คุณตาหลง 5/5
บทที่ 2 คุณตาหลง
ปวีณ์ร้องลั่นในจังหวะที่เธอก้าวขาจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ยังไม่ได้ฉะกับเขาสักคำ คุณตาหลงก็เข่าอ่อนล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา หญิงสาวก็ใจหายวูบเหมือนกัน จากตอนแรกจะเข้าไปต่อว่า กลายเป็นต้องเข้าไปช่วยเขาประคองคนแก่ไว้ เหมือนท่านจะร้องไห้จนหมดแรงเป็นลมล้มพับไปแล้ว
“ชีพจรอ่อน”
ปวีณ์ทำให้อึ้งได้อีกรอบเพราะเขาจับไปที่ข้อมือของคนที่เป็นลมหมดสติแล้วพึมพำออกมา เป็นนักแสดงนะไม่ใช่หมอ จะมาวิเคราะห์อาการอะไรของเขา
“คุณประคองอากงไว้นะ ผมจะไปเอารถออก”
“ค่ะๆ”
เมรารับคำไปก่อน ตอนนี้เธอจับต้นชนปลายไม่ถูก จะด่าปวีณ์ก็ด่าไม่เต็มปาก รู้อย่างเดียวคือเมื่อครู่เขาก็รับรู้ว่าเธอยืนอยู่ด้วยแต่ทำเป็นไม่สนใจ เอาแต่จะไล่ผู้เป็นปู่ให้กลับบ้าน แต่พอคนแก่เป็นลมก็ร้องเรียกให้ช่วยขึ้นมา
แต่อย่างน้อยปวีณ์ก็ช่วยแล้วกัน เมราคิดถึงตรงนี้จึงไม่ต่อปากต่อคำกับเขา เฝ้ารอให้ชายหนุ่มขับแลนด์โรเวอร์สีกรมท่าคันใหญ่เข้ามาหา แล้วกุลีกุจอมาช่วยเธอประคองคนแก่เข้าไปนั่งในรถ เมรายิ่งรู้สึกว่าหัวใจร่วงลงไปถึงตาตุ่ม เฝ้าภาวนาขอว่าอย่าให้คุณตาหลงมาเป็นอะไรทั้งเธอกอดอยู่อย่างนี้เลย
มาถึงโรงพยาบาล ความกังวลในหัวใจของเมราก็ยังไม่คลายลง ได้แต่มองจนสุดสายตาเมื่อทีมพยาบาลพาคนแก่เข้าไปในห้องฉุกเฉิน แม้เธอจะไม่ใช่ญาติแต่ก็เป็นห่วงอยู่ดี ถึงต้องมานั่งชะเง้อคอมองอยู่ไม่หยุด หวังว่าคุณตาหลงจะปลอดภัย
เขาเองก็เครียด…
เมื่อมองไปยังคนที่นั่งข้างกันเพราะต้องรอผลอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน เมราเห็นว่านักแสดงหนุ่มนั่งก้มหน้าอย่างบึ้งตึง แต่ไม่ลืมคว้าหมวกแก๊ปสีดำล้วนในรถขึ้นมาสวม เขาคงพรางตัวจนชินไปแล้วกระมัง
นักแสดงหนุ่มยังนั่งเงียบจนเธอไม่กล้าถาม ปวีณ์ประสานมือแน่นแล้วเม้มริมฝีปากอยู่ ผู้คนรอบกายมองมาที่เขา แต่คงเกรงใจเกินกว่าจะเข้ามาทัก เมราเองก็เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดกับหลานชายคุณตาหลงอย่างไร ก็เธอนั่นแหละที่พาปู่ของเขามาส่งให้เองกับมือ
เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เมราก็ปล่อยให้ภาษากายทำงาน วางมือบนบ่าตั้งของชายหนุ่มอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเหม็นขี้หน้าปวีณ์แค่ไหน เธอก็เต็มใจจะปลอบเขาอยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ถึงมือหมอแล้ว”
เมราปลอบไปแล้วพยายามยิ้มให้ทั้งที่ตัวเองก็ใจไม่ดี วางมือลงบนบ่าของเขาอย่างแผ่วเบา ก็ทำให้ปวีณ์เงยหน้าขึ้นมอง สบตากันครั้งนี้ เธอรู้สึกทันทีว่าเขาไม่เหมือนคนที่ไล่ตะเพิดกันเหมือนตอนบ่ายเลย
เขาจ้องนาน จ้องและจ้องจนหญิงสาวเริ่มประหม่า นัยน์ตาเขาดำสนิทเหมือนมณีนิลเม็ดใหญ่พราวแสงเดือน ส่องประกายวับวาวจนเมรารู้สึกเลยว่าปวีณ์กำลังใช้สายตาทะลวงลึกเข้าไปถึงหัวใจเธอ
“เอ่อ… ขอโทษค่ะ”
พอโดนจ้องมากเข้าเมราก็ชักทำตัวไม่ถูก มือที่เคยวางบนบ่าของชายหนุ่มก็ยกคืน ไม่แน่ใจว่าเขาไม่ชอบให้ใครโดนตัวหรือเปล่า เธอชักเลิ่กลั่กขึ้นมาจนต้องเมินหนีไปมองทางอื่น การสบตาปวีณ์กลายเป็นสิ่งที่ยากเกินไป หัวใจมันเต้นตุบๆ ขึ้นมา
บางทีอาจจะเป็นอาการแพ้คนหล่อก็ได้ นี่ เปา ปวีณ์ พระเอกแถวหน้าของวงการบันเทิงไทย ไม่หล่อจริงจะขึ้นมายืนจุดนี้ได้อย่างไร แล้วให้มาจ้องตากับคนหล่ออย่างนี้ จะไม่ให้เขินก็พระอิฐพระปูนแล้ว
“คุณปู่ของผมมากับคุณได้ยังไง”
“เจอท่านเป็นลมอยู่ข้างทางเข้าสำนักงานค่ะ”
เมรารวบรวมสติขึ้นมาตอบก่อนที่ความขัดเขินจะทำให้เธอเปิดเปิงเพราะต้องอยู่ใกล้นักแสดงหนุ่มขวัญใจมหาชน
“ท่านบอกว่าจะไปหาคุณให้ได้ ฉันกลัวจะเป็นลมอีก ก็เลยพาขึ้นรถไปส่งที่ร้านของคุณ”
“บังเอิญจนเหลือเชื่อ”
“คุณหมายความว่ายังไง!”
จากที่ตอนแรกเขินๆ อยู่กับเปลือกนอกของผู้ชายคนนี้ เมราก็ฉุนกึก รู้สึกว่านายนี่คงมีดีแค่หน้าตาเสียแล้วกระมัง
“จะหาว่าฉันกุเรื่องมาหลอกคุณเหรอ จะทำไปเพื่ออะไรล่ะ”
“แล้วที่คุณถามเมื่อตอนบ่าย ไม่อยากรู้แล้วเหรอ ถึงต้องไปลากตัวอากงของผมออกมาจากเหลาหลง เป็นสื่อภาษาอะไร มีจรรยาบรรณบ้างไหมถึงต้องใช้คนแก่เป็นเครื่องต่อรองเพื่อสัมภาษณ์ผม”
“ฉันไม่ได้ทำนะ!”
เมราเสียงดังจนลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน จากที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะอยากปลอบก็แทบจะเต้นผางเป็นเจ้าเข้า ขยับหนีไปไกลด้วยความรังเกียจความคิดโสมมของผู้ชายคนนี้
“ฉันพบคุณปู่ของคุณที่ข้างทาง และเพราะท่านบอกว่าจะออกตามหาคุณต่างหากฉันถึงต้องพามาส่ง ก็เพราะกลัวจะเป็นลมอย่างที่เป็นอยู่นี่ไง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็หมดธุระแล้ว” หลานชายคุณตาหลงตอบเสียงเย็น “คุณกลับเถอะ ผมจะรออากงเอง ก็คงแค่เป็นลมนั่นแหละ”
“แต่ฉันเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นี่มันก็ค่ำแล้ว คุณกลับไปเถอะ”
“ยังไงฉันก็ต้องกลับไปเอารถที่ร้านของคุณอยู่ดี ขออยู่ดูอาการคุณตาหลงก่อนไม่ได้เหรอ”
“นี่ค่าแท็กซี่” ปวีณ์ทำเธออึ้งเข้าไปใหญ่ด้วยการควักแบงก์พันสามใบในกระเป๋าให้ “กลับไปได้แล้ว ผมจะส่งอากงกลับบ้านเอง”
เมรารู้สึกเลยว่าเส้นเลือดข้างสมองมีของเหลวร้อนฉ่าพุ่งปรี๊ดขึ้นมา อ้าปากพะงาบๆ นึกจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เรียบเรียงออกมาไม่ได้ ใจเธออยากด่านักว่าปู่ดั้นด้นตากแดดตากลมมาหาจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ข้างทาง แต่หลานชายยังผลักไสได้ลงคอ แล้วนี่หรือคือวิธีตอบแทนน้ำใจให้คนที่ช่วยพาบุพการีมาส่ง
สามพันนี่มันค่าแท็กซี่ที่ไหนล่ะ ค่าจ้างให้เธอกลับ ออกไปให้พ้นๆ ชีวิตเขาต่างหาก!
“ปกติเอาเงินฟาดหัวคนอื่นเป็นประจำหรือเปล่า”
“ว่าอะไรนะ!” เจ้าของเงินสามพันมองเธอเหมือนไม่เชื่อสายตา “ผมให้เป็นสินน้ำใจ คุณมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า”
“คุณคงใช้เงินซื้อทุกอย่างจนชิน”
“ถ้าวิธีของผมมันทำให้คุณไม่พอใจ ผมขอโทษแล้วกัน” ปวีณ์ขบฟันตอบเธอเหมือนอดทนกับอะไรบางอย่างอยู่ “ยังไงก็ขอบคุณนะที่ช่วยพาอากงมาส่ง หมดธุระของคุณแล้ว กลับเถอะ”
“คุณ”
เมราเรียกเขาอย่างเหลืออดแล้วจ้องหน้าไปตรงๆ
“ฉันขออยู่ดูคุณตาหลงก่อน อยากรู้ว่าท่านปลอดภัยหรือยัง ไม่รบกวนคุณหรอก”
“เมรา ผมบอกให้คุณกลับ”
“แล้วถ้าคุณตาหลงตื่นขึ้นมา คุณก็จะไล่ท่านด้วยหรือเปล่า แต่รู้ไว้เลยนะว่าท่านตั้งใจออกมาตามหาคุณก็เพราะหวังจะพบคุณสักครั้งก่อนตาย”
“พอได้แล้ว!”
ปวีณ์ตะคอกดังจนเธอเองก็ตกใจ จากที่เคยแหวใส่เขาอยู่เป็นอันต้องหยุดลงเพราะชายหนุ่มช่างหน้าตึงได้น่ากลัวเหลือเกิน
“ถ้าคุณไม่รู้อะไรก็หยุดพูด กลับไปได้แล้ว”
เมรารู้แล้วว่าอย่าพูดกับเขาอีกแม้แต่คำเดียว แต่ยังจ้องปวีณ์จนตาเหลือก จ้องครั้งสุดท้าย จ้องอย่างเต็มไปด้วยความเจ็บใจและผิดหวัง มองให้เต็มตาว่าผู้ชายคนนี้ใจดำแค่ไหน ก่อนจะเดินออกมาด้วยความขัดใจ ยอมทิ้งคุณตาหลงไว้เบื้องหลังเพราะโมโหหลานชายท่านเกินกว่าจะพูดคำไหนอีกแล้ว
หญิงสาวก้าวฉับๆ ไปหาพยาบาลที่หน้าวอร์ด ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้เผื่อว่าคุณตาหลงจะถูกทิ้งไว้ที่นี่แล้วให้คนแก่ติดต่อเธอได้ เมราพร้อมจะช่วยเหลือทุกที่ทุกเวลา แต่จะไม่พาไปพบหลานชายของท่านอีกแน่ แล้วบอกตัวเองจำให้ขึ้นใจเลยว่าปวีณ์มีดีแค่หน้าตา
เป็นพระเอกได้แค่ในละคร!
