บท
ตั้งค่า

ปู่กับเปา 1/2

บทที่ 3 ปู่กับเปา

แววตาแห่งความรังเกียจที่จ้องมานั่น ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึก เหมือนมันทำลายความรู้สึกดีและอุ่นใจตอนที่หญิงสาววางมือลงบนไหล่เพื่อให้กำลังใจกัน แต่ก็ควรเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ

เขาไม่ควรรู้สึกอะไรกับเมราทั้งด้านบวกและลบ ผู้หญิงแปลกหน้าที่เดินเข้ามาในชีวิตเขาถึงสองรอบในวันเดียว นักแสดงหนุ่มจึงปล่อยให้เธอเดินจากไปอย่างไม่นึกจะเรียกให้กลับมา รู้ว่าตัวเองนิสัยไม่ดีนักหรอกที่ทำกับเมราอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือเปล่า

อาชีพอย่างเขาเจอคนแสวงหาผลประโยชน์มานักต่อนัก แค่ใกล้ชิดสนิทกันก็ถูกแอบอ้างชื่อได้แล้ว ปวีณ์จึงไม่ค่อยอยากสนิทกับใคร กลายเป็นพวกเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับคนแปลกหน้าเพราะไม่อยากถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะคนที่กระหายข่าว เมราอาจจะอยู่ในคนกลุ่มนั้นด้วยก็ได้

หรือต่อให้เธอบอกว่าไม่ได้ไปเอาตัวอากงของเขาออกมาจากเหลาหลงเพื่อต่อรองการสัมภาษณ์ แต่สัญชาตญาณบางอย่างในหัวใจกำลังบอกเขาว่าเมราจะนำความวุ่นวายมาให้ บางทีอาจเป็นข่าวซุบซิบที่ว่าเขาอยู่กับผู้หญิงที่หน้าห้องฉุกเฉินนี่แหละ

เขาไม่อยากเป็นข่าวให้ปวดหัว เพราะเท่าที่ได้พบอากงครั้งแรกในรอบสิบห้าปี ปวีณ์ก็ไม่รู้แล้วว่าควรทำตัวอย่างไร

“ลูกหลานสกุลเฉิน เชิญพบแพทย์ด้านในด้วยค่ะ”

ปวีณ์รู้สึกเหมือนโดนธูปร้อนๆ จี้หลังเมื่อพยาบาลประกาศแบบนั้น จริงๆ แล้วอากงมีชื่อไทย แต่ทำไมจึงใช้ชื่อจีนในการเรียกหาญาติ ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไร แต่หลานชายสกุลเฉินก็เดินไปพบแพทย์อยู่ดี

เมื่อเข้ามาด้านใน ปวีณ์เหลือบไปเห็นอากงถูกพยาบาลประคองให้ลงจากเตียงมานั่งบนรถเข็นแล้วเขาก็สบายใจขึ้น แต่นางฟ้าในชุดขาวพยักพเยิดหน้าบอกให้เขาไปหาคุณหมอซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน คุณหมอหนุ่มเบิกตาโตนิดหน่อยตอนที่เขาถอดหมวกแก๊ปออกจากศีรษะเพื่อนั่งคุยกัน

“คนไข้บอกว่าให้เรียกลูกหลานสกุลเฉิน ถ้าเขารู้ตัวคงจะมารับคนไข้กลับไปเอง”

คุณหมอบอกอย่างนั้น ปวีณ์ก็ชักร้อนตัวว่าอากงก่อเรื่องอะไรในห้องฉุกเฉินหรือเปล่า

“ตกลงคุณเป็นหลานคนไข้นะครับ”

“ครับ ถ้าอากงทำอะไรเป็นการรบกวน ผมขอโทษด้วย”

“ไม่หรอกครับ ท่านก็นอนให้เรารักษาแต่โดยดีนี่แหละ เพิ่งจะเรียกหาลูกหลานเมื่อกี้นี่เอง” คุณหมอบอกยิ้มๆ “ร่างกายอ่อนเพลียนะครับ คนไข้ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง ท่านบอกว่าร้านอาหารที่ไปนั่งล่าสุดไม่ได้เรื่อง กินไม่ลง ก็เลยเป็นลมไป”

“อ้าว…”

“ผมสั่งยาบำรุงให้ รับยาแล้วกลับบ้านได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณครับ”

หมอยื่นใบสั่งยาให้ ปวีณ์จึงหยิบหมวกแก๊ปขึ้นมาสวมด้วยความคุ้นชิน ยิ่งอยู่ในโรงพยาบาลอันเป็นที่สาธารณะ เขายิ่งต้องพรางตัว

แต่การพรางตัวไม่น่าหนักใจเท่าการเผชิญหน้ากับอากง สิบห้าปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน ปวีณ์ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อมาหย่อนตัวลง นั่งอยู่ตรงหน้ารถเข็นของอากงแล้ว เขาควรจะพูดหรือทำอะไรต่อไป

“อาหนูเมราไปไหนแล้ว”

แปลก… คำแรกที่อากงถามไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลานชายผู้ซึ่งไม่ได้เจอกันนานหลายปีเลยสักนิด แต่กลับเป็นผู้หญิงที่หาว่าเขาเอาเงินฟาดหัวจนเธออารมณ์เสียแล้วเดินจากไปนั่นต่างหาก

“กลับไปแล้วครับ”

“อั๊วยังไม่ได้ขอบคุณอีเลย”

อากงบอกอย่างเสียดาย แต่คุยกับหลานชายเหมือนไม่เคยมีเรื่องค้างคาใจกัน ทำเสียอย่างกับว่าปกติคุยกันอยู่ทุกวัน แต่ก็แปลกที่ชื่อของผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาคุยกับอากงได้สนิทใจ

“อีช่วยอั๊วไว้ตั้งหลายรอบ ถ้าไม่ได้อี ป่านนี้อั๊วคงนอนตายอยู่ข้างถนนแล้ว”

“เขาไม่ได้ไปพาอากงมาจากเหลาหลงเหรอครับ”

“อั๊วเป็นลมอยู่ข้างทาง อีช่วยอั๊วไว้ ใจดีนะ นิสัยก็น่ารักน่าเอ็นดู”

“เจอเขาวันแรกไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไว้ใจเขาง่ายนัก เขาอาจจะแค่แอ๊บก็ได้”

“แอ๊บ?”

ศัพท์สแลงพวกนี้ ปวีณ์ยังไม่มีแก่ใจจะอธิบายให้อากงฟัง รู้สึกว่าต้องรีบเข็นรถของท่านออกจากห้องฉุกเฉินไปรับยามากกว่า คนเจ็บคนไข้มีตั้งมาก ถ้ามัวแต่คุยกันคงรบกวนคนอื่นแย่

อีกอย่างที่ทำให้ไม่อยากพูดอะไรต่อก็เพราะใจหาย ถึงจะไม่ไว้ใจว่าเมราอยากตีสนิทคนดังหรือเปล่า เขาก็ต้องยอมรับว่าเธอช่วยชีวิตบุพการีไว้ ไม่ควรพูดจาไม่ดีด้วย ถ้ามีโอกาสพบกันอีกก็อยากขอโทษ แต่นั่นเอาไว้ทำหลังจากที่ส่งอากงกลับบ้านได้ก็แล้วกัน

“อากงหิวไหมครับ”

ปวีณ์ถามเกริ่นๆ หลังจากพาคนแก่เข้ามานั่งในรถของตัวเองได้สำเร็จ คาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ก็กลับมานั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์เพื่อออกเดินทาง

“แวะกินข้าวที่ไหนก่อนไหม หรือจะกลับไปกินที่เหลาหลงเลย”

“อั๊วไม่กลับ!”

คนแก่ร้องลั่นรถ ทำตาเหลือกแล้วยังเหงื่อตก มองหลานชายอย่างตระหนกจนปวีณ์ก็ตกใจ แค่บอกว่าจะพากลับบ้าน ทำไมอากงต้องเครียดขนาดนั้นด้วย

“อั๊วจะอยู่กับลื้อ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“ที่บ้านโน้นจะเป็นห่วงนะครับ”

“อั๊วบอกทุกคนแล้วว่าจะมาอยู่กับลื้อ ไม่มีใครเป็นห่วงหรอก”

“อากงทำแบบนี้ได้ยังไงครับ!” ปวีณ์ร้องขึ้นมาบ้าง มองคนแก่จนหน้านิ่วคิ้วขมวด จะมองอย่างไรก็เห็นแต่ปัญหาเต็มไปหมด “อากงก็รู้นี่ครับว่าอยู่กับผมไม่ได้”

“ทำไมอั๊วจะอยู่กับหลานตัวเองไม่ได้ หรือลื้อไม่รักอั๊วแล้วถึงไม่อยากให้อั๊วอยู่ด้วย”

“ผมจะพาอากงกลับบ้าน”

“อาเปา…”

เขาเงียบไม่ยอมตอบ เอาแต่มองถนนเบื้องหน้า สั่งตัวเองให้ใจแข็งเข้าไว้ อย่าเผลอไปสบตาคนที่นั่งข้างกัน เพราะการส่งอากงกลับบ้านจะเป็นวิธีจบเรื่องนี้ได้เร็วและดีที่สุด

“ลื้อไม่ต้องไปส่งอั๊วหรอก”

เสียงสะอื้นของคนแก่ทำให้ปวีณ์หันขวับ หัวใจเต็มไปด้วยความบีบคั้นเมื่อต้องมาเห็นบุพการีน้ำตานองหน้า คนที่อุ้มชูมาตั้งแต่แบเบาะ เขาทำให้อากงร้องไห้เสียแล้วหรือ

“ถ้าลื้อไม่ต้องการอั๊วแล้ว อั๊วก็จะไปตามทาง แต่อย่าส่งอั๊วกลับไปที่เหลาหลงเลย อั๊วไม่มีหน้ากลับไปที่นั่นหรอกถ้าไม่มีลื้อกลับไปด้วย”

“ผมจะไม่กลับไปที่เหลาหลงอีก”

“อั๊วก็ไม่ได้บังคับลื้อ”

คนแก่ตอบทั้งน้ำตา มองเขานิ่ง แววตาที่มองมาบอกชัดว่าผิดหวังจนร้าวราน ผิดหวังเพราะหลานชายคนนี้ไม่ยอมทำตามใจ

“แต่ถ้าลื้อไม่อยากกลับไปที่เหลาหลง ก็ช่วยพาอั๊วไปส่งที่สุสานประจำตระกูลของเราได้ไหม”

“อากงจะไปทำไมครับ!”

“ไปอยู่ที่นั่นจนกว่าอั๊วจะตาย แค่ได้เจอลื้อก่อนตาย อั๊วก็ตายตาหลับแล้ว”

“ทำไมถึงไม่อยากกลับบ้านครับ” ความไม่เข้าใจทำให้ปวีณ์เริ่มขัดใจแต่ก็พยายามควบคุมตัวเองให้ดีที่สุด “มีปัญหาอะไรที่นั่นหรือเปล่า บอกผมได้ไหม”

“อั๊วสาบานต่อป้ายวิญญาณคนสกุลเฉินแล้วว่าถ้าพาลื้อกลับไปไม่ได้ อั๊วก็จะไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีก ในเมื่ออั๊วทำไม่ได้ จุดหมายสุดท้ายของอั๊วก็คือสุสาน”

คำตอบเด็ดขาดนั้นทำให้หลานชายถอนหายใจเฮือก เขาอยู่กับอากงมาจนอายุสิบเจ็ด รู้ดีเลยว่าท่านเป็นคนหนักแน่น มุ่งมั่น ค่อนไปทางเอาแต่ใจเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนที่สุดคือพูดคำไหนเป็นคำนั้น

แล้วนี่มาบอกว่าจะไปอยู่ที่สุสานก็คือจะไปสุสาน อยู่จนกว่าจะตาย ไม่มีทางผ่อนปรนให้ตัวเองได้เลย

ต่อให้เขาบังคับเอาตัวกลับไปส่งที่เหลาหลงในคืนนี้ได้สำเร็จ อากงก็จะหาทางหนีออกมาอีกจนได้ จะเป็นลมป่วยไข้อยู่ข้างทางอีกหรือเปล่าก็สุดจะคาดเดา ปวีณ์ไม่อยากให้มีความเสี่ยงแบบนั้นเกิดขึ้นกับบุพการี

เขาทิ้งอากงไม่ลง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel