ตอนที่ 3 เป็นนางใช่หรือไม่
ขบวนทัพอันยิ่งใหญ่เคลื่อนตัวไปสู่จวนเจ้าเมือง บุรุษผู้หนึ่งซึ่งเคยปลีกตัวออกจากขบวนก่อนหน้านี้ กลับเข้ามารวมตัวกับคนอื่นๆ เขาเดินแทรกเข้าไปในแถวของทหารอย่างแนบเนียนเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ผู้ที่รอท่าอยู่ก่อนแล้วเห็นนายของตนกลับมา ความวิตกกังวลพลันสลายหายไป
“คุณชาย ข้าเกือบจะหัวใจวายตายเพราะท่านอยู่รอมร่อแล้วนะขอรับ” เสิ่นหยางกระซิบต่อว่าทันที
เฉินหย่งเจี๋ยยิ้มบาง “ข้าก็กลับมาแล้วอย่างไรเล่า ไม่มีใครจับได้หรอกน่า”
เสิ่นหยางเค้นเสียงฮึในลำคอหนึ่งที พร้อมกับส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ “คราวนี้โชคดีที่ท่านแม่ทัพไม่สงสัย แต่ครั้งหน้าอาจไม่เป็นเช่นนี้”
ร่างสูงทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนั้น ด้วยรู้ดีว่าอาหยางห่วงใยตนมากเพียงใด การร่วมกองทัพในครั้งนี้เขาไม่ได้เต็มใจมาสักนิด หากมิใช่เพราะประกาศิตของบิดาแล้วไซร้ คงไม่มาเป็นตัวตายตัวแทนให้พี่ชายต่างมารดาเช่นนี้เป็นแน่ แม่ทัพน้อยสกุลเฉินที่ใครๆ ต่างสรรเสริญว่าองอาจกล้าหาญนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงบุรุษขี้ขลาดที่ลุ่มหลงอยู่ในอำนาจผู้หนึ่ง เรื่องวรยุทธ์อันสูงส่งซึ่งผู้คนเล่าขานนั้นล้วนไม่เป็นความจริง
ตระกูลเฉินเป็นทหารกล้าคอยรับใช้แผ่นดินแคว้นเหยามาหลายชั่วอายุคน ทุกคนล้วนได้รับยศแม่ทัพด้วยกันทั้งสิ้น ซ้ำยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ทุกยุคสมัยมาตลอด ทว่าในรัชสมัยเหยาซีหลงฮ่องเต้นั้น กลับเห็นว่าอำนาจของสกุลเฉินมีมากเกินไป จึงหาทางลดทอนลง ในที่สุดพระองค์ก็ทำได้สำเร็จ ตระกูลเฉินถูกใส่ไคล้ในข้อหายักยอกงบเสบียง และไม่สามารถดูแลกองทัพให้ดีได้ ทหารในทัพออกปล้นคร่าชาวเมือง เฉินฟูเฉิงผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในขณะนั้นถูกปลดจากตำแหน่ง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับงานกองทัพเป็นเวลาสิบปี
ความคับแค้นใจจากการถูกกลั่นแกล้งนี้ ส่งผลให้เฉินฟูเฉิงกลายเป็นคนนิ่งขรึมน่ากลัว ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้เลย เขาเคี่ยวกรำบุตรชายมาดหมายให้เก่งกาจเหนือผู้ใด เพื่อหวังทวงตำแหน่งแม่ทัพของตนกลับคืนมา แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะชังเขาอยู่ไม่น้อย บุตรชายคนโตซึ่งเกิดจากฮูหยินเอกกลายเป็นคนไม่ได้เรื่อง อ่อนแอ ขี้ขลาดซ้ำยังไม่รู้จักโต บุตรชายคนรองก็พิการ แม้มีสติปัญญาล้ำเลิศ ทว่าขาที่เดินไม่ได้เนื่องจากประสบอุบัติเหตุตอนเด็กนั้น ส่งผลให้อีกฝ่ายไม่สามารถเข้าสอบขุนนางได้ หนทางในการเป็นขุนนางของคุณชายรองดับวูบลงทันใด ผู้เดียวที่เฉินฟูเฉิงเห็นว่าพอจะใช้งานได้ คงมีเพียงบุตรชายคนเล็กอย่างเฉินหย่งเจี๋ย ผู้เป็นบุตรนอกสมรส
เฉินหย่งเจี๋ยถูกเลี้ยงดูมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ อยู่นอกจวนมาหลายปี ด้วยความที่มารดาเป็นเพียงหญิงคณิกา ถึงแม้จะเป็นเพียงคณิกาขายศิลป์ไม่ได้ขายเรือนร่าง กระนั้นทางสกุลเฉินก็มิอาจรับหญิงงามเมืองเข้าตระกูลได้ พวกเขาแม่ลูกจึงใช้ชีวิตกันเงียบๆ อยู่ที่เมืองปี้อันซึ่งห่างจากเมืองหลวงราวร้อยลี้ ไม่เคยแสดงตัวว่ามีความข้องเกี่ยวอันใดกับตระกูลเฉินเลยสักนิด จนกระทั่งวันที่มารดาจากไป เฉินฟูเฉิงจึงปรากฏตัวขึ้นที่บ้านหลังน้อยของเขา พร้อมกับพาเด็กชายวัยแปดหนาวกลับมายังจวนเฉินด้วยกัน
เฉินฟูเฉิงบอกทุกคนในตระกูลว่ารับอุปการะเด็กกำพร้ามาเป็นลูกบุญธรรม เฉินหย่งเจี๋ยรู้ดีว่าบิดานั้นเป็นพวกห่วงหน้าตาตัวเองมากเพียงใด คงไม่ดีแน่ถ้าใครๆ จะรู้ว่าอีกฝ่ายแอบเลี้ยงดูอุ้มชูหญิงคณิกาไว้นอกเรือน แต่เพราะได้รับการแนะนำว่าเป็นบุตรบุญธรรม ฮูหยินใหญ่และบรรดาอี๋เหนียงทั้งหลายจึงไม่ได้เกลียดชังกันมากนัก จะมีเพียงคุณชายใหญ่อย่างเฉินหย่งเต๋อที่คอยหาเรื่องเขาเป็นประจำ
เฉินหย่งเจี๋ยในวัยแปดหนาวนั้นดีใจมากด้วยคิดว่าบิดาก็รักเขาและมารดาเช่นกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงได้รู้เหตุผลแท้จริงที่ท่านพ่อไปรับตนมายังสกุล ซ้ำยังเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี..ชายหนุ่มถูกฝึกฝนอย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก เขามีหน้าที่คอยติดตามรับใช้และตามเก็บกวาดเรื่องที่เฉินหย่งเต๋อก่อ รวมทั้งยังคอยเป็นตัวตายตัวแทนของอีกฝ่ายอีกด้วย เรื่องราวเหล่านี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อมีการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์มังกร เหยาซีหลงฮ่องเต้สวรรคตด้วยวัยเพียงสามสิบพรรษา เมื่อเหยาหมิงหยวนฮ่องเต้สืบราชสมบัติต่อ โทษของเฉินฟูเฉิงจึงถูกยกเลิก จากนั้นก็กลับมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เหมือนเดิม
เฉินหย่งเต๋อถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแม่ทัพแห่งค่ายเฮยหลางต่อจากบิดา แต่ว่าด้วยไร้ความสามารถ เฉินหย่งเจี๋ยจึงต้องปลอมตัวเป็นพี่ชายต่างมารดาอยู่หลายครั้งหลายหน เนื่องจากพวกเขามีรูปร่างที่ใกล้เคียงกัน จึงไม่มีใครสงสัย ในการศึกสงครามทุกครั้ง ผู้ที่ควบอาชาออกไปประจัญบานกับศัตรูคือเขา... เฉินฟูเฉิงเองก็รู้ในความสามารถของบุตรนอกสมรสผู้นี้ดี ทว่าจะให้อีกฝ่ายมียศตำแหน่งเหนือบุตรภรรยาเอกมิได้ และเขาก็ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มเช่นกัน ดังนั้นบุตรชายคนเล็กสมควรเป็นเพียงเงาของผู้อื่นเช่นนี้ต่อไป
เพียงคำว่าต้องกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด เฉินหย่งเจี๋ยจึงมิอาจปฏิเสธคำของท่านพ่อได้ เขาเคารพบิดา รักอี๋เหนียงสี่เหมือนดั่งแม่แท้ๆ นางเป็นคนเดียวที่คอยดูแลเขาเป็นอย่างดีมาตลอด แต่ว่าเขาก็รักตัวเองเช่นกัน ความคิดนี้เริ่มผุดขึ้นมาในหัวเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาเป็นเงาออกรบแทนพี่ชาย เมื่อได้รับชัยชนะกลับมาผู้คนต่างสรรเสริญเฉิงหย่งเต๋อ แต่นั่นไม่ใช่เหตุที่ทำให้เริ่มคิดเป็นอื่น ในระหว่างทางที่เคลื่อนทัพกลับเมืองหลวง เขาได้รับจดหมายลับจากบิดาให้ไปรับโสมพันปีจากท่านหมอเทวดายังเขตหุบเขามี่ฮวน แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแผนการร้ายของคนผู้หนึ่งที่ลวงเขาไปสังหารทิ้ง
โชคดีที่ครั้งนั้นพ้นภัยมาได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากเด็กสาวผู้หนึ่ง นางคอยดูแลเขาอยู่ไม่ห่าง ซ้ำยังเป็นผู้ฉุดเขาออกมาจากความตาย และนางยังเป็นผู้ที่ขโมยหัวใจของเขาไปด้วยเช่นกัน ครั้นรอดตายมาได้ ก็กลับไปยังสกุลเฉินเพื่อสืบหาผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ ท่านพ่อไม่มีพิรุธใดๆ เรื่องให้ไปรับโสมพันปีนั้นเป็นความจริง เช่นนั้นต้องมีคนอาศัยเรื่องนี้เพื่อโจมตีตนเป็นแน่ แม้จะสงสัยฮูหยินใหญ่และเฉินหย่งเต๋อมากเพียงใดก็ตามแต่ไม่มีหลักฐาน เพียงแค่คาดเดาจากท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมาว่ารังเกียจตนอย่างไม่คิดปิดบัง ผิดกับเมื่อก่อนลิบลับ คล้ายกับว่านางรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อหาคนร้ายไม่ได้ก็จำต้องเก็บงำความคลางแคลงไว้ในใจ แล้วสืบหาผู้บงการอย่างลับๆ กระนั้นก็ดูเหมือนว่าบิดาจะยังไม่พอใจกับอำนาจที่มีอยู่ตอนนี้ ยังคงผลักดันให้บุตรชายคนโตมีตำแหน่งใหญ่โตขึ้นไปอีก การศึกในครั้งนี้จึงสำคัญต่อเฉินหย่งเต๋อมากนัก หากทำสำเร็จจะได้เลื่อนสองขั้นทันที ดังนั้นภาระทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่เขา
ฉากหน้าที่ทุกคนเห็นคือเฉินหย่งเต๋อนำทัพกว่าห้าหมื่นนายไปอย่างองอาจ ทว่าฉากหลังนั้นอีกฝ่ายทำเพียงหดหัวรออยู่ในกระโจม ผู้ที่ออกรบแทนครั้งนี้เป็นองครักษ์ข้างกาย เฉินหย่งเจี๋ยไม่อยากเข้าร่วมการศึกเนื่องจากเด็กสาวผู้นั้น เขาแอบดื่มยาพิษให้ตัวเองล้มป่วยจนไม่สามารถออกรบได้ กระนั้นพี่ชายใหญ่ก็ยังมาบังคับให้เขาคิดแผนการศึกให้อยู่ดี
เมื่อทุกคนออกจากค่ายจนหมด ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนชุดจากนั้นแอบอ้อมไปอีกทาง เพื่อไปให้ถึงเผ่าฮวนหยาก่อนทหารเหล่านั้น เขาหวังว่าจะพาเด็กสาวหนีออกมาก่อนจะเกิดการนองเลือด แต่ไม่ว่าจะตามหาที่ใดก็ไม่พบนาง ใจเขามีความหวังขึ้นมาทันที คิดว่านางคงหนีไปได้แล้วเป็นแน่..ประชาชนเผ่าฮวนหยาถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามการศึกก็จบลง ศพของชาวฮวนหยาถูกทหารเหยียบย่ำ ไฟลุกโชนแผดเผาทุกอย่าง ไม่มีครั้งไหนที่เฉินหย่งเจี๋ยจะรู้สึกสลดใจเท่าครั้งนี้ เขาอยู่ในสนามรบมานานสังหารคนมาก็มากมาย แต่ไม่เคยเจ็บปวดใจจากการเห็นคนตายเท่าคราวนี้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะที่แห่งนี้เป็นบ้านของนางกระมัง
คนก็หาไม่พบ ศึกก็จบไปแล้ว เฉินหย่งเจี๋ยจึงลอบกลับมายังค่ายแล้วกลับเข้าไปนอนเป็นคนป่วยอยู่ในกระโจม เขาได้แต่ภาวนาขอให้อาเฟยปลอดภัย
“คุณชาย เมื่อครู่ท่านไปไหนมาขอรับ” เสิ่นหยางยังคงสงสัยไม่หาย อยู่ๆ อีกฝ่ายก็ปลีกตัวออกจากขบวนทัพไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
“ข้าไปทำธุระมานิดหน่อย” เมื่อครู่ในขณะที่เดินผ่านชาวบ้านซึ่งออกมาต้อนรับขบวนทัพ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับเด็กสาวผู้หนึ่ง นางคล้ายอาเฟยของเขามาก คิดได้ดังนั้นก็ปลีกตัวออกจากแถวก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อไปถึงยังจุดที่ร่างบอบบางนั้นเคยยืนอยู่ กลับไม่พบคนเสียแล้ว
