ความเกลียดชังที่ได้รับ 1.1
บทที่ 4 ความเกลียดชังที่ได้รับ
ตำหนักท้ายวัง หากวัดจากระยะทางแล้วนับเป็นตำหนักที่อยู่ห่างไกลเป็นที่สุด ซึ่งตำหนักแห่งนี้แทบจะเป็นตำหนักร้างอยู่แล้วเพราะไม่มีผู้ใดมาอาศัยอยู่เสียนาน ดังนั้นก่อนที่จะให้องค์หญิงน้อยมาอยู่ จึงต้องทำความสะอาดกันเสียยกใหญ่ กว่าจะได้ย้ายเข้ามาก็ปาเข้าไปยามเว่ยเกือบจะเช้าแล้ว
ไทเฮาทรงจัดแจงให้องค์หญิงจิ๋นซีมีแม่นมเกิ่งคนหนึ่งและนางกำนัลอีกสี่ห้าคน คราแรกเสี่ยวหลัวจะขอไปดูแลองค์หญิงน้อยด้วยตัวเอง แต่ทว่านางต้องไว้ทุกข์ให้กับฮองเฮาที่เพิ่งจากไป จึงยังไม่สามารถทำหน้าที่ดูแลองค์หญิงได้ในตอนนี้ ดังนั้นนางกำนัลที่ไปอยู่ตำหนักท้ายวังจึงเป็นคนของไทเฮาทั้งหมด
ซึ่งทั้งแม่นมเกิ่งและนางกำนัลเหล่านั้นไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรที่ถูกส่งไปอยู่ตำหนักท้ายวังแห่งนี้ เป็นเพราะที่นี่เปลี่ยวร้างน่ากลัวเสียเหลือเกิน เนื่องจากความเป็นอยู่ก็ไม่ดีงามและสะดวกสบายเหมือนตำหนักอื่น ๆ อีกทั้งโอกาสที่จะได้รับความดีความชอบก็แทบไม่มีเสียด้วย เนื่องจากองค์หญิงจิ่นซีเองก็เป็นเพียงทารกน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น นางจะประทานรางวัลให้ผู้ใดได้ ว่าไปแล้วนับเป็นการสูญเสียโอกาสของพวกนางเสียมากกว่า
ยามเว่ยของวันหนึ่ง
ในตำหนักท้ายวังที่เปลี่ยวร้างไม่ได้ต่างอะไรไปจากตำหนักเย็น มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้นไม่หยุด ทว่ากลับไม่มีแม่นมเกิ่งหรือนางกำนัลคนไหนกระตือรือร้นที่จะอุ้มนางขึ้นมาปลอบโยนเพื่อให้หยุดร้องสักคน นางกำนัลและแม่นมเกิ่งทำเพียงแค่นเสียงก่นด่าองค์หญิงน้อยไปวัน ๆ ด้วยความไม่พอใจเท่านั้น
“จะร้องอะไรกันนักกันหนา ร้องอยู่แทบจะทุกชั่วยาม เอาแต่ร้องไห้แหกปาก ช่างเกิดมาเพื่อทรมานผู้อื่นจริง ๆ” นางกำนัลผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นางไม่เพียงแต่บ่นเท่านั้นทั้งยังเดินออกมาจากห้องนอนขององค์หญิงจิ๋นซีอีกด้วย ทิ้งให้ทารกน้อยร้องไห้อยู่คนเดียว
“ไทเฮาทำอย่างนี้ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมต้องเป็นพวกเราที่ถูกส่งมาอยู่ที่นี่ด้วยก็ไม่รู้ อะไร ๆ ก็ลำบากไปหมด ตอนอยู่ตำหนักอวิ๋นผิงพวกเราได้กินแต่อาหารดี ๆ พอมาอยู่ตำหนักนี้ได้กินแต่ของซ้ำซาก ข้าวต้มกับผัดผักเกือบจะทุกมื้อเลย” นางกำนัลอีกคนก็บ่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน
แต่มีนางกำนัลผู้หนึ่งที่คิดไม่เหมือนคนอื่น นางกลับคิดในแง่ดี “ในภายภาคหน้าหากว่าองค์หญิงเติบโตขึ้น พวกเราที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่”
“องค์หญิงใหญ่แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อฝ่าบาทไม่ทรงโปรดนาง แม้กระทั่งจะอุ้มพระองค์ยังทรงไม่แตะต้องนางเลย เจ้าจำไม่ได้หรืออย่างไรว่าเป็นเพราะให้กำเนิดนาง ฮองเฮาถึงได้สิ้นพระชนม์ เยี่ยงนี้แล้วเจ้ายังคิดว่านางจะเติบใหญ่จนมีชีวิตที่ดีให้เราเกาะเกี่ยวขาอยู่อีกหรือ” แม่นมเกิ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้นแย้งขึ้นมา เนื่องจากมองไม่เห็นทางเรื่องที่องค์หญิงน้อยองค์นี้จะเติบโตมาแล้วจะมีชีวิตที่ดี
“ก็จริงอย่างที่แม่นมเกิ่งกล่าวมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปชีวิตพวกเราคงต้องอยู่กันอย่างหมดหวังแล้ว” นางกำนัลคนเดิมตัดพ้อออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ส่วนคนที่เหลือนั้นก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน มีบางคนถึงขั้นเกลียดชังองค์หญิงน้อยที่ทำให้พวกตนมาพบกับชีวิตที่อับจนเช่นนี้
หกเดือนต่อมา...
นับตั้งแต่องค์หญิงใหญ่จิ่นซีถือกำเนิด ยามนี้ตำหนักอื่น ๆ ต่างก็ค่อย ๆ มีองค์หญิงและองค์ชายที่เป็นผลพวงจากการที่ฮ่องเต้เสด็จไปตำหนักนางสนมอื่นๆ มากขึ้นในตอนที่ฮองเฮาตั้งพระครรภ์คลอดออกมากันแล้ว ทำให้แต่ละตำหนักมีบรรยากาศที่คึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตำหนักของหวงกุ้ยเฟยที่สามารถคลอดองค์ชายองค์แรกให้กับฝ่าบาทได้
และด้วยความปีตินี้ ฝ่าบาทจึงได้ทรงมอบตราหงส์ให้นางดูแลวังหลังเป็นการชั่วคราว
“ตราหงส์อยู่ในมือของข้าแล้ว นับจากนี้ต่อไปไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถขัดขวางข้าได้อีก อีกไม่นาน ข้าต้องได้ตำแหน่งฮองเฮามาครอบครองเป็นแน่” หวงกุ้ยเฟยถือตราหงส์ไว้ในมือ นางพลิกมันไปมาเพื่อที่จะดูทุกมุม พร้อมกับชื่นชมมันอยู่นาน ก่อนจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปากข้างหนึ่งด้วยความพึงพอใจ
“ตราหงส์สมควรที่จะอยู่กับพระสนมตั้งนานแล้วเพคะ ความจริงแล้วพระสนมเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งนี้”เยี่ยหงกล่าวอย่างประจบประแจง เพราะยิ่งเจ้านายได้ดีมีตำแหน่งสูง นางก็จะได้เกาะแข้งเกาะขามีชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้นไปด้วย
หวงกุ้ยเฟยมองไปยังโอรสตัวน้อยซึ่งกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณองค์ชายของข้า เป็นเพราะเขาแท้ ๆ ข้าถึงได้ตรานี้มา อีกทั้งยังได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย”
“องค์ชายใหญ่เป็นผู้มีบุญญาธิการอย่างแท้จริงเพคะ จะต้องนำพาแต่สิ่งดีงามมาสู่พระสนมอย่างแน่นอน”
เยี่ยหงยังคงวาจาขี้ประจบของตนเองเอาไว้ เพราะในภายภาคหน้านางจำเป็นต้องเกาะหวงกุ้ยเฟยอีกนาน อีกทั้งหวงกุ้ยเฟยตอนนี้มีแววของความรุ่งเรืองแล้ว หากนายรุ่งเรือง บ่าวย่อมสบายตามไปด้วยอย่างไรล่ะ
