4: ร่วมงานแต่งพี่ใหญ่
4
ร่วมงานแต่งพี่ใหญ่
สองสัปดาห์ต่อมา
ในที่สุดวันแต่งงานของหานหมิงเทียนก็มาถึง หานหมิงซานนั่งมองพี่ชายของตนในอาภรณ์แต่งงานสีแดงที่กำลังยืนรอเจ้าสาวของตนเดินลงมาจากเกี้ยวด้วยความประทับใจ
พี่ข้าช่างหล่อเหลานัก ถ้ามิติดว่าเป็นคนเย็นชา คงมีเหล่าสตรีมารุมตอมไม่แพ้ข้าเลย
และพวกเราสองพี่น้องก็จะได้เป็นคู่หูดูโอ้สุดฮอตประจำเมือง!!
ส่วนเจ้าสาว…ก็ขอให้สวยสมคำร่ำลือเถอะ แต่อย่าได้อ่อนแอเหมือนที่เขาเล่าสู่กันฟังเลย!
“นี่ก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว ขอเชิญจีลู่ฟาง เจ้าสาวคนสวยลงจากเกี้ยวแล้วเดินตรงมาหาหานหมิงเทียน เจ้าบ่าวของเราได้เลยเจ้าค่ะ!” สิ้นเสียงประกาศของพิธีกรสาวนามเสี่ยวหลิน หานหมิงซานก็เคลื่อนสายตาไปยังประตูเกี้ยวที่ค่อยๆ เปิดออก พร้อมกับร่างบอบบางในอาภรณ์มงคลสีแดงของเจ้าสาวซึ่งกำลังก้าวเท้าออกมา
ตุบ!
สตรีนามจีลู่ฟางล้มก้นจ้ำเบ้าทันทีที่เท้าแตะพื้นท่ามกลางความตกใจของทุกคน โดยเฉพาะจีซ่งเหียนกับจีฮูหยิน แต่เพราะอยู่ในระหว่างช่วงทำพิธีและมีต้าเทียนฮ่องเต้นั่งเป็นประธานงานแต่งอยู่ข้างๆ ทำให้พวกเขาไม่กล้าลุกจากเก้าอี้ไปช่วยบุตรสาว
ตายจริง…จะรอดไหมเนี่ย? น้องชายของผู้เป็นเจ้าบ่าวคิดในใจ
ฝ่ายหานหมิงเทียนที่ยืนรอเจ้าสาวเดินไปหาก็ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย อย่างไรตอนนี้เขาก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จึงไม่รู้จะตกใจไปทำไม
ส่วนโอรสสวรรค์นั้นกำลังพยายามกลั้นขำสุดฤทธิ์ไม่ให้หลุดหัวเราะสตรีตรงหน้า ซึ่งผู้ที่เห็นคงมีแต่มี่เยี่ยนกระมัง!
และสภาพของเจ้าสาวก็ทำให้หานหมิงซานแทบอยากจะปรี่ไปยืนแทนที่พิธีกรสาวแล้วประกาศยกเลิกงานแต่งให้รู้แล้วรู้รอด! แต่ก็แอบกลัวพระอาญาอยู่นะ งานนี้ฮ่องเต้มาเองทั้งที…
“ตายจริง… เจ้าสาวของเราเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” เสี่ยวหลินถามอย่างเป็นห่วง พลางรีบเดินเข้าไปพยุงร่างบางในอาภรณ์แต่งงานสีแดงยาวลากพื้นปักลายดอกหมู่ตาน ขึ้นมา
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ…” จีลู่ฟางที่ได้แต่ระงับความขุ่นมัวกัดฟันตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ?” เสี่ยวหลินถามต่อ เมื่อเห็นร่างบางส่ายหน้า พิธีกรสาวจึงดำเนินงานต่อทันที
“พอดีเกิดเรื่องไม่คาดฝันนิดนึงเจ้าค่ะทุกท่าน เจ้าสาวของเราบังเอิญสะดุดล้มแต่ด้วยอานุภาพแห่งความรักและด้ายแดงที่เชื่อมระหว่างทั้งสองคนก็ทำให้เจ้าสาวของเราไม่เป็นอะไร สามารถลุกขึ้นมาได้…เช่นนั้นอย่าเสียเวลาเลยเจ้าค่ะ ทำพิธีต่อกันเถอะ!!”
คำพูดของพิธีกรสาวทำให้หานหมิงซานหลุดขำออกมาแต่ยกมือปิดปากไว้ได้ทันพลางมองไปทางพี่ใหญ่ทีัยังคงมีสีหน้าเฉยชา
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเจ้า ที่ได้แต่งงานกับพี่ใหญ่...
“คุณหนูจีลู่ฟาง เจ้าบ่าวของคุณหนูยืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว เดินไปหาเขาเลยเจ้าค่ะ!!! จะได้ไปกราบไหว้ฟ้าดินกัน!” เสี่ยวหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าราวกับตัวเองเป็นคนที่จะได้แต่งงานเสียอย่างนั้น ทำให้หานหมิงซานนึกชื่นชมในตัวนางไม่น้อยที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าได้ และพูดจาแก้ไขไม่ให้งานล่ม
ไว้หลังจบงานของพี่ใหญ่ต้องหาทางเข้าไปทำความรู้จักเสียแล้ว!
ขณะที่สองเท้าของผู้เป็นเจ้าสาวค่อยๆ ก้าวตรงไปข้างหน้าตามที่เสี่ยวหลินกล่าว ก็มีเสียงดนตรีจากพิณห้าสายกับขลุ่ยไม้ไผ่ที่ค่อยๆ บรรเลงขึ้นมา เป็นทำนองว่า
ดึ้ง ดึง ดึ่ง ดึ้ง ดึง ดึง ดึ่ง ดึ่ง ดึ่ง ดึง ดึ้ง ดึง ดึ้ง ดึง~~
เฮ้ยนี่มันเพลงอะไร? ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน…
หานหมิงซานสบถในใจอย่างตกใจ ทำนองแปลกประหลาดเช่นนี้จะเป็นการจัดการของผู้ใดไปได้…นอกเสียจากต้าเทียนฮ่องเต้!
บอกว่าให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขาจัดเตรียมสถานที่ แต่สุดท้ายก็มามีส่วนร่วมในการวางแผนทุกอย่างเลย งงจริงไรจริง นี่ยังดีที่พระองค์รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้
กระทั่งตอนที่คู่บ่าวสาวพากันเดินไปยังแท่นพิธีแล้วโค้งตัวคำนับ หานหมิงซานจึงค่อยแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
โอเค นึกว่าจะไม่มีอะไรที่เป็นปกติเสียแล้ว
“บ่าวสาวคำนับฟ้าดิน…”
“บ่าวสาวคำนับบิดามารดา…”
“บ่าวสาวคำนับกันและกัน”
ทว่าหลังจีลู่ฟางกับหานหมิงเทียนคำนับกันและกันเสร็จ หานหมิงซานก็ต้องกลับมาตกใจอีกรอบเมื่อได้ยินเสี่ยวหลินเอ่ยว่า
“ต่อไป…เราจะเข้าสู่พิธีรดน้ำสังข์กันนะเจ้าคะ ขอเชิญคุณชายหานพาคุณหนูจีไปนั่งตรงนั้นเลยเจ้าค่ะ”
น้ำสังข์? อะไรคือน้ำสังข์?
หานหมิงซานผู้ที่ไม่ได้อ่านกำหนดการคิดในใจ พลางมองคนอื่นๆ ที่ลุกขึ้นเดินไปต่อแถวแล้วทำตาม
งานแต่งของหานหมิงเทียนกับคุณหนูจีลู่ฟาง โดยภาพรวมก็จัดเหมือนงานแต่งงานของคุณหนูคุณชายบ้านอื่น เพียงแต่สิ่งที่พิเศษหน่อยคือต้าเทียนฮ่องเต้ได้เพิ่มพิธีรดน้ำสังข์ขึ้นมา โดยหลังเสร็จสิ้นพิธีคำนับฟ้าดินก็ให้สองบ่าวสาวมานั่งคู่กันบนเก้าอี้สองตัว จากนั้นให้บุรุษจับมือสตรีขึ้นมาวางไว้บนอ่าง เพื่อให้บรรดาแขกเหรื่อพากันใช้หอยสังข์ ซึ่งมีคนวางเตรียมไว้ให้ตักน้ำจากกะละมังสีทองขึ้นมาแล้วราดลงไปบนมือของทั้งสองคนพร้อมกับกล่าวคำอวยพรไปด้วย
ซึ่งเป็นพิธีประหลาดที่ไม่เคยมีที่ใดมาก่อนในดินแดนนี้!
“โชคดีนะทั้งสองคน รักกันนานๆ จนหัวหงอกเลยนะ มีลูกมากๆ มีหลานเต็มเมือง มีเงินทองไหลมาเทมา สุขภาพกายแข็งแรง ใจเข้มแข็ง” ต้าเทียนฮ่องเต้ผู้เป็นพ่องานและคนประเดิมในการรดน้ำสังข์กล่าวกับเจ้าบ่าวหน้าตายในอาภรณ์แต่งงานสีแดงและเจ้าสาวที่ตอนนี้ยืนตัวสั่นโงนเงนเป็นเจ้าเข้าราวกับพร้อมจะล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ ตามด้วยท่านพ่อ แม่รอง แม่สาม ครอบครัวของเจ้าสาว ซึ่งหานหมิงซานก็ไม่ได้สนใจฟังหรอกว่าพูดอะไรกัน…
กระทั่งมาถึงก่อนหน้าเขาคือร่างเล็กๆ สองร่างของหลานตัวแสบ ‘เซี่ยเจียจื้อ’ กับ ‘เซี่ยเจียเจี๋ย’ ที่กำลังเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วกับผู้เป็นลุงของพวกตน โดยมีบิดามารดาของทั้งคู่ยืนอยู่ข้างหลัง
“ดีใจกับท่านลุงใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ / ขอรับ” ซึ่งหานหมิงเทียนก็พยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้หลานทั้งสองคนที่พยายามจะวิ่งเข้ามาหาเขากับผู้เป็นเจ้าสาวแต่ถูกหานอิงมี่กับเซี่ยเฟยหงรั้งตัวไว้
เห็นทีในครอบครัวจะมีแค่เจ้าสองแสบกระมังที่ทำให้ท่านพี่ยิ้มได้เช่นนี้…แต่ก็ดีกว่าไม่ยิ้มเลยล่ะนะ…
“จื้อเอ๋อร์ เจี๋ยเอ๋อร์ ไม่ได้ลูก ตอนนี้ยังเป็นช่วงทำพิธีอยู่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยปราม
“เจี๋ยเจี๋ยอยากเห็นหน้าป้าสะใภ้เจ้าค่ะก็เลยอยากให้พี่จื้อเปิดให้” เซี่ยเจียเจี๋ยเอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา ส่วนเซี่ยเจียจื้อก็พยักหน้ารับ เล่นเอาหานหมิงซานรู้สึกขบขันกับความคิดของทั้งคู่
ดูไกลๆ ก็น่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่ถ้ามีเองคงความวุ่นวายไม่น้อย เช่นนั้นข้าไม่มีดีกว่า
“เดี๋ยวหลังงานแต่งได้เห็นแน่นอนจ้ะ แต่ตอนนี้ยังให้เห็นไม่ได้เพราะเราต้องให้ท่านลุงเป็นคนแรกที่เห็น” ผู้เป็นมารดากล่าวสำทับ
“งั้นเจี๋ยเจี๋ยกับพี่จื้อขอเห็นพร้อมกับท่านลุงได้ไหมเจ้าคะ?” พูดจบ ดรุณีน้อยก็หันหน้ามาทางผู้เป็นลุงที่ตอนนี้มีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าเพราะเอ็นดูในตัวหลานทั้งสอง ทำให้หานอิงมี่กับเซี่ยเฟยหงเกือบจะหลุดขำออกมา ก่อนที่ร่างบางจะรีบเดินมารดน้ำสังข์ให้พี่ชายคนโตโดยให้สามีของตนพาฝาแฝดจอมแสบออกไปก่อน เพราะยังมีอีกหลายคนที่ต่อแถวรออวยพรอยู่
“ดีใจด้วยนะเจ้าคะพี่ใหญ่ แล้วก็พี่สะใภ้ ขอให้มีความสุขมากๆ นะเจ้าคะ”
“อืม…ขอบใจ” หานหมิงเทียนที่ตอนนี้หุบยิ้มแล้วกล่าวเสียงเรียบ
ใจคอจะยิ้มให้น้องสาวของตัวเองกับน้องเขยไม่ได้รึอย่างไร?
จะว่าไป…ถึงตาข้าแล้วนี่หว่า…
ข้าจะอวยพรอะไรดี…
หานหมิงซานคิดในใจพลางปรายตามองหอยขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดและมีสีขาวเหลือบทอง ซึ่งถูกเรียกว่าหอยสังข์และวางอยู่ในอ่างดินเผาลายวิจิตรที่มีน้ำอยู่ในนั้นด้วยความพิศวง ก่อนจะใช้มันตักน้ำขึ้นมาแล้วรดใส่มือของพี่ชายกับพี่สะใภ้
“รักกันนานๆ นะขอรับพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ มีความสุขกันมากๆ ร่ำรวยเฮงๆ มีเงินเป็นหมื่นแสนล้าน ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
จากนั้นก็วางหอยสังข์คืนที่เดิมแล้วกลับมานั่งรอจนพิธีรดน้ำสังข์จบลง เจ้าสาวก็ถูกส่งตัวไปรอในห้องหอ ส่วนหานหมิงเทียนนั้นได้มานั่งร่วมโต๊ะกินมื้อเย็นกับครอบครัวของตน…แน่นอนว่าผู้ที่เขียนกิจกรรมนี้ขึ้นมาจะเป็นใครไปได้อีก
นอกเสียจาก…ต้าเทียนฮ่องเต้ที่ตอนนี้เสด็จกลับวังไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
