Chapter 8 จะเอาใครกันแน่
ฉันกับเขาเดินออกมาจนถึงด้านหน้าของบ้านพักคนชรา ถ้าเลี้ยวซ้ายไปก็จะเป็นลานจอดรถ แต่ถ้าเดินตรงไปก็จะเป็นประตูทางออก และฉันกับเขาคงต้องแยกกันตรงนี้
หมับ~
แต่เขากลับหันมาคว้าแขนฉันที่กำลังจะเดินต่อไป และเหมือนเขาอาจดึงแรงไปหน่อยฉันที่ไม่ได้ตั้งตัวก็เลยเซไปชนกับอกเขา
"อ๊ะ!"
ฉันเด้งตัวถอยห่างออกมายืนและบิดแขนออกจากมือเขาซึ่งเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี เหลือบมองรอบๆแล้ว ตรงนี้ไม่เหลือใครเลยสักคน สงสัยหนีกลับไปแล้วแน่ๆเลย
"มีอะไร?"
ฉันถามเขา เขาตวัดสายตาเคืองๆมามองฉัน คือฉันพูดไม่มีหางเสียงกับเขาไง รู้ตัวอยู่หรอก
"ไปกับฉัน"
เขาตอบเสียงเข้มพร้อมใส่เสื้อแจ็กเก็ตแขนยาวสีดำและฉันปฏิเสธทันที
"ไม่ มาเองก็กลับเองได้"
เขาชะงักมือที่กำลังจะใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบสีดำเช่นกันพร้อมกับถอนหายใจ
"อย่าเรื่องมาก!"
"ก็ฉันจะกลับเอง"
"บอกว่ากลับกับฉันไงวะ!"
"แล้วจะขึ้นเสียงทำไมวะ"
"เห้ย!"
"พูดไม่ดีก่อนเองนะ บอกเลยว่าไม่ใช่คนยอมคน"
ฉันเท้าเอวพูดกับเขา เขามองฉันแบบพิจารณาก่อนจะสวมหมวกกันน็อกทำเหมือนไม่ใส่ใจฉัน ฉันก็เลยจะเดินหนีเขาแต่เขาก็ตามมาคว้าแขนไว้อีก
"จะขึ้นรถดีๆหรือจะให้อุ้ม?"
"อุ้มบ้าอะไร"
"ก็ขึ้นรถ!"
"ก็บอก..."
"งั้นอุ้ม"
เขาพูดผ่านหมวกกันน็อกและไม่พูดเปล่า เขายังตั้งท่าจะอุ้มฉันจริงๆ มือข้างหนึ่งของเขารวบตัวฉันไว้แล้วอ่ะ
"มะ ไม่ต้อง ขึ้นเองได้"
ฉันรีบดันเขาไว้และพูดอย่างรวดเร็ว
"ก็ไปดิ ชักช้าลีลาอยู่นั่น"
"โว้ยยย!"
ฉันสบถออกมาอย่างหัวเสีย ร้อนก็ร้อนยังต้องมาทะเลาะกับเขาให้หัวเสียอีก และดูท่าแล้วอ่ะ เขาคงไม่ยอมให้ฉันกลับเองแน่ๆ
คนแบบเขาเนี่ย ถ้าได้เอาชนะฉันเขาคงพอใจมากอ่ะ และถ้าฉันยังขืนต่อล้อต่อเถียงกับเขาแบบนี้ วันนี้ฉันก็คงไม่ได้กลับบ้าน!
ก็เออ เรื่องของนาย ก็ดี จะได้ไม่เสียตังค์ ชิ!
และในเมื่อเขาจะให้ฉันมากับเขา เขาก็ควรจะพาฉันไปส่งบ้านแต่เขากลับพาฉันมาที่บ้านเขา ไม่รู้ว่าพามาทำบ้าอะไร
"จะกลับบ้าน"
ฉันพูดเมื่อเขาขับรถเข้ามาในรั้วบ้าน เห็นรถมอเตอร์ไซค์หลายคันจอดอยู่และมีของพี่เรย์แน่ๆ คนพวกนี้ไม่เรียนกันหรือไงวะ
"ฉันก็จะกลับบ้าน"
เขากวนฉันอีกแล้วถูกมั้ย?
"นี่บ้านฉัน"
เขาพูด ฉันถอนหายใจออกมา โอเค นี่บ้านนาย ฉันกลับเองก็ได้!
ฟึ่บ~
ฉันตวัดเรียวขาลงจากรถเขา และกำลังจะหันหลังเดินออกไปแต่เขาพูดขึ้นก่อน
"เข้าไปเอาเสื้อเธอด้วย"
ฉันชะงักและหันไปมองเขา จริงสิ เมื่อวานพีทมันเอาเสื้อฉันที่เปื้อนเลือดไปแช่ไว้นี่ ฉันลืมไปเลยนะ
"ซื้อใหม่ก็ได้"
"รวย?"
เขาย้อนถาม และถ้าถามว่าฉันรวยไหม...ฉันไม่มีอะไรเป็นของตัวเองหรอก แม้แต่บ้านที่ฉันอยู่ก็เป็นของพ่อเลี้ยงคนเก่า พ่อเลี้ยงคนเก่าที่ทำให้แม่พาฉันย้ายโรงเรียนมาตั้งแต่อายุสิบสี่นั่นแหละ พ่อเลี้ยงคนนั้นของฉันไม่มีลูกและท่านเอ็นดูฉันมาก ท่านรักแม่มากด้วย แต่ท่านก็อยู่บ้านนี้ได้ไม่นาน ท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ บ้านหลังนี้ตกเป็นบ้านของแม่ แต่แม่ก็อยู่ที่บ้านหลังนี้ได้แค่สองปีแม่ก็ไป แม่ไปอยู่เมืองนอกกับสามีใหม่ที่เป็นชาวต่างชาติ พ่อเลี้ยงใหม่ของฉันมีลูกชายอายุมากกว่าฉันปีเดียว เป็นลูกครึ่งเพราะมีแม่แท้ๆเป็นคนไทย เราเคยเจอกันแค่สามครั้งและหลังจากนั้นฉันก็ไม่อยากเจอมันอีก ตอนที่แม่ย้ายไป แม่จะพาฉันไปด้วยแต่ฉันไม่ยอมไป ปัจจัยหลายๆอย่าง ฉันไม่อยากย้ายที่อยู่ใหม่ ไม่อยากเริ่มต้นใหม่และฉันไม่อยากเจอหน้าลูกของพ่อเลี้ยงฉัน อีกอย่างคือเต้าหู้ ฉันพาเต้าหู้ไปไม่ได้ ฉันทิ้งมันไว้ไม่ได้ ฉันทะเลาะกับแม่ แม่จึงโมโหและบอกฉันว่าถ้าฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันต้องอยู่คนเดียว และแม่จะส่งเสียฉันแค่เรียนจบเท่านั้น เงินที่ฉันมีใช้ทุกวันก็เงินของแม่ จากนั้นแล้วหลังเรียนจบฉันต้องใช้ชีวิตคนเดียว ในเมื่อฉันอยากจมอยู่ที่นี่ ฉันต้องอยู่คนเดียว!
แต่ฉันคิดว่าแม่กำลังหาทางทำให้ฉันทนไม่ไหว เพราะถ้าฉันอยู่แบบนี้ไม่ได้ ยังไงฉันก็ต้องไปหาแม่อยู่ดี แม่คงคิดแบบนั้น...
"ไม่ได้รวย แต่เสื้อมันคงซักไม่ออกแล้ว"
"ไปแหกตาดูก่อนแล้วค่อยพูด"
พูดจบเขาก็เดินนำฉันเข้าไปในบ้าน ฉันพ่นลมหายใจออกมาและจำใจเดินตามเขาเข้าไป เขาพยักเพยิดหน้าไปทีประตูหลังบ้านเขา ฉันก็เลยเดินออกไปดู ตรงนี้มีอุปกรณ์ซักผ้าและเครื่องซักผ้า ด้านหน้ามีราวตากผ้าและเสื้อฉันแขวนอยู่บนนั้น
ขาวสะอาดเหมือนไม่เคยเปอะเปื้อนมาก่อนเลย...
ฉันคิดในใจว่าใครซัก?
แต่ก็เดินไปปลดเสื้อที่แห้งสนิทลงมาจากไม้แขวนและพับพร้อมกับถือเข้ามา
กึก~
ฉันยืนมองผู้ชายทุกคนที่สลอนหน้าอยู่ที่นี่ ไอ้พี่เกียร์สูบบุหรี่ทำลายปอดตัวเองและคนรอบข้างอีกแล้ว ฉันย่นจมูกพลางหันไปถามพี่เรย์
"พี่เรย์ ใครซักเสื้อให้ขวัญอ่ะ"
พี่เรย์ยิ้มและพูดขึ้น
"ทายซิ ใครเอ่ย?"
อ้าว มากวนอีกคนแล้วมั้ยล่ะ
"ถ้ารู้จะถามมั้ยคะ?"
ฉันเอียงคอมองเขา พี่เรย์หัวเราะคิกคักก่อนจะเหลือบมองเพื่อนของเขาที่ปากคาบบุหรี่และในมือถือกดโทรศัพท์พร้อมกับหลุบตามองที่หน้าจอ ไม่ได้สนใจใครสักนิด
"พีเรย์ ใครซักคะ?"
ฉันถามซ้ำอีก ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความค่อนขอดของใครบางคนแต่ฉันก็ไม่อยากจะใส่ใจ
"ทำไมต้องทำหน้าเข้มใส่พี่ด้วย กลัวแล้วคร้าบ"
"เห้อออ"
"ฮ่าๆ ไอ้ว่าที่หมอหมามันซักให้"
ว่าที่หมอหมา?
"พี่คิณ..."
"อ่าห๊ะ"
พี่เรย์พยักหน้า ฉันแอบโล่งใจที่ไม่ใช่พี่เกียร์ เพราะถ้าเป็นเขาฉันคงต้องเดินคุกเข่าเข้าไปกราบขอบพระคุณเขาถึงจะพอใจ แต่คนอย่างเขาเหรอจะมาทำเรื่องแบบนี้ ไม่มีทางหรอก
"อย่าลืมไปกราบกรานขอบพระคุณมันด้วยล่ะ"
เขาแขวะฉันทั้งๆที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอด้วยซ้ำ
"พี่คิณไม่เหมือนพี่หรอก"
ฉันแขวะกลับบ้าง เขาตวัดสายตาขึ้นมามองฉันทันที
"ฉันทำไม?"
พรึ่บ~
ไม่พูดเปล่า เขาลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาฉันทั้งๆที่ปากคาบบุหรี่อยู่ แววตาเขาบอกกับฉันว่า ถ้าฉันถอยคือฉันกลัว
ฉันก็เลยยืนจ้องหน้าเขา
"คนอย่างฉันมันทำไม?"
แค่ก~
แต่ฉันก็สำลักควันบุหรี่เขาจนได้ พยายามกลั้นหายใจแล้วนะ แต่ไอ้บ้านี่กลับโน้มหน้าลงมาและพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าฉันนี่สิ
เพี้ยะ~
และฉันก็มือไวกว่าที่เขาคิด พอฉันไอออกมาฝ่ามือฉันก็ฟาดเข้ากับใบหน้าเขาอย่างจังเช่นกัน
บอกแล้วว่าไม่ชอบ และเขาก็รู้ว่าฉันไม่ชอบแต่เขาจงใจ
ไอ้พี่เกียร์หน้าหัน เขาหันขวับกลับมาจ้องหน้าฉันและใช้ลิ้นดุนกระพรุ้งแก้มข้างที่ถูกฉันตบ
"คิดว่าเท่มาก สูบบุหรี่อ่ะ รีบตายเหรอ"
ฉันต่อว่าเขา นาทีนี้ไม่กลัวอะไรแล้ว ฉันเริ่มโมโหแล้วไง
"ถ้าจะตายก็ไปตายคนเดียว อย่าลากคนอื่นไปตายด้วย"
หมับ~
ฉันชะงักเพราะไอ้หมาบ้านี่ใช้มือของเขาคว้าหมับเข้าที่คางของฉันและใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บีบแก้มฉันจนต้องเผยอปากออก
"เห้ย ไอ้เกียร์ มึง..."
เสียงพี่เรย์อุทานออกมา ฉันเห็นด้วยหางตาว่าพี่เรย์ลุกขึ้นในจังหวะที่เพื่อนของเขาทิ้งบุหรี่ที่เหลือลงบนพื้นและใช้เท้าขยี้
"ปะ...อุ๊บ!"
จากนั้นเขากลับทำสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด เขากระชากแขนฉันเข้าหาตัวพร้อมกับฉกริมฝีปากลงมาบนปากฉันอย่างรวดเร็ว และเพราะเขาบีบแก้มฉันทำให้ปากเผยออยู่ เขาถึงได้สอดเรียวลิ้นชื้นเข้ามาในโพรงปากฉันอย่างง่ายดาย กลิ่นและควันบุหรี่ที่ยังหลงเหลือคละคลุ้งอยู่ในปากเขา ตอนนี้มันกลับมาตลบอบอวลอยู่ในโพรงปากฉันเพราะลิ้นของเขา
"อื้อ"
แกร่ก~
ฉันดิ้นและใช้เล็บข่วนจิกหลังมือเขาเพื่อนให้เขาปล่อยแก้มฉันและผละออกไป แต่ยิ่งฉันทำเขาก็ยิ่งกดจูบลงมาหนักขึ้นและจาบจ้วงมากขึ้น
"อื้อๆ"
ปึ้ก~
คราวนี้ฉันทุบเขา กลิ่นบุหรี่ทำให้ฉันน้ำตาคลอ ฉันไม่ชอบมันจริงๆนะ
และถ้าเขาไม่เลิกทำแบบนี้ฉันจะเกลียดเขาด้วย!
ผลัก~
ฟึ่บ~
"ไอ้..."
"เห้ย แยกๆ"
ในที่สุดเขาก็ปล่อยฉัน ฉันผลักเขาพร้อมกับปาเสื้อในมือที่ขยำไว้ใส่หน้าเขาและอ้าปากจะด่าอย่างเอาเรื่อง พี่เรย์เข้ามาคั้นกลางไว้และหันมาจับไหล่ฉันเพื่อให้ใจเย็นๆ
ใจเย็นเหรอ ให้ใจเย็นๆงั้นเหรอ
"เพื่อนพี่แม่งเหี้ย!"
"เดี๋ยวๆ ของขวัญใจเย็นๆ"
ฉันชี้หน้าด่าเพื่อนเขา และเพื่อนเขาขยับตัวเข้ามาหาฉันพี่เรย์ก็เลยหันไปดันเพื่อนเขาไว้
"ไอ้เกียร์ มึงไปสงบสติอารมณ์ในห้องเลย!"
เขามองหน้าเพื่อนเขาก่อนจะตวัดสายตามามองหน้าฉัน
"ทำเหี้ยไรเนี่ย ไปจูบน้องมันทำไมวะ"
"เรื่องของกู"
"โอ้ย กูปวดประสาทกับมึงจัง ไอ้เทล พวกมึงด้วย มาเอาไอ้เกียร์ไปเก็บดิ๊"
พี่เรย์หันไปสั่งพวกพี่เทล พวกนั้นก็มองหน้ากันและยอมเดินเข้ามาดึงแขนรุ่นพี่ของเขาไว้
"ไปขวัญ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
ฉันก็ยังจ้องหน้าเขาและด่าทางสายตาอยู่
"ไปของขวัญ"
พี่เรย์ก็เลยใช้วิธีดึงแขนฉันให้เดินออกมาจากที่นั่นเพื่อไปส่งฉัน
เอี้ยด~
หลังจากขับรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาจอดที่หน้าบ้านฉันแล้ว เต้าหู้วิ่งออกมารับฉันที่หน้ารั้วบ้านเหมือนปกติ พี่เรย์ตวัดเรียวขาลงจากรถ เขาเหลือบมองเต้าหู้ก่อนจะเลื่อนสายตามามองฉัน
"ของขวัญ..."
"พี่อย่าบอกให้ขวัญไม่ต้องไปถือสาเพื่อนพี่นะ ไม่รู้หรอกว่าเพื่อนพี่เป็นคนยังไง และเคยเจออะไรมาบ้างถึงได้นิสัยเสียแบบนี้ แต่ขวัญไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์และไม่ใช่คนที่เขาจะมาทำอะไรกับขวัญก็ได้ พี่เข้าใจมั้ย"
"เป็นชุดเลยกู"
พี่เรย์บ่นพลางขยี้หัวตัวเอง
"เออ พี่ก็เข้าใจ จริงๆมันทำแบบนั้นก็ไม่ถูก"
"ก็ใช่ไง ถ้าขวัญเป็นแฟนเขาขวัญจะไม่ว่าเลย นี่อะไร!"
พอพูดแล้วก็คิดถึงอีก ความรู้สึกที่ริมฝีปากยังติดตรึงอยู่เลยเชื่อมั้ย...
"บอกไว้เลยนะพี่เรย์ ถ้าเพื่อนพี่ทำแบบนี้กับขวัญอีก ขวัญจะฆ่าเขาให้ดู!"
"โอ้ย อย่าโหดกับพี่เล้ย"
พี่เรย์ส่ายหัว ฉันพ่นลมหายใจพลางสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ
"เอาเถอะค่ะ ยังไงก็ขอบคุณที่มาส่งขวัญนะ"
แต่ฉันก็ไม่ควรพาลใส่พี่เรย์ เขากับเพื่อนเขามันคนละคนกันนี่
"อืมๆ เข้าบ้านได้แล้ว ไอ้เจ้านั่นสงสัยอยากกอดเจ้านายจะแย่"
พี่เรย์พยักเพยิดไปที่เต้าหู้ซึ่งระริระลี้กระดิกหางรอฉันอยู่ที่หน้ารั้ว
"ขับรถดีๆนะคะ"
"ครับผม"
พี่เรย์ทำท่าตะเบะและตวัดขาขึ้นคล่อมรถ ฉันเดินเข้าไปในบ้านและก้มลงลูบหัวเต้าหู้ก่อนจะเงยหน้ามามองพี่เรย์ที่ขับรถออกไป
"ไปเต้าหู้ เข้าบ้านกัน"
หงิ๋ง~
"ฉันมีเรื่องเล่าให้เต้าหู้ฟังด้วยนะ ฟังแล้วเหยียบไว้เลยนะ ห้ามบอกใครรู้มั้ย"
ฉันชี้หน้ามัน บางคนที่เห็นฉันพูดคุยกับหมาอาจจะบอกว่าฉันบ้า คุยกับหมารู้เรื่องหรือไง แต่ฉันไม่สนใจหรอก ฉันอยู่กับเต้าหู้แค่หนึ่งคนกับอีกหรึ่งตัวมาตั้งสองปีแล้วนะ เวลาฉันมีอะไร ก็มีเต้าหู้นี่แหละที่อยู่ข้างฉัน เวลาฉันเครียด เวลาฉันอยากระบาย หรือแม้กระทั่งเวลาฉันอยากจะร้องไห้ เต้าหู้ก็อยู่ข้างๆฉัน มันรู้นะว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง และที่สำคัญ เวลาเราเล่าความลับอะไรหรือได้ระบายอะไรให้มันฟัง นอกจากจะโล่งอกขึ้นมาแล้ว เรายังไม่ต้องกลัวความลับรั่วไหลด้วยเพราะสัตว์มันพูดไม่ได้ไง จริงมั้ย?
วันต่อมาฉันออกมาจากบ้านและกำลังจะไปโรงเรียน พอล็อกประตูรั้วบ้านได้ก็หันไปมองรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งที่ขับมาจอดใกล้ๆฉัน
"ของขวัญ"
"พี่คิณ"
คนในรถปรับกระจกลงทำให้ฉันเห็นว่าเขาเป็นใคร พี่คิณยิ้มทักทายฉัน
"พี่คิณมาได้ไงเนี่ย"
"ทางผ่านพี่ไง นึกได้ก็เลยแวะรับเรา"
"อ่า..."
"ขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
มันคือความหวังดีของเขานี่นะ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ
"ขอบคุณนะคะ"
ฉันยิ้มให้เขาและเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถเขาในฝั่งข้างคนขับ พี่คิณหันมายิ้มให้ฉันและขับรถออกไป
บรื้น~
ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะตรงไปส่งฉันที่โรงเรียนแต่เส้นทางที่เขาขับรถไปทำให้ฉันเริ่มขมวดคิ้ว
พี่คิณหยุดรถตรงหน้าปากซอยแห่งหนึ่ง ฉันมองเห็นว่ามีใครยืนรอเขาอยู่และหน้าบึ้งทันที
ปึ้ง~
จนประตูรถด้านหลังถูกคนที่ขึ้นมาใหม่ดึงปิดลงอย่างแรง
"เบา เดี๋ยวรถกูพังพอดี"
พี่คิณหันไปมองเพื่อนของเขา
"กูซ่อมได้"
เพื่อนของเขาโต้ตอบ ส่วนฉันจากที่คุยกับพี่คิณมาเรื่อยๆฉันก็เงียบลง เหลือบมองหน้าบึ้งตึงของคนด้านหลังแล้วก็ต้องกรอกตา
ทำไมฉันจะต้องเจอไอ้บ้าพี่เกียร์นี่ทุกครั้งเลยนะ หนีไม่พ้นจริงๆหรือไงวะ!
"เดี๋ยวแวะส่งขวัญก่อนนะ แล้วค่อยเลยไปส่งมึง"
"แล้วแต่มึง"
"เออ"
พี่คิณส่ายหัวกับเพื่อนเขาและออกรถ ถ้าพี่คิณบอกฉันตั้งแต่แรกว่าจะมารับเพื่อนเขาไปด้วยฉันจะไม่มีทางขึ้นรถมากับเขาแน่
"แล้วนี่ รถมึงเป็นไร เกเรแต่เช้า"
"ไม่รู้ เดี๋ยวกลับไปดู"
เขาตอบพลางเบนหน้ามองออกไปนอกกระจกรถด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ ฉันเองก็มีท่าทีเหมือนกันกับเขาก็เลยทำให้ภายในรถบรรยากาศมาคุไป
Rrrr~
แต่ขับรถไปได้สักพักโทรศัพท์พี่คิณก็ดัง เขาควักมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงและหลุบตาลงมองที่หน้าจอก่อนจะตัดสายทิ้ง
Rrrr~
และมันก็ดังขึ้นอีกซ้ำๆ พี่คิณถอนหายใจและมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้น เขาจอดรถที่ไหล่ทางทันที
ปึ้ง~
เขาไม่พูดอะไรแต่เขาถือโทรศัพท์และเปิดประตูรถออกไปพร้อมกระแทกประตูปิด ฉันมองตามก็เห็นเขาเดินไปคุยโทรศัพท์ที่ท้ายรถ ท่าทางก็ไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ด้วย
มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ...
"จะเอาใครกันแน่"
และพอในรถเหลือแค่ฉันกับเขา เสียงค่อนขอดก็ดังขึ้นทันที ฉันตวัดสายตามองเขาหลังจากโดนแขวะใส่
"ใครก็ได้ ที่ไม่ใช่..."
"หึ มั่ว"
เขาพูดแทรกขึ้นพลางแค่นหัวเราะในลำคอ ฉันกัดฟัน
"ถ้ามั่วแล้วจะทำไม"
ฉันตอกกลับเขา เขาจ้องหน้าฉันพลางกัดฟันบ้าง
"ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่ผัว ไม่มีสิทธิ์พูด!"
เขาจ้องหน้าฉันพลางกระตุกยิ้มอย่างกวนประสาท
"ถ้าเป็นผัวมีสิทธิ์พูดได้ว่างั้น?"
"ใช่ และคงไม่มีวันนั้น!"
"รู้ได้ไง"
เขาโน้มตัวลงมาใช้ศอกเท้ากับเข่าตัวเองและจ้องหน้าฉัน ฉันกระพริบตาและขยับตัวอย่างอึดอัด
"พูดงี้หมายความว่าไง!"
หมายความว่าฉันจะเอาเขาทำผัวเหรอ ฝันไปเถอะ!
เขากระตุกยิ้มพลางยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง มือของเขาเลื่อนไปเกี่ยวเอาสร้อยเส้นหนึ่งออกมาไว้ด้านนอกเสื้อ
มันเป็นสร้อยเงินที่มีจี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมและมีตัวอักษรภาษาอังกฤษที่พอมีแสงแดดสาดกระทบเข้ามาโดนมันแล้วมันสะท้อนกับแสง
จู่ๆฉันก็ชะงัก ภาพบางอย่างแว่บเข้ามาในหัวฉันอีกครั้ง...
เหมือนฉันเคยเห็นสร้อยเส้นนี้ลางๆ ความรู้สึกเหมือนที่ฉันเคยกำสร้อยไว้ในมือพร้อมกับเนื้อผ้าของเสื้อเพียงชั่วครู่แว่บเข้ามา...
"..."
ดะ เดี๋ยวสิ!
ฟลุ่บ~
ฉันหันกลับไปมองพี่คิณที่เปิดประตูรถเข้ามาและทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะ เขาเอนหลังพิงเบาะรถและถอนหายใจ
"..."
"เปิดเพลงนะ"
สีหน้าเขายังดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่หลังจากวางสาย ไม่เหมือนกับตอนแรกที่มารับพวกเรา เมื่อเขาพูดว่าจะเปิดเพลงฉันก็พยักหน้าเบาๆและหันหลังให้กับไอ้บ้าพี่เกียร์อย่างเต็มตัว
แต่สายตาฉันก็ยังไม่วายเหลือบมองหน้าเขาผ่านกระจกมองหลังของรถอย่างงงๆ และเขาเองก็มองตอบฉันผ่านทางนั้นเหมือนกัน...
