บ!

เสียงคล้ายกับอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับประตูไม้ที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าของเรือนไม้ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่น

“เสียงอะไรน่ะ” หลู่ฟู่หลินพึมพำเสียงเบา หากแต่ในตอนที่นางลุกขึ้น ดวงตาคู่งามพลันเหลือบไปเห็นหน้าต่างไม้ภายในเรือนพักเปิดอ้าออก ม่านผืนบางปลิวไสวไปตามแรงลมจากพายุที่ยังโหมกระหน่ำพาสายฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย

คิ้วเรียวสวยของหลู่ฟู่หลินหลันขมวดเข้าหากันในทันใด นางจำได้ว่าก่อนที่ชิงชิงกับบรรดาสาวใช้ผู้ติดตามของนางจะเดินออกไปได้ปิดหน้าต่างบานนั้นให้นางเรียบร้อยแล้ว

“อาจจะเป็นเพราะโดนลมพัดกระมัง” หลู่ฟู่หลินพึมพำปลอบใจตัวเอง แต่ก็ยังอดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้ อย่างไรที่นี่ก็คือวัด หวังว่าจะไม่มีผีโผล่มาหลอกนางนะ!

ร่างแน่งน้อยก้าวลงจากเตียงไม้หมายจะเดินไปปิดหน้าต่าง แต่ในตอนที่นางยื่นมืออกไปดึงหน้าต่างให้ปิดลงก็รับรู้ได้ถึงเงาดำขนาดใหญ่ของใครบางคนทาบทับมาจากทางด้านหลัง หลู่ฟู่หลินรับรู้ได้ถึงไอเย็นยะเยือกจึงรีบหันขวับกลับไปตามสัญชาตญาณ ได้เห็นบุรุษร่างสูงผู้หนึ่งยืนอยู่

เปรี้ยง!

“กะ กรี๊….!” หญิงสาวอ้าปากกว้างกำลังจะกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ หากแต่ชายปริศนากลับก้าวเข้ามาประชิดและยกมือขึ้นปิดปากบางเอาไว้เสียก่อน!

หมั่บ!

“อื้อออ อ่อยอ้าอ๊ะ (ปล่อยข้านะ)” ร่างบางพยายามดิ้นรนไปมา มือเล็กระดมทุบไปบนมือหนา ไหนจะเท้าเล็กๆที่พยายามเตะถีบไปข้างหน้าเพื่อให้เป็นอิสระจากการถูกรุกรานของผู้บุกรุก

“ฤทธิ์เยอะนักนะ” เสียงเข้มกล่าวขึ้นก่อนจะจัดการย่อกายอุ้มคนตัวเล็กพาดบ่า จากนั้นจึงโยนลงไปบนเตียงไม้จัดการตรึงข้อมือเล็กๆทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ

หลู่ฟู่หลินน้ำตาไหลพราก ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นแรงกระหน่ำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆจะสู้แรงของคนตัวโตได้อย่างไรกัน หยดน้ำสีใสที่ไหลรินจากดวงตาทำให้คนที่คร่อมทับอยู่ทางด้านบนชะงักไป แววตาสีดำดุจนิลกาฬวูบไหวไปมาในเสี้ยววินาที จากนั้นร่างสูงจึงผละออกห่างจากนางอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เป็นอิสระ หลู่ฟู่หลินก็ไม่รอช้าที่จะคว้ากริชเงินออกมาจากใต้หมอน ซึ่งท่านพ่อหลู่อวี้โจวเป็นคนมอบให้นางเก็บไว้ใช้ป้องกันตัวในยามคับขัน หญิงสาวจ้องมองไปยังคนที่ยืนหันหลังให้ จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาผู้บุกรุกอย่างรวดเร็ว ทว่าเขากลับเบี่ยงกายหลบคมอาวุธของนางได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นจึงใช้ความรวดเร็วในการแย่งกริชเงินออกมือเล็กของนางมาถือไว้กับตัวอย่างง่ายดาย หลู่ฟู่หลินรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก นางจึงเอื้อมมือคว้าไปที่แจกันใบเล็กที่วางอยู่ข้างขอบเตียงขึ้นมาและตีไปที่ศีรษะของเขาอย่างแรง!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel