ตอนที่ 4 เด็กหนุ่มหน้าดำ
อาชาศึกสีนิลตัวใหญ่เข้าเทียบหน้าจวนเจ้าเมือง ร่างสูงบนหลังม้าพลิ้วกายลงมา ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เฉินหย่งเจี๋ยครั้นเห็นว่าพี่ชายเข้าไปในจวนแล้ว จึงปลีกตัวออกจากกองทัพ เขาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดชาวบ้านธรรมดา ใบหน้าที่แท้จริงถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากหนังมนุษย์ ทุกครั้งยามต้องออกนอกจวนเฉินฟูเฉิงมักจะให้เขาปลอมตัวเสมอ ด้วยกลัวว่าจะมีใครล่วงรู้ความลับที่แม่ทัพน้อยสกุลเฉินซ่อนไว้
เรื่องเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นการหลอกลวงเบื้องสูง ถ้าเกิดว่าวันใดวันหนึ่งเหยาหมิงหยวนฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องเข้า ตระกูลเฉินคงยากจะพ้นผิดเป็นแน่ แม้จะรู้โทษทัณฑ์อยู่เต็มอก กระนั้นเฉินฟูเฉิงก็ยังคิดทำการเช่นนี้อยู่ดี..เฉินหย่งเจี๋ยเริ่มรู้สึกว่าตนกำลังจะหมดประโยชน์ต่อบิดาแล้ว ระยะหลังมานี้เขาถูกลอบสังหารบ่อยครั้ง หากเป็นตอนที่ปลอมตัวเป็นเฉินหย่งเต๋อก็แล้วไปเถิด แต่นี่ ถึงแม้จะอยู่ในสถานะบ่าวรับใช้ ก็ยังมิวายถูกตามฆ่าอยู่ดี
หลังจากเสร็จศึกกับชนเผ่าต่างๆ เฉินหย่งเจี๋ยหาข้ออ้างแยกตัวออกจากทัพ เขาบอกผู้เป็นพี่ชายว่าอาการเจ็บป่วยยังไม่หายดี จึงให้ทุกคนล่วงหน้าไปก่อน หากหายดีแล้วจะติดตามกลับไปยังเมืองหลวงแน่นอน เหตุที่ต้องโกหกพี่ชายไปเช่นนั้น ด้วยต้องการยืนยันว่าผู้บงการนักฆ่าใช่อีกฝ่ายหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าคนขี้ขลาดอย่างพี่ใหญ่คงไม่มีความกล้าพอจะสั่งฆ่าใครได้ เขายังคงอยู่รอดปลอดภัยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน นักฆ่าสักคนก็ไม่มีให้พบเห็น เป็นไปได้ว่าเฉินหย่งเต๋ออาจจะไม่มีส่วนรู้เห็นจริงๆ ทว่าความคลางแคลงสงสัยในตัวของฮูหยินใหญ่ก็ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
ในการร่วมทัพแต่ละครั้ง ชายหนุ่มต้องแฝงตัวเข้ามาเป็นพลทหาร เมื่อสบโอกาสจึงสลับตัวกับเฉินหย่งเต๋อ เรื่องนี้แม้แต่ผู้คนในจวนเฉินก็ยังไม่รู้ พวกเขาต่างคิดว่าที่เฉินหย่งเจี๋ยต้องฝึกฝนอย่างหนักนั้นเพื่อมาคอยปกป้องคุ้มครองคุณชายใหญ่ ทว่าความจริงแล้วเขาต้องปลอมตัวเป็นอีกฝ่าย
เรื่องแหกตาเหล่านี้ไม่มีใครสามารถจับได้ ผู้ที่รู้มีเพียงเขา บิดา พี่ใหญ่และผู้คุ้มกันเท่านั้น และที่สำคัญ ทหารเหล่านั้นก็รู้กฎของทัพเฮยหลางเป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่เคยสอดรู้เรื่องของผู้บังคับบัญชาให้ตัวเองต้องถูกลงโทษ ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นท่านแม่ทัพน้อยจะแสดงท่าทางเคร่งขรึมดุดันเพื่อมิให้ถูกจับได้ ไม่ว่าเขาหรือพี่ชายต่างก็ลำบากเพราะความทะเยอทะยานของท่านพ่อด้วยกันทั้งคู่
ความจริงแล้วเฉินหย่งเต๋อก็มิได้ไร้ฝีมือเสียทีเดียว วรยุทธ์ของเขาหากเทียบกับทหารในกองทัพแล้วคงอยู่ระดับนายกองเท่านั้น มิอาจเทียบกับแม่ทัพจากค่ายอื่นได้ ด้วยเหตุนี้ตนจึงต้องรับหน้าที่ออกศึกแทนพี่ชายเสมอ
“คุณชาย ท่านจะไปที่ใดอีกขอรับ” เสิ่นหยางซึ่งอยู่ในอาภรณ์ชาวบ้านตัวเก่าซีดวิ่งมาขวางหน้าผู้เป็นนายไว้ เขาแฝงตัวเข้าร่วมทัพเฮยหลางตามคำสั่งของชายหนุ่ม เพื่อคอยจับตาดูท่าทีของเฉินหย่งเต๋อและผู้คุ้มกัน เมื่อได้รับสัญญาณให้ถอนตัวออกมาก็ไม่รอช้า ปลีกตัวจากกองทัพโดยพลัน
“ก็ไปเที่ยวชมเมืองน่ะสิ ตอนนี้ไม่ต้องตามพี่ใหญ่แล้ว ข้าคิดว่าคงไม่ใช่ฝีมือของเขา” ตอบพลางยักไหล่ใส่บ่าวชายคนสนิท
“ข้าไปด้วยขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ในกองทัพแล้ว หากโดนท่านแม่ทัพน้อยจับได้ล่ะก็ หัวของข้าคงได้หลุดจากบ่าแน่นอน” เสิ่นหยางกระซิบกระซาบ พร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวาด้วยเกรงว่าใครจะมาได้ยินเข้า
“เช่นนั้นไปกันเถิด รอให้กองทัพออกจากเมืองไปก่อน เราค่อยตามไป ในระหว่างนี้ก็เที่ยวเล่นกันให้สนุกดีกว่า” เฉินหย่งเจี๋ยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ชัยชนะก็ได้มาแล้ว ถึงแม้จะรู้ดีว่ากลับไปต้องโดนบิดาลงโทษที่ปล่อยให้ตัวเองป่วยในขณะทำศึกก็ตาม แต่เขาหาได้สนใจไม่ อย่างมากแค่โดนโบยเท่านั้น เจ็บไม่กี่วันก็หาย
สองบุรุษในชุดชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมาย พวกเขาหวังเพียงหาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อใช้ในการซ่อนตัว ถึงแม้จะสวมหน้ากากหนังมนุษย์ แต่หูตาของบิดาก็มีมากมายยิ่งนัก เขาจึงมิอาจชะล่าใจได้ หากอีกฝ่ายล่วงรู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่คงไม่ดีแน่
“เราพักที่นี่ก็แล้วกัน” บุ้ยปากไปยังโรงเตี๊ยมเล็กๆ ซึ่งอยู่อีกฟากของถนน เหตุผลที่ยังรั้งอยู่เมืองชายแดนแห่งนี้ต่อ เพราะสตรีผู้นั้น ผู้ที่พบเมื่อช่วงสายของวันนี้ เขาหวังว่าจะได้พบนางอีกครั้ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะเป็นอาเฟยของเขา
เสิ่นหยางเดินตามผู้เป็นนายไปอย่างมึนงง เขาไม่เข้าใจในความคิดของอีกฝ่ายเลยสักนิด เบี้ยอัฐก็มีออกมากมาย ไฉนจึงเลือกมาพักโรงเตี๊ยมโกโรโกโสเช่นนี้ ดูทางเดินที่คับแคบจนแทบจะเหยียบเท้ากันนั่นเถิด เห็นแล้วพาให้ขัดหูขัดตายิ่งนัก แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้สำรวจโรงเตี๊ยมให้ทั่ว กลับมีคนผู้หนึ่งเดินมาชนเขาเข้าเสียก่อน ส่งผลให้ขนมซึ่งถืออยู่ในมือร่วงลงพื้น
“นี่เจ้าหนุ่ม ตาบอดหรืออย่างไรถึงได้เดินไม่ดูคนเช่นนี้” เสิ่นหยางแสดงสีหน้าถมึงทึงข่มขู่เด็กหนุ่มร่างบอบบางหน้าดำเบื้องหน้าตน กว่าเขาจะได้ขนมนี่มาต้องไปต่อแถวตั้งนาน อยู่ๆ ก็ถูกใครไม่รู้เดินชน เจ็บตัวยังไม่พอ ยังต้องมาอดกินขนมอีก
หลิงชิงเฟยในคราบหนุ่มน้อยลนลานขออภัยทันที นางไม่อยากมีเรื่องกับผู้อื่นจนความแตกไปเสียก่อน “ขออภัยพี่ชาย พอดีข้ารีบไปหน่อยจึงไม่ทันระวังให้ดี ข้าเกรงว่าสมุนไพรหายากที่ชาวบ้านนำมาขายจะหมดเสียก่อน จึงได้รีบร้อนเช่นนี้”
โชคดีที่นางสังเกตเห็นว่าชายชราผู้หนึ่ง นำรากไม้ที่มีสรรพคุณทางยามาวางขายในตลาด จึงพอจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อเอาตัวรอดไปได้
“อาหยาง พอได้แล้ว” เฉินหย่งเจี๋ยเข้าไปห้ามพร้อมกับส่งสายตาปรามคนไว้ ยามเห็นว่าเสิ่นหยางกำลังจะทำให้พวกเขาตกเป็นที่สนใจของผู้คน แล้วจึงเข้าไปช่วยพยุงเด็กชายให้ลุกขึ้น “เจ้าเป็นอันใดหรือไม่ อย่าไปถือสาสหายข้าเลย เขาเป็นคนใจร้อนเช่นนี้แหละ”
“ข้าไม่เป็นไรขอรับ ขอบคุณพี่ชายที่ไม่เอาเรื่อง” หลิงชิงเฟยค้อมศีรษะคำนับพวกเขา แล้วจรลีไปจากที่ตรงนั้นทันที นางพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรอดพ้นจากชายท่าทางน่ากลัวมาได้ “หน้าตาโฉดยังไม่พอ ยังอารมณ์ร้อนอีก ดีที่พี่ชายหน้าบากผู้นั้นช่วยออกหน้าให้ ไม่เช่นนั้นข้าคงตายแน่”
ครั้นคิดถึงรอยแผลเป็นบนแก้มซ้ายของบุรุษผู้นั้นแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาถูกใครทำร้ายมาถึงได้เล่นงานจนเสียโฉมเช่นนั้น นางได้แต่หวังว่าคงจะไม่ต้องพบเจอพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะดูท่าชายชื่ออาหยางจะเหม็นขี้หน้านางเข้าให้เสียแล้ว
