
บทย่อ
องค์หญิงจิ่นซีเป็นองค์หญิงใหญ่ของราชวงศ์ก็จริง แต่กลับมิได้รับการแยแสจากพระบิดา เนื่องจากในวันที่นางถือกำเนิดนั้นพระมารดาผู้รั้งตำแหน่งฮองเฮากลับมาสิ้นชีพไป ทำให้ฮ่องเต้ที่ทรงรักใคร่ฮองเฮายิ่งกว่าสิ่งใดเกิดอคติในใจขึ้นมา คิดชิงชังบุตรสาวว่านำพาเภทภัยมาสู่คนที่พระองค์รัก ด้วยความที่ไม่เป็นที่ต้องการ ทำให้นางถูกคนรังแกนับครั้งไม่ถ้วน ทว่านางยังไม่นับว่าหมดวาสนาและอาภัพไปเสียทั้งหมด เพราะยังได้ไทเฮากางปีกปกป้อง ทั้งยังคอยพร่ำสอนนางให้คอยระวังหวงกุ้ยเฟยให้ดี เพราะสตรีนางนี้ชิงชังฮองเฮาพระองค์ก่อนยิ่งนัก ซ้ำยังไม่พอใจที่จนป่านนี้ฝ่าบาทก็ไม่ยินยอมแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮาแทนพระมารดาขององค์หญิงใหญ่จิ่นซี องค์หญิงใหญ่จิ่นซีที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นภายใต้คนที่มุ่งหมายปองร้ายนาง ไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามแต่ยังมีสติปัญญาอันชาญฉลาด สามารถช่วยคิดแก้ไขปัญหาที่ฮ่องเต้ทรงคิดไม่ตกได้มากมาย ทว่านางไม่คิดรับความชอบจึงไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นคนเสนอความคิดเหล่านั้น นางเพียงแค่ยืนอยู่เบื้องหลังไทเฮาและทำหน้าที่หลานสาวที่ดีพร้อม ทว่าไหนเลยไทเฮาจะปล่อยผ่านได้ พระนางยกย่องความเก่งกาจของหลานสาวผู้นี้อย่างออกหน้าออกตา จนทำให้องค์หญิงใหญ่ที่แต่เดิมไร้คุณค่าในสายตาผู้คนกลับเฉินฉายราวกับดวงดาราที่ตรัสแสงขึ้นมาท่ามกลางวังหลวง องค์หญิงจิ่นซีมิได้หลงระเริงไปกับการได้รับความชอบหรือของขวัญพระราชทานจากฮ่องเต้ นางยังมีความคิดที่เป็นอิสระและมุ่งมั่นที่จะหยัดยืนและสร้างอนาคตที่งดงามขึ้นด้วยสองมือตน ทว่าในระหว่างที่นางกำลังพยายามสร้างฐานอำนาจและความมั่งคั่งเพื่อชีวิตในภายหน้าของตนอยู่นั้น หญิงสาวกลับต้องไปพัวพันเกี่ยวข้องกับแม่ทัพผู้หนึ่ง และก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่ทำให้นางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระตามใจ วาสนารักที่นางไม่เคยนึกฝันสายนี้ จะเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปเช่นไร สามารถติดตามได้ในเล่มนะคะ
สัญญาณร้ายหรือดี 1.1
บทที่ 1
สัญญาณร้ายหรือดี
ย่างเข้ายามเว่ยของวันหนึ่งในรัชศกเทียนเจี้ยที่สิบสอง เมืองหลวงแคว้นเยียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนหนาทึบราวกับว่าพายุจะเข้า เสียงฝนฟ้าคะนองดังกึกก้องไปทั่วผืนแผ่นดิน
เมฆฝนพวกนี้เคลื่อนตัวมาอย่างกะทันหัน ทำให้ชาวเมืองต่างพากันเก็บข้าวของหลบฝนกันวุ่นวาย พวกร้านค้าที่ตั้งอยู่ที่ถนนฟางเป่ยต่างก็รีบปิดประตูลง เพราะมีลมพัดกระโชกแรงพัดเอาเสื้อผ้าที่แขวนห้อยไว้หน้าร้านปลิวสะบัด บางตัวถึงกับหลุดออกจากราวแขวนไปกองอยู่ที่พื้นก็มี
“ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้น เหตุใดฝนฟ้าถึงได้พิโรธถึงเพียงนี้” เจ้าของร้านผ้าเอ่ยกับเด็กเฝ้าร้านที่เพิ่งจ้างมาได้ไม่กี่วันด้วยความแปลกใจ
เด็กเฝ้าร้านได้ยินเถ้าแก่เอ่ยก็ตอบกลับ พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างรีบเก็บของเข้าร้านไปด้วย “ข้าคิดว่าคงไม่มีเรื่องร้ายอันใดหรอกขอรับเถ้าแก่ นี่ก็เข้าฤดูคิมหันต์แล้ว ย่อมมีพายุเป็นธรรมดา อย่าคิดมากเลยขอรับ”
“อ้อ…จริงของเจ้า ข้าก็ลืมนึกไปเลยว่านี่เข้าฤดูคิมหันต์แล้ว เช่นนั้นรีบเก็บของกันเถอะ ประเดี๋ยวฝนจะสาดเข้ามาในร้านเสียก่อน” เถ้าแก่เอ่ยจบก็รีบออกมาช่วยเด็กเฝ้าร้านเก็บของด้วยเพราะกลัวว่าจะไม่ทันการ
เมื่อทุกอย่างกลับเข้าไปอยู่ในร้านแล้ว พวกเขาก็รีบดึงประตูปิดทันที
อีกด้านหนึ่งทางวังหลวง
ณ ตำหนักเยี่ยนฟางในห้องพระบรรทมชั้นใน ฮองเฮาที่กำลังเจ็บท้องคลอดอยู่นั้น เวลานี้ใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ เสียงหอบหายใจถี่ พร้อมหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงนั้น บ่งบอกว่าพระนางกำลังทรงทรมานเป็นอย่างยิ่ง
“ฮองเฮาทรงอดทนอีกนิดนะเพคะ ประเดี๋ยวหมอหลวงก็คงจะมาถึงแล้ว” เสี่ยวหลัวนางกำนัลคนสนิทกล่าว ต่อให้จะเป็นการกล่าวเพื่อให้กำลังใจ แต่ทว่าสีหน้าของนางก็ยังคงเป็นกังวลอยู่
ไม่น้อย เพราะนางกำนัลอีกคนหนึ่งไปตามหมอหลวงนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มาสักที เช่นนั้นแล้วเหล่านางกำนัลที่ตำหนักเยี่ยนฟางต่างก็ร้อนใจมาก
ฮ่องเต้เองก็ทรงร้อนพระทัยเช่นกัน พระองค์เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าตำหนัก จนสุดท้ายทนไม่ไหวต้องเร่งทหารให้ไปดูว่าหมอหลวงออกมาหรือยัง
“พวกเจ้าสองคนไปดูหมอหลวงที หากจำเป็นต้องแบกก็แบกมาเลย ให้มาให้เร็วที่สุด” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แต่แลดูเป็นกังวลไม่น้อย
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารองครักษ์สองนายได้รับพระบัญชาแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที
“ฝ่าบาทอย่าทรงร้อนพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หวงกงกงเอ่ยขึ้นมาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ เขากลัวว่าหากฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลมากเกินไป จะกระทบพระวรกายอันล้ำค่าของพระองค์
ฮ่องเต้หันมากล่าวกับหวงกงกงด้วยพระสุรเสียงที่จริงจัง “เจ้าจะไม่ให้เราร้อนใจได้อย่างไร เวลานี้ฮองเฮากำลังจะคลอดคือบุตรคนแรกของเรานะ อย่าว่าแต่เราเลย ต่อให้เป็นผู้อื่นก็ต้องร้อนใจไม่แพ้กัน”
ทหารองครักษ์สองคนวิ่งออกไปได้ยังไม่ทันถึงไหนก็กลับมาพร้อมกับหมอหลวง ซึ่งทั้งสองวิ่งมาอย่างเร่งรีบ อีกทั้งยังมีศิษย์จากสำนักหมอหลวงอีกผู้หนึ่งมาช่วยด้วยเหมือนกัน พวกเขามาพร้อมเครื่องมือครบครัน เตรียมพร้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมมาช้า”
เมื่อฮ่องเต้เห็นว่าหมอหลวงมาถึงแล้วก็โล่งพระทัย “อย่าได้มาเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย รีบเข้าไปเถอะ”
เมื่อได้รับคำสั่ง หมอหลวงก็ไม่รอช้ารีบเข้าห้องคลอดทันที แม้ว่าอากาศภายนอกยามนี้มีฝนตั้งเค้า แต่ทว่าคนที่อยู่ด้านในล้วนแต่เหงื่อผุดขึ้นซึมเต็มใบหน้า สีหน้าของทุกคนมีแต่ความกังวล เนื่องจากทำคลอดกันมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่เด็กก็ยังไม่ยอมออกมาเสียที ฮ่องเต้ที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งร้อนพระทัยเข้าไปใหญ่