ห้วงแค้นแสนรัก

129.0K · จบแล้ว
ถานเซียง
58
บท
9.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หลิงชิงเฟยสูญเสียทุกอย่างไปในชั่วข้ามคืน เป้าหมายเดียวที่มีคือทวงความเป็นธรรมให้แก่ทุกคนในเผ่า และคนที่ชดใช้จะต้องเป็นแม่ทัพผู้นั้น แต่ไฉนเรื่องราวกลับเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ระหว่างความรักกับความแค้นนางควรเลือกสิ่งใดดี. เขา…ผู้ที่คอยเป็นเงาของคนอื่นอยู่เสมอ สิ่งเดียวในใต้หล้าที่ปรารถนาก็คือนาง แต่เหตุใดระหว่างเขาและนางต้องมีบัญชีหนี้เลือดด้วยเล่า แล้วเขาจะจัดการเช่นไรกับเรื่องยุ่งยากใจนี้ ******* “นั่งลงสิ เจ้าไม่หิวหรืออย่างไร” สิ้นคำถามนั้น เสียงโครกครากก็ดังมาจากร่างอรชรที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่รอให้นางได้ตั้งตัว เฉินหย่งเจี๋ยก็ฉุดคนนั่งลงบนตักของตนทันที หลิงชิงเฟยสะดุ้งเฮือกดีดกายลงจากตักเขาอย่างลืมตัว เมื่อรู้ตัวว่าทำพลาดไป จึงได้แต่ส่งยิ้มหวานกลบเกลื่อน “เอ่อ..ให้ข้ารินสุราให้นะเจ้าคะ” “ไม่ต้อง นั่งลงเถิด” ครั้นเห็นว่านางไม่มีทีท่าว่าจะขยับ จึงได้ข่มขู่ออกไป “หากไม่อยากร่วมโต๊ะกับข้า ก็กลับห้องของเจ้าไปเสียเถิด” “ไม่กินรึ” เฉินหย่งเจี๋ยเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “หรือกลัวว่าข้าจะวางยาเจ้า” “มิได้เจ้าค่ะ” กล่าวพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบข้าวเข้าปาก “กิริยาท่าทางเยี่ยงเจ้าไม่สมกับเป็นหญิงนางโลมเลยสักนิด” “ข้าเป็นเช่นไรหรือเจ้าคะ” พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง “ทึ่มทื่อ เหลอหลา หาความเป็นหญิงไม่ได้” ไม่เอ่ยเพียงปาก สายตายังจับจ้องไปยังส่วนที่บอกว่าไม่สมกับเป็นสตรี ใบหน้าของหลิงชิงเฟยเห่อร้อนขึ้นมาโดยพลัน นางยกแขนขึ้นบังหน้าอกไว้ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันจากเขาก็ยิ่งอับอาย “ข้ายังไม่โตเจ้าค่ะ เพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น หากอายุเยอะกว่านี้เดี๋ยวมันก็โตตามไปเอง” “จะเป็นเช่นนั้นแน่รึ” ก็ยังไม่หยุดที่จะยั่วเย้าอีกฝ่าย “เหตุใดเจ้าจึงมาเป็นหญิงคณิกาได้” “ข้าถูกครอบครัวนำมาขายเจ้าค่ะ พวกเขาต้องการเงินเพื่อส่งพี่ชายข้าเข้าเรียนสำนักศึกษาดีๆ เมื่อเขาสอบติดซิ่วไฉความเป็นอยู่ของครอบครัวจะได้ดีขึ้นเจ้าค่ะ” “ช่างเป็นการเสียสละที่น่าขันยิ่งนัก” เขาอยากจะหัวเราะให้กับคำลวงของนาง ผู้ใดเสี้ยมสอนเรื่องเช่นนี้ให้อาเฟยของเขากัน “หากพี่ชายเจ้าสอบไม่ติดเสียทีเล่า เจ้ามิต้องเอาทั้งชีวิตของตนมาทิ้งไว้ที่หอคณิกาหรอกหรือ ต้องทนให้ผู้คนดูแคลนไปชั่วชีวิต” “ข้ายินดีเป็นหญิงคณิกาไปชั่วชีวิต หากมันทำให้ครอบครัวข้าอยู่สุขสบายขึ้น” “ช่างเป็นบุตรีที่กตัญญูยิ่งนัก น่านับถือ น่านับถือ” ชายหนุ่มเอ่ยแกมประชด “เจ้ามีคนรักหรือไม่” ประกายตาของหลิงชิงเฟยวูบไหวด้วยคิดไม่ถึงว่าจะถูกถามเยี่ยงนี้ นางเผลอกำตะเกียบไว้แน่น แล้วกล่าววาจาโป้ปดออกไป “ไม่มีเจ้าค่ะ” “เจ้ามี..” เฉินหย่งเจี๋ยตอบกลับทันควัน “ข้าจะให้โอกาสตอบอีกครั้ง หากเจ้าบอกว่ามี ข้าจะส่งเสริมให้พวกเจ้าได้อยู่ด้วยกัน หากตอบว่าไม่ ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นของผู้อื่นอีกเลย”

นิยายจีนโบราณนิยายรักโรแมนติกแม่ทัพแก้แค้นจีนโบราณ

บทนำ

สายลมพัดโหมกระหน่ำ หอบเอาเขม่าควันให้ลอยอยู่เหนือน่านฟ้า ท้องนภาที่เคยสว่างใสบัดนี้กลับแทนที่ด้วยกลุ่มควันจากเพลิงไหม้ ความร้อนของเปลวเพลิงแผดเผาทุกอย่างให้วอดวายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งสายลมเป็นใจเช่นนี้ เผ่าเล็กๆ เผ่าหนึ่งหายไปกับกองเพลิงทันใด กลิ่นสาบของเนื้อที่ถูกเผา ส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียนไปทั่วบริเวณนั้น เสียงคมอาวุธปะทะกันดังแว่วมาตามสายลม เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ที่ถูกคมดาบกรีดเฉือน ทำให้คนฟังทรมานไปทั้งใจ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อก่อนหน้านี้ราวสองเค่อ เผ่าฮวนหยายังคงสงบสุข ทว่าจู่ๆ กลับมีธนูเพลิงห่าใหญ่พุ่งเข้ามาโจมตีบ้านเรือน เกาทัณฑ์ซึ่งลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ เข้าปักร่างผู้คนและบ้านเรือนราวกับหยาดฝนที่โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า

หลิงชิงเฟยได้แต่มองภาพนั้นอย่างตื่นตระหนก ประชาชนคนแล้วคนเล่าต่างล้มลงเพราะพิษของธนู นางถูกคนผู้หนึ่งฉุดดึงแขนให้หนีจากบริเวณนั้นไป เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังไล่หลังมาไม่หยุด วันนี้เป็นวันระลึกถึงบรรพบุรุษของชาวเผ่าฮวนหยา ทุกคนจึงมารวมตัวกันที่ลานพิธี ในขณะที่กำลังภาวนาอยู่นั้นเอง กลับถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ จากผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเวรยาม

เมื่อฝนธนูเพลิงหยุดลง พลันเสียงอึกทึกของเกือกม้ายามย่ำพสุธาก็ดังขึ้น ทหารร่างกำยำบนหลังอาชากวัดแกว่งอาวุธในมือเข้าประหัตประหารผู้คน นักรบของเผ่าเข้าโรมรันกับศัตรูอย่างกล้าหาญ ทว่าด้วยกำลังพลที่แตกต่าง ชาวฮวนหยาจึงสังเวยชีวิตให้กับคมดาบของอีกฝ่าย

“เสี่ยวเฟย เร็วเข้ารีบวิ่ง” หยางโม่กล่าวเร่งเด็กสาวให้รีบวิ่งตามตนมา เขาพานางหลบเลี่ยงสายตาของทหารแคว้นเหยาออกมา

“เดี๋ยวก่อนพี่โม่ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าล่ะ” หลิงชิงเฟยวิ่งไปพลางมองโดยรอบไปพลางด้วยหวังว่าจะพบบุพการี

“ท่านน้ารออยู่ข้างหน้า เร็วเข้า เดี๋ยวพวกมันจะตามมาทัน” ชายหนุ่มพาเด็กสาวไปยังจุดนัดพบ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานตนได้รับการไหว้วานจากนายหญิงของเผ่าให้พาคุณหนูหนีหากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น

หลิงชิงเฟยกัดฟันวิ่งไปอย่างสุดกำลัง แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจแต่ก็มิอาจหยุดพักได้ วิ่งไปได้สักพักนางก็เห็นร่างเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ไม่ไกล “ท่านแม่”

หญิงวัยกลางคนอ้าแขนรับบุตรสาวที่โผเข้ามากอด “ดีจริงๆ ที่เจ้ายังปลอดภัย” นางลูบหน้าบุตรีอย่างรักใคร่ “หนีไปลูกแม่ หนีไปให้ไกลจากที่นี่”

“ท่านแม่จะไปกับข้าด้วยใช่หรือไม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดทหารแคว้นเหยาจึงโจมตีพวกเรา” หลิงชิงเฟยจับมือมารดาไว้มั่น มองผู้ให้กำเนิดอย่างรอคอยคำตอบ

“ลูกรัก เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลนั้น จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจงมีชีวิตต่อไป อย่าได้เปิดเผยสถานะของตัวเองและอย่าไปที่แคว้นเหยา สัญญากับแม่ได้หรือไม่” นางฝืนยิ้มให้บุตรสาว พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมา “แม่คงไปกับเจ้าไม่ได้ แม่มิอาจทิ้งพ่อของเจ้าให้สู้เพียงลำพัง แม่อยากให้เจ้าจำไว้ ที่พวกเราทำเช่นนี้มิใช่เพราะต้องการทอดทิ้งเจ้า เพียงแต่แม่ทำใจเห็นเจ้าตายไม่ได้ ดังนั้นจงเชื่อฟังแม่ เจ้าต้องรีบหนีไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่ ไม่ ท่านแม่ ข้าไม่หนีไปคนเดียว ท่านต้องไปกับข้า ข้าจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีพวกท่าน หากจะต้องตายจริงๆ ข้าก็จะขอตายพร้อมพวกท่าน ได้โปรดเถิด” เด็กสาวพยายามสะบัดกายให้หลุดจากการฉุดดึงของชายหนุ่ม “พี่โม่ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่”

“รีบไปกันเถอะเสี่ยวเฟย หากส่งเจ้าปลอดภัยแล้วพี่จะรีบกลับมาช่วยท่านน้า” หยางโม่เกลี้ยกล่อม

“จริงหรือเจ้าคะ” นางมองเขาอย่างไม่เชื่อ เวลาคนผู้นี้โกหกทีไรมักจะหลบสายตาของนางทุกที

“อาโม่ เจ้ามัวแต่ชักช้าอยู่ไย รีบพานางไปเสียที”

สิ้นประกาศิตของผู้เป็นนายหญิง สติของหลิงชิงเฟยก็ดับวูบลงทันที หยางโม่แบกร่างแน่งน้อยขึ้นพาดบ่า จากนั้นก็ตรงไปยังจุดที่ซ่อนตัว ครั้นส่งคนเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปกลบเกลื่อนร่องรอยของเด็กสาว เพื่อมิให้มีผู้ใดตามนางมาถึงที่แห่งนี้

ผู้ที่ถูกตีท้ายทอยจนสลบไปขยับกายเล็กน้อยเมื่อรู้สึกตัวตื่น นางลืมตาโพลง ดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง “อ๊ะ คอข้า” มือเรียวคลำต้นคอเบาๆ ยามรับรู้ถึงความเจ็บ “ข้าหลับไปนานเท่าใดกัน แล้วทุกคนล่ะ”

หลิงชิงเฟยออกจากที่หลบซ่อนตัว แล้วเดินไปยังเนินเขาซึ่งสามารถมองเห็นเผ่าฮวนหยาได้เกือบทั้งหมด ภาพที่ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาส่งผลให้นางกรีดร้องออกมาราวกับคนวิปลาส เด็กสาวมองภาพเหล่านั้นทั้งน้ำตา นางล้มลงกับพื้นหญ้าอย่างหมดเรี่ยวแรง แม้จะอยู่ไกลพอสมควร แต่เสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกเผาทั้งเป็นก็แว่วมาตามสายลมให้ได้ยินเป็นระยะ เสียงอาชาศึกร้องกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น เหล่าทหารในชุดเกราะเข้าสังหารคนอย่างไร้ปรานี การฆ่าล้างผ่านไปนานเท่าใดก็สุดจะรู้ ทว่าท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับแทนที่ด้วยความมืดมิดของรัตติกาลเสียแล้ว ยิ่งส่งเสริมให้เปลวเพลิงสีส้มแดงสว่างไสวมากขึ้นไปอีก

ร่างบอบบางมองภาพเหล่านั้นด้วยใจที่แตกสลาย นางเป็นผู้เดียวที่เหลือรอดจากการสังหารล้างเผ่าในครั้งนี้ หลิงชิงเฟยหยัดยืนขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิด ร่างของนางซวนเซจนเกือบจะล้มลงไปอีกครา เมื่อทรงตัวได้อย่างมั่นคง นัยน์ตาปูดบวมเพราะผ่านการร่ำไห้มาอย่างหนัก มองภาพเหล่านั้นอีกครั้งด้วยประกายตาแค้นเคือง ปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าหากันแน่น ฟันสวยขบลงบนริมฝีปากอย่างแรงจนรับรู้ได้ถึงรสชาติคาวเลือดในปาก มือทั้งสองข้างกำแน่น เล็บจิกลงไปบนฝ่ามือจนได้เลือด กายนางสั่นเทาด้วยความโกรธแค้นที่มีในอก

เด็กสาวตัดใจละสายตาจากภาพเหล่านั้นแล้วเดินเข้าไปในป่าที่แสนจะมืดมิด แม้จะเป็นค่ำคืนที่ไร้จันทราทว่าความมืดก็มิใช่อุปสรรคสำหรับนาง ป่าผืนนี้เป็นดั่งสวนหลังบ้าน ต่อให้หลับตาเดินก็ไม่มีทางหลงแน่นอน

ใช้เวลาครู่ใหญ่จึงมาถึงยังถ้ำลับ เจ้าของร่างโรยแรงพิงกายเข้ากับผนังถ้ำเย็นเยียบ ใบหน้ามอมแมมซุกลงตรงเข่า แล้วกอดตัวเองร้องไห้ออกมาอีกหนโดยไร้ซึ่งเสียงสะอื้น มีเพียงหยาดน้ำสีใสที่ไหลอาบแก้มอย่างไม่ขาดสาย นางได้แต่หวังว่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งเท่านั้น

อนิจจา ที่ความปรารถนาของเด็กสาวไม่มีวันเป็นจริง นางได้สูญเสียทุกคนในเผ่าไปแล้วตลอดกาล

รุ่งสางของเช้าวันใหม่ นัยน์ตาหงส์สีอำพันมองไปรอบๆ ถ้ำที่อับชื้นแห่งนี้ด้วยประกายตาราบเรียบ เด็กสาวผู้มีแววตาสุกใสบัดนี้กลับเฉยชาจนน่าใจหาย นางก้มสำรวจตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะลุกเดินโซซัดโซเซไปยังธารน้ำใสซึ่งอยู่ไม่ไกล มือเรียวปลดชุดขาดรุ่งริ่งจากการโดนกิ่งไม้เกี่ยวออกช้าๆ แล้วก้าวลงไปในลำธาร

หลิงชิงเฟยทิ้งกายลงไปใต้น้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง นางหวังจะให้สายนทีเย็นฉ่ำนี้ช่วยชำระล้างเอาความเจ็บปวดออกไปจากใจ และปลอบประโลมความคั่งแค้นที่มีอยู่เต็มอก ไม่ให้ปะทุขึ้นมาแผดเผาตนเองจนมอดไหม้ไปเสียก่อน ดรุณีน้อยยังคงดำดิ่งอยู่ใต้ผืนน้ำ ผ่านไปหลายอึดใจจึงพุ่งพรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พลางหอบหายใจอย่างหนักจากการกลั้นหายใจนานเกินไป ปากจิ้มลิ้มเผยอออกเรียกเอาอากาศเข้าปอด ตัวนางสั่นเล็กน้อยยามผิวกายเปลือยเปล่าต้องสายลมที่พัดโชยมา

เด็กสาววัยสิบสี่หนาวหน้าตาหมดจดเดินขึ้นจากธารน้ำด้วยฝีเท้ามั่นคง ต่างจากตอนที่เดินลงไปในลำธารยิ่งนัก นัยน์ตาสีอำพันมีประกายวาวโรจน์ ใบหน้างดงามที่สวรรค์ประทานให้เย็นชาอย่างที่สุด นางรื้อหาอาภรณ์ชุดใหม่จากห่อผ้าน้อยๆ ของตน

“ท่านแม่คงคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วสินะ จึงได้เตรียมอาภรณ์ของหญิงชาวบ้านไว้ให้ข้าเช่นนี้” กล่าวจบก็หยิบชุดสีเก่าซีดขึ้นมาสวมใส่ พลางสำรวจดูของในห่อผ้าอีกครั้ง นอกจากอาภรณ์เก่าๆ สามชุดแล้ว ยังมีป้ายหยกดำสลักลายจิ้งจอกซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ประจำตัวของหัวหน้าเผ่า ตำลึงทองหนึ่งถุง และกำไลทองอีกหนึ่งคู่ ซึ่งกำไลคู่นี้จะเป็นของผู้ใดไปมิได้หากไม่ใช่ของบิดามารดานาง

เมื่อจัดการความเรียบร้อยให้ตัวเองเสร็จ หลิงชิงเฟยจึงมุ่งหน้าไปยังเนินเขาที่ได้จากมาเมื่อคืน ใช้เวลาราวสองเค่อก็มาหยุดยืนอยู่บนเนินสูง นางมองไปยังจุดที่เคยเป็นที่ตั้งของเผ่าฮวนหยา ทว่าบัดนี้กลับเหลือเพียงซากของบ้านเรือนเท่านั้น เปลวเพลิงซึ่งลุกโชนในค่ำคืนที่ผ่านมา เพลานี้ได้มอดดับลงไปแล้ว ถึงกระนั้นกลิ่นชวนคลื่นเหียนของเนื้อคนที่ถูกเผาทั้งเป็น ยังคงส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว และทหารจากแคว้นเหยาได้ถอนกำลังออกไปแล้วเช่นกัน

หลิงชิงเฟยนั่งลงทำความเคารพดวงวิญญาณเหล่านั้น นางละสายตาจากบ้านของตนซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นสุสานของชาวฮวนหยา กว่าแปดพันชีวิตไปเสียแล้ว นัยน์ตาเย็นชามองภาพเบื้องหน้านิ่งงัน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลาก่อนเจ้าค่ะ พวกท่านและทุกคนในเผ่าจะสถิตอยู่ในใจข้าเสมอ ข้าจะแก้แค้นให้พวกท่านเอง” นางเอ่ยอย่างมาดหมาย

เด็กสาวตัดใจเดินจากไปพร้อมกับความแค้นที่มีอยู่เต็มอก นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแคว้นเหยาจึงคิดกำจัดเผ่าเล็กๆ ที่อยู่ในเขตแนวชายแดนเช่นนี้ เผ่าฮวนหยาสวามิภักดิ์ต่อแคว้นเหยามาเกือบร้อยปีแล้ว ความขัดแย้งใดๆ ล้วนไม่มี เหตุไฉนฮ่องเต้ผู้นั้นจึงกำจัดเผ่าของนางได้โหดเหี้ยมเยี่ยงนี้ โหดร้ายเกินไปจริงๆ