04 ปิ่นโต
.
.
.
“ผมกลับมาแล้ว”
“มาสักทีไอ้เก๋า”
“หิวไหมปลาเก๋า”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปไอ้เก๋า”
“ของกินอยู่หลังบ้านนะปลาเก๋า”
“โธ่ป๊าม๊า เรียกองศาได้ไหม ผมโตแล้ว อายเขา”
“อายใครวะ เท่จะตาย ถ้าปลาเก๋ามันฟังภาษาคนออกมันจะเสียใจนะเว้ย ชื่อปลาเก๋าไม่ดีตรงไหน กินก็อร่อย ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ”
“มันไม่ใช่อย่างงั้นอ่ะป๊า โธ่ เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วนี่ใครมาซ่อมไฟให้ ผมอุตส่าห์รีบบิดมา”
“ก็ไอ้เจ้าปิ่นโตน่ะสิ นี่ยังดูกล่องไฟอยู่ข้างบน รีบขึ้นไปช่วยไป”
“ได้ป๊า”
“แปะครับ ขึ้นมาพอดี ช่วยส่งไขควงให้ผมที”
“...”
“..เสร็จเรียบร้อย ไว้ผมจะมาเช็คไฟให้ทั้งบ้านนะ น่าจะมีสักจุดที่ไฟรั่ว เซฟทีคัทเลยตัดบ่อย”
“...”
“เฮ้ยยย เก๋า ตกใจหมด นึกว่าแปะ”
“ขวัญอ่อนไปป่ะ”
“กลับมาแล้วเหรอ ช้านะเนี่ย ดูดิ นี่เลยต้องซ่อมไฟอยู่คนเดียว”
“นี่ก็รีบแล้ว รีบจนขับรถไปชนชาวบ้านมาเนี่ย”
“เฮ้ยยยย เป็นไรมากเปล่า ไหนดูดิ๊”
“ก็ได้แผลนิดหน่อย อย่าบอกป๊ากับม๊าอ่ะ ขี้เกียจฟัง บ่นเก่งทั้งคู่”
“ก็ได้นะ งั้น.. ไปทำแผลที่ห้องพี่”
“หึ ไม่เอา เดี๋ยวทำแผลเองได้ สำลี เบตาดีน มีครบ”
“แต่ไม่มีกอฮอ..”
“ก็ล้างน้ำเกลือ มีน้ำเกลือ”
“แต่ถ้าทำที่บ้าน แปะกับอี๊ก็จะรู้”
“จะรู้ได้ไง”
“ก็สำลีเปื้อนเลือดไง อี๊คงไม่คิดว่าเก๋ามีเมนหรอกมั้ง”
“นี่ผู้ชายนะ จะไปมีเมนได้ไง”
“งั้นก็ไปทำแผลห้องพี่”
“ไม่”
“ทำไม กลัวเหรอ”
“กลัวไรวะ ไมต้องกลัว ใครจะไปกลัว”
“ไม่กลัวก็ไปดิ”
“ไม่เอาอ่ะ หิวข้าว ต้องกินข้าว กินเสร็จก็ต้องขายของ แล้วก็ต้องเก็บร้าน”
“ก็หลังปิดร้านไง”
“ทำไมต้องให้ไปให้ได้วะ ทุกทีไม่เห็นเซ้าซี้”
“นะ ก็อยากให้ไป อยากทำแผลให้ด้วย”
“...”
“อย่าคิดนาน”
“เออๆ ก็ได้”
“..จะปิดร้านแล้วเหรอ”
“ป้าจะเอาไรอ่ะ ซื้อได้”
“เอาโค้กถุงนึง”
“ได้ รอแป็บเดียว”
“ว่าแต่คืนนี้ไม่ต้องไปเป็นอาสาที่มูลนิธิเหรอเจ้าปิ่นโต ถึงได้มาขลุกอยู่ร้านปลาเก๋ามันเนี่ย”
“ออ คืนนี้ไม่ได้เข้าไปน่ะป้า มันเป็นคืนพิเศษ เลยอยากมีเวลาเป็นของตัวเองสักคืน”
“เออดีๆ พักผ่อนบ้างล่ะเอ็ง เช้าก็ตามหลวงตาออกบิณฑบาต ทั้งวันก็ต้องซ่อมรถ”
“โธ่ป้า พี่โตเขาอึดจะตาย แค่นี้สบายมาก”
“มาแล้วเหรอเจ้าปลาเก๋า ทิ้งหน้าร้านไว้ให้เจ้าโตมันดู อู้รึไง”
“เปล่าซะหน่อย”
“เก๋าไปเรียงของหลังร้านน่ะป้า”
“โตนี่ก็เข้าข้างเก๋ามันตลอด ระวังเหอะ มันจะไม่เห็นเป็นพี่”
“ผมก็ไม่เคยเห็นปลาเก๋าเป็นน้องนะ”
“ยังไงพี่โต เห็นเป็นอะไร”
“โอ้ยย ถ้าจะยาว ป้าไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวน้ำแข็งละลายหมดพอดี ถ้าจะตีกันอีกนาน”
“ว่าไงพี่โต ตอบมาดิ๊”
“ปิดร้านก่อน เดี๋ยวค่อยไปเคลียร์กันต่อที่ห้องพี่”
“..ก็ได้”
“ไปรถพี่นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามาส่ง”
“เห้ย ไม่เอา ไม่ได้บอกม๊าป๊าว่าจะไปค้าง”
“พี่บอกแล้ว แปะบอกตามสบาย ส่วนอี๊บอกว่า..”
“ว่า..”
“อย่าลืมทำการบ้านด้วย”
“โวะ ม๊าเนี่ยเห็นเป็นเด็กเจ็ดขวบไปได้”
“แล้วมีป่ะล่ะการบ้าน”
“ก็มีรายงานตัวนึง”
“งั้นไปเลย เก็บของให้ครบ เดี๋ยวพี่ปิดร้านให้”
“อือๆ”
..ผมว่าผมชอบปลาเก๋า ชอบตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้ ตอนที่รู้สึกว่าอยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ อยากมีเวลาอยู่ด้วยกัน เลยต้องหาเรื่องมาเจอให้ได้มันทุกวัน ผมว่าผมน่าจะประทับใจเก๋าตั้งแต่งานวัดเมื่อสองปีก่อน ..ปีแรกที่เก๋ากับที่บ้านเพิ่งย้ายมา คืนนั้นเป็นอีกคืนที่คึกคัก คนก็เยอะ เพราะเป็นคืนวันศุกร์ เพิงปาเป้า ยิงปืน ยิงธนู ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน บ้านลม ยันร้านปลาหมึกปิ้ง หอยทอด ขนมเบื้อง ทาโกะยากิ หมูกระทะ ทุกร้านขายดีเทน้ำเทท่า เสียงปี่พาทย์ระนาดเอกฉิ่งฉาบจากคณะลิเกดังอยู่ปีกซ้ายของวัด ขณะที่เสียงจากวงดนตรีลูกทุ่งที่เวทีสาดแสงสีสดดังก้องอยู่ปีกขวา ยิ่งดึกคนยิ่งคึก อาณาเขตหน้าเวทีเป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนที่สเต็ปอ่อนด้อย ไม่เปรี้ยวจริงอย่าไปโชว์ห่วยให้อายใคร ผมจำได้..ตอนนั้นตัวเองกำลังยืนอยู่ในดงของกินห่างจากเวทีลูกทุ่งไม่ไกล เสียงโวยวายโหวกเหวกดึงความสนใจให้ต้องหันหลังมอง ภาพของผู้คนพากันวิ่งหนี พ่อจูงมือลูกเร่งฝีเท้าเดินออกห่างทั้งที่อยู่ไกลจากจุดเกิดเรื่อง ป้าร้านขายน้ำ คว้าเอาโถแก้วที่ใส่ชานมกับโถไข่มุกลงด้านล่าง ลุงร้านผัดไทยปิดเตาและยกกระทะลงพร้อมกับจับกระชับผ้าขนหนูที่พาดคออยู่ สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่จุดๆ เดียว ..เอาอีกแล้ว คืนนี้ใครเหยียบตีนใคร หรือจะเป็น หางตามึงมองมาที่กู กูรู้ ไม่ก็ มึงเต้นแอ๊วเด็กกู ..สารพัดสาเหตุที่คนเลือดร้อนจะทะเลาะกันทั้งที่อยู่ในอารมณ์สนุกเหมือนกัน ..ผมเดินเข้าไปใกล้ คนที่อยากรู้อยากเห็นก็เยอะ พากันยืนตีกรอบล้อมเป็นวงกลม ผมว่าผมเตรียมเรียกรถโรงพยาบาลดีกว่า ถึงคู่กรณีจะมีแค่สอง แต่พวกของแต่ละฝ่ายที่ยืนคุมเชิงกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบ อาวุธเหมือนจะไม่มี แต่แค่ตีนกับมือก็ชุ่มเลือดได้
“มึงจะเอาไง! แต๋วเป็นเด็กกู”
“กูไม่สน”
..นั่นไง คิดไว้ไม่ผิด แล้วคืนนี้จะจบลงยังไง ผมว่าผมโทรหาตำรวจดีกว่า เรื่องจะได้จบก่อนที่จะต้องมานั่งเสียเวลาล้างคราบเลือดที่เปื้อนพื้น แต่ยังไม่ทันจะหยิบมือถือ จู่ๆ ก็มีคนใจกล้าร่างบางเดินออกจากกลุ่มคนมุงตรงไปเป็นจุดตรงกลางระหว่างคนสองคน
“เดี๋ยวก่อนดิคร๊าบบ”
“มึงเป็นใคร! เป็นพวกไอ้เหี้ยนี่รึไง”
“เปล่าพี่ ผมไม่ได้เป็นพวกใครทั้งนั้น”
“แล้วมึงเสือกไรด้วย”
“ผมแค่อยากบอกพี่สองคนว่า ต่อยกันเสร็จพี่จะต้องเจออะไรบ้าง”
“กูจะต่อยจะเจ็บก็เรื่องของพวกกู ไม่ต้องยุ่ง”
“ผิดล่ะพี่ พวกพี่ไม่ได้จะแค่เจ็บเว้ย แต่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาตัวให้พรรคพวกของพี่ ไหนจะคนที่โดนลูกหลง ทั้งค่าโรงพยาบาล ค่าหมอ ค่ายา ค่าทำขวัญ จ่ายค่าข้าวของที่เสียหายให้พ่อค้าแม่ค้า ค่าสูญเสียรายได้ ไหนจะเก้าอี้ของวงดนตรีที่พัง แถมยังต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีก ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีคนกล้าเข้ามาดูเพราะกลัวจะซวยมาเจอเรื่องแบบนี้ โอ้โหพี่ นี่ขนาดผมยังนึกออกไม่หมด ผมว่ามีหลายหมื่น แล้วพวกพี่ยังต้องโดนจับ ต้องจ่ายค่าประกันตัว ต้องเสียเวลาไปตามศาลนัด ต้องเสียเงินจุกจิกอีกเยอะ แถมมีประวัติติดตัว แล้วถ้าเกิดพวกพี่พิการขึ้นมา ผมถามหน่อย พวกพี่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ยังไง หรือถ้าเลวร้ายสุดๆ พวกพี่ต้องนอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องมีพ่อแม่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เอาจริงๆ นะ พอถึงตอนนั้น จะมีสาวที่ไหนมาเหลียวแล”
“...”
“...”
“ไม่คุ้มมั้งกับแค่ผู้หญิงคนเดียว ผมว่าคุยกันดีๆ พี่ก็อย่าขึ้น ส่วนพี่ก็อย่ายุ่งกับผู้หญิงที่เขามีเจ้าของ”
“ใช่ มึงผิด มึงเสือกมายุ่งกับผู้หญิงของกู”
“ก็จะทำไม มึงเป็นผัวน้องเขารึไง กูถึงจะยุ่งไม่ได้ หรือต่อให้มึงเป็นผัว แต่ถ้าน้องมันเล่นด้วย.. กูก็มีสิทธิ์เปล่าวะ”
“ไอ้สั..!!!”
แทนที่จะเป็นหมัดของคู่กรณี แต่มันกลับเป็นหมัดของคนขี้เผือกที่กระแทกเข้าหน้าของไอ้คนหน้าด้านแทน
“มึงต่อยเพื่อนกู!!”
“ผมแค่ต่อยเรียกสติพี่เขา ถ้าพวกพี่ๆ ไม่พอใจ.. จะเอาก็บอก”
“มึง..!!”
ผมยืนมองภาพที่เล่นแบบสโลว์ๆ ทั้งหมัด ทั้งศอก ทั้งเท้าของคนขี้เผือกแจกจ่ายเรี่ยราดไปทั่ว ทุกคนพากันยืนมองนิ่งไม่คิดขัดขวาง และก็ไม่คิดจะเข้าไปช่วย เพราะกลัวจะเข้าไปขัดจังหวะ กลัวว่าจะเป็นตัวเกะกะเปล่าๆ ..คนขี้เผือกเลยได้โชว์กระบวนท่าแบบไม่มีใครแย่งซีน
“พวกพี่ๆ โอเคนะครับ”
คนขี้เผือกถามหลังจากยกมือปาดเหงื่อออกจากขอบหน้าของตัวเองท่ามกลางซากคนที่ล้มนอนระเกะระกะนับสิบชีวิต
“โอเคแล้วคะครับ..”
“เข้าใจแล้วนะว่าตัวเองผิดน่ะ”
“ขะเข้าใจแล้ว”
“แยกย้ายนะ ผมไปล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน!”
“ยังมีอะไรข้องใจเหรอพี่ๆ”
หมอนั่นลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากแถมยังหยุดกลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึก “..มึงชื่อไร”
“พวกพี่อย่ามารู้จักผมเลย ผมอยากอยู่แบบคนธรรมดา”
“ไอ้เก๋ามาอยู่นี่เอง!” จู่ๆ ก็มีลุงคนนึงเดินผ่าเข้ามากลางวง “กลับได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่รึไง”
“รู้แล้วหน่าป๊า..”
หลังจากนั้นไอ้คนที่เพิ่งถูกประกาศชื่อก็เป็นที่รู้จักของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ไม่นานความ ‘เก๋า’ สมชื่อก็ถูกลือกระจายไปในคนย่านนั้นอย่างรวดเร็ว ร้านโชห่วยของแปะกับอี๊ - พ่อแม่ของปลาเก๋าเป็นที่รู้จักทันที แน่นอน ขายดีสุดๆ เพราะใครๆ ก็อยากเจอหน้าปลาเก๋า เพราะกิตติศัพท์ความห้าวหาญ ความกล้า ความเก่ง และความเก๋า ผมเองก็เหมือนกัน ประทับใจตั้งแต่วันนั้น ..ยิ่งหน้าตาที่น่ามอง ทั้งรูปร่างบอบบางน่ากอด ถึงจะย้อนแย้งกับแรงหมัดและท่าวาดขายาวๆ ในเวลาต่อสู้ ผมยอมรับเลยว่า มันเหมือนมีแสงออร่าสีขาวส่องสว่างจากตัวของปลาเก๋า มันติดตา.. แต่ที่ทำให้เราสนิทกันก็เพราะ เก๋าชอบเอา ‘ปลาทู’ ..มอเตอร์ไซค์คันเก่งมาให้ผมซ่อมที่ร้านเป็นประจำ
“บอกได้ยังว่าทำไมคืนนี้ต้องให้มานอนค้างอ่ะ”
“ก็.. นั่งทำรายงานไปเดี๋ยวค่อยคุย หรือเก๋าอยากอาบน้ำก่อน”
“อาบก่อนดีกว่า เสร็จจะได้นอนเลย”
เก๋าพูดจบก็เดินตรงเข้าห้องน้ำด้วยความเคยชิน ถึงจะมานอนไม่บ่อยแต่เก๋าก็คุ้นเคยกับห้องแคบๆ ของผมดี เพราะเก๋าอยู่ง่าย นอนง่าย ..ไม่นานปลาเก๋าก็เดินออกมา ใส่แค่กางเกงขาสั้น ส่วนเสื้อกีฬาที่จะใช้ใส่นอนก็ถูกพาดลวกๆ อยู่บนบ่าเนื้อขาว ..ไม่อยากบอกเลยว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอะไร
“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เอาเลยพี่ คิดซะว่าเป็นห้องของตัวเอง” เก๋าพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองผม แต่กำลังก้มลงเปิดแผ่นกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กหลังนั่งลงบนพื้น ..คนอะไรทำไมกวนตีนแล้วยังน่ามองขนาดนี้ ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมที่เปียกหมาดอย่างเอ็นดู
“เห็นเป็นหัวหมารึไง” คราวนี้ปลาเก๋ายอมเงยหน้าขึ้นมามองผม แถมยังเอามือมาจับมือของผมที่ยังอยู่บนหัวของตัวเองไว้
“ก็ใช่นะ แถมขนยังนิ่มกว่าหมาทั่วไปอีกตังหาก”
“หึ ถ้านี่เป็นหมา พี่ก็เป็นหมาเหมือนกันนั่นแหละ เป็นหมาแก่ซะด้วย”
“ห่างกันแค่ไม่กี่ปี..” ผมย่อตัวลงมองปลาเก๋าในระดับสายตา เก๋าเองก็มองผม ..สารภาพตอนนี้เลยดีไหม เวลานี้ก็เหมาะ บรรยากาศก็ได้ ถึงตัวจะเหม็นไปหน่อย แต่เก๋าก็น่าจะไม่รังเกียจ ระหว่างที่คิด หัวใจดวงเท่ากำปั้นก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ..เอาวะ ต้องตอนนี้ จังหวะมันได้แล้ว ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ปลาเก๋า บางทีภาษากายอาจจะดีกว่าคำพูดก็ได้ ..มุมได้ ..องศาก็ได้ ผมหรี่ตาลง เป้าหมายอยู่ที่ริมฝีปากสีแดงตุ่นที่กำลังเผยอออกเล็กน้อยอย่างมีนัย ผมเผลอกลืนน้ำลาย จากระยะครึ่งเมตร จนเหลือความห่างระหว่างผมกับปลาเก๋าแค่หนึ่งฝ่ามือ
“เห้ย!!! ใกล้เกินไปแล้ว” ปลาเก๋าพูดไม่พอยังดันอกของผมจนตัวผมกระเด็นไปไกลเป็นเมตร “จะทำอะไรวะพี่โต!”
ผมสะอึกไป “เอ่อ ก็เปล่านิ”
“ก็พี่.. เออ ไม่ได้จะทำอะไรก็ดีแล้ว ตกใจหมด” ปลาเก๋าพูดจบก็คว้าแว่นที่วางอยู่ขึ้นสวม ผมลืมไปสนิทว่าเก๋าสายตาสั้นมาก ถ้าไม่อยู่ในระยะหนึ่งเมตร เก๋าแทบจะมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ส่วนรายละเอียดบนหน้าก็คงต้องใกล้กว่านั้น แล้วนี่ผม..ห่างแค่คืบ แต่ผมจะกลัวอะไรวะ ต้องให้เก๋ารู้น่ะถูกแล้ว
“ไปอาบน้ำได้แล้วพี่โต ตัวเหม็น”
“อ่ะ อืม อาบๆ” ผมถอดใจเดินเข้าห้องน้ำ ..เอาไงต่อดี ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน อยากบอกคืนนี้ให้ได้เพราะตั้งใจไว้แล้ว เสียงน้ำก๊อกที่ถูกเปิดไว้เพื่อเติมน้ำในถังใบใหญ่ส่งเสียงดังประท้วงบอกผมว่าน้ำล้นแล้ว เพราะผมมัวแต่ยืนคิดไม่ยอมเอาขันตักนํ้าอาบสักที ผมสะบัดหัวเรียกสติก่อนจะจ้วงขันเอาน้ำราดหัว ..ใจเย็น รอตัวหอมๆ ก่อนก็ได้ ยังไงคืนนี้เก๋าก็นอนอยู่นี่ทั้งคืน เวลายังมี..
ผมเดินออกจากห้องน้ำ ..คงจะใจเย็นเกินไป เพราะเก๋านั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมเดินเข้าไปมองคนเก๋าๆ ใกล้ๆ ขนาดจะหลับยังไม่ถอดแว่น ..คงเหนื่อยซินะ ผมค่อยๆ ประคองหัวของปลาเก๋าขึ้นพิงอกของตัวเอง ถอดแว่นออกให้ ผมมองไปที่ลำตัวขาวกับกลิ่นหอมๆ ไหนจะ.. นี่ไม่ใช่เวลาหื่นสักนิด ผมสวมเสื้อให้ปลาเก๋า เจ้าตัวก็ดูจะรู้สึกตัวนิดหน่อยเลยกางแขนออกให้ผมใส่เสื้อได้ง่ายๆ ..มันน่านัก ผมสอดแขนจะช้อนร่างบางขึ้นอุ้ม เก๋าไม่ได้ปฏิเสธขัดขืน หรือจะหลับไปแล้วก็ไม่รู้ ปลาเก๋าเลยไม่ทันได้รู้ตัวว่าถูกผมฉวยโอกาสดมกลิ่นไปมากแค่ไหน อ่ะ จริงด้วย แผลรถชน ลืมไปซะสนิท ผมเดินไปหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลอย่างง่ายๆ ที่มีอยู่ ถ้าราดแอลกอฮอล์คงแสบเนื้อบางๆ ของเก๋า แต่ผมก็ไม่มีน้ำเกลือติดห้อง งั้นก็ต้องออกไปซื้อ ผมรีบลงจากชั้นสี่ของอพาร์ทเมนท์ ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และบิดไปตามทาง เซเว่นที่อยู่ไม่ไกลมีแน่ๆ
ผมกลับมาถึงห้องจนได้ ไอ้คนนอนหลับก็ยังหลับอยู่อย่างนั้น ผมพลิกตัวของปลาเก๋าให้นอนเหยียดตรง สำรวจแผลที่มีอยู่ มีที่หัวเข่ากับน่องขา ไม่ลึกมากแค่ลอยถลอก เนื้อบางลอกจนเห็นเนื้อแดง ..คิดแล้วก็โมโห อย่าให้รู้ว่ามันเป็นใคร ผมจะไปเอาคืนซะให้สาสมที่มาทำคนของผมเจ็บ ..ผมแตะสำลีที่เปียกน้ำเกลือหมาดสัมผัสที่แผลอย่างแผ่วเบา ..กลัวเก๋าเจ็บ ผมห่มผ้าให้เก๋าหลังจากที่ทำแผลเสร็จ คืนนี้คงไม่ใช่เวลาที่ใช่สินะ น่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไร ยังไงปลาเก๋าตัวนี้ก็ต้องอยู่ในปิ่นโตเถานี้แน่นอน
.
.
.
