2:หานหมิงซานผู้รู้แจ้งสัจธรรมโลก
2
หานหมิงซานผู้รู้แจ้งสัจธรรมโลก
หลังจากใช้เวลาไม่นานนัก หานหมิงซานก็พาเซี่ยเฟยหงเดินลัดตรอกซอกซอยมาจนถึงหน้าร้านที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ร้านเหล้าเถ้าแก่เนี้ย’ ซึ่งเป็นร้านขนาดเล็กที่แม้จะเป็นร้านเปิดใหม่ แต่ก็มีผู้คนมากมายกำลังนั่งร่ำสุราอยู่ข้างใน
“นี่ถ้ามาช้ากว่านี้คงไม่มีที่นั่งแล้ว” ร่างสูงโปร่งหันไปเอ่ยกับน้องเขย ก่อนจะมีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนอุดมสมบูรณ์และดูเป็นคนร่าเริงเดินเข้ามาหาทั้งคู่ พลางกล่าวด้วยความนอบน้อม
“เชิญคุณชายทั้งสองเลือกที่นั่งได้เลยขอรับ ข้าคือเถ้าแก่เนี้ย ยินดีให้บริการพวกท่าน” ซึ่งเซี่ยเฟยหงกับหานหมิงเทียนก็ผงกศีรษะรับเบาๆ พลางคิดในใจว่าให้เลือกอะไร ก็เห็นเหลืออยู่ที่เดียว…
พลันเซี่ยเฟยหงก็เหลือบไปเห็นคนรู้จักกำลังนั่งดื่มพอดีจึงร้องทัก ในขณะที่หานหมิงซานเดินไปนั่งยังโต๊ะสำหรับสี่คน เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
“อาเป่า! พี่กว้าน!”
“อ้าวท่านแม่ทัพ! คุณชายรองหาน!” อังชุนเป่าที่ในมือถือจอกสุราเอ่ยทัก แม้จะอยู่นอกสนามรบเขาก็ยังคงชินปากกับการเรียกเซี่ยเฟยหงว่าท่านแม่ทัพ ส่วนหานหมิงซานไม่ได้มีตำแหน่งอะไร ก็เรียกคุณชายแหละถูกแล้ว ซึ่งตอนนี้ทั่วทั้งเมืองจินหลิงไม่มีใครที่ไม่รู้จักหานหมิงซาน เพราะวีรกรรมของเหล่าพี่น้อง รวมถึงผู้เป็นบิดาทำให้ตัวเขาพลอยมีหน้ามีตาในสังคมไปด้วย
“คารวะทั้งสองคนขอรับ” หลอกว้านที่นั่งข้างอังชุนเป่าพูดพลางลุกขึ้นมาประสานมืออย่างนอบน้อม เพราะเป็นอาจารย์จึงค่อนข้างยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นทางการ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกพี่กว้าน ตามสบายเลย อีกอย่างเป็นเฟยหงต่างหากที่ต้องคารวะท่าน” เซี่ยเฟยหงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไฮ้…ข้าจะกล้ารับการคารวะจากแม่ทัพเช่นท่านได้อย่างไร” หลอกว้านกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“มานั่งดื่มด้วยกันเถอะ ดื่มกันหลายๆ คนสนุกดี” หานหมิงซานเอ่ยชวน
“เอาสิขอรับ” ทั้งคู่เอ่ยพร้อมกับช่วยกันยกไหสุราแล้วย้ายไปนั่งร่วมกับผู้มาใหม่ทั้งสอง
“ไหนๆ ท่านพี่ก็มีเพื่อนนั่งดื่มแล้ว เช่นนั้นข้าไปก่อนนะขอรับ พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีคนตั้งสำรับรออยู่” เซี่ยเฟยหงได้ทีจึงรีบชิ่งทันที เพราะวันนี้มี่เอ๋อร์เป็นคนลงครัวทำอาหารเย็น ขืนเขากลับไปช้าต้องโดนนางบ่นจนหูชาแน่และที่เอ่ยออกไปก็ไม่ได้ตั้งใจจะอวดอันใดเลยจริงจริ๊ง จากนั้นก็หันไปหาอังชุนเป่ากับหลอกว้าน
“ไปก่อนนะอาเป่า ไปก่อนนะขอรับพี่กว้าน ไว้พบกันใหม่” ก่อนจะรีบเทสุราจากไหใส่จอกตรงหน้า ยกจอกขึ้นดื่มจนหมด แล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านทันที โดยมีหานหมิงซานแค่นเสียงใส่พร้อมกับกล่าวไล่หลัง
“เฮอะ! ใช่สิพี่ชายเช่นข้าไม่สำคัญเท่าเมียเจ้านี่!”
เห็นแก่ที่สาเหตุมาจากน้องสาวข้า รอบนี้จะยอมให้อภัยละกัน!
“ไม่เป็นไรนะขอรับคุณชายรอง ท่านยังมีพวกข้าอยู่” อังชุนเป่าเอ่ยปลอบใจ ส่วนหลอกว้านก็พยักหน้ารับ
“ขอบใจมากคุณชายอัง คุณชายหลอ”
“เรียกพวกข้าแบบเป็นกันเองเช่นที่ท่านแม่ทัพเรียกก็ได้ขอรับ”
“ดีๆ อากว้าน อาเป่า พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่หมิงซานก็ได้เช่นกัน”
“ขอรับพี่หมิงซาน” อังชุนเป่าผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวเอ่ยด้วยความดีใจ ส่วนหลอกว้านก็มีท่าทีอ้ำๆ อึ้งๆ สักพักก่อนกล่าวว่า
“ขออนุญาตเสียมารยาทถามนะขอรับ ปีนี้คุณชายรองหานอายุเท่าใดหรือ?”
“โฮ่…ปีนี้ข้า 28 หนาวแล้ว” หานหมิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้นดื่ม
“ข้า 33 หนาวขอรับ…” คำพูดของหลอกว้านทำให้เขาแทบสำลักแต่ยังครองสติไว้ได้จึงยิ้มแหยๆ หลังจากนั้นทั้งโต๊ะก็เกิดอาการเงียบงันกลางคัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ในที่สุดหานหมิงซานจึงเป็นฝ่ายกล่าวว่า
“เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่กว้าน ส่วนท่านเรียกข้าว่าน้องซานละกันขอรับ”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ มาๆ พวกเรามาร่ำสุรากันต่อเถิด” หลอกว้านเอ่ยพลางยกไหสุราขึ้นมาแล้วรินใส่จอกคนอื่นๆ
“จอกแรกสำหรับมิตรภาพของพวกเรา”
“ชน!”
“ชน!”
แกร๊ง! สิ้นเสียงจอกสุราที่กระทบกัน ทุกคนก็กระดกจอกขึ้นแล้วปล่อยให้ของเหลวสีอำพันใสไหลลงคอ
“อ่า…สุราดีๆ” หลอกว้านกล่าวชม
“ดีจริงไรจริงขอรับ” อังชุนเป่าเอ่ยเสริม หานหมิงซานพยักหน้ารับแล้วพากันซัดไปอีกคนละหลายจอก
“หมดไหเสียแล้ว…” หานหมิงซานบ่น ก่อนจะเรียกเถ้าแก่ให้เอาสุรามาเพิ่ม
“สุราดอกเหมยชั้นดีสองไหได้แล้วขอรับ แถมกับแกล้มด้วย” ไม่นานนัก เถ้าแก่แซ่เนี้ยก็นำสุรามาวางให้บนโต๊ะ พร้อมกับถั่วลิสงคั่วเกลือและเนื้อหมูต้มราดด้วยน้ำจิ้มรสเปรี้ยวเผ็ด
“ขอบคุณมากเถ้าแก่” ทั้งสามชายกล่าว จากนั้นก็หันกลับมาร่ำสุรากันต่อ สักพักหลอกว้านที่หน้าแดงก่ำก็เปรยขึ้นมาว่า
“เขาว่ากันว่าพวกไม่รู้จักความสุขจากการดื่มสุราก็คือพวกไม่มีศิลปะในจิตใจ”
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว พี่กว้านกล่าวได้ตรงใจข้ายิ่ง” หานหมิงซานที่หน้าเริ่มขึ้นสีหัวเราะเสียงดังพลางนึกถึงหานหมิงเทียน พี่ชายของตน
“ฮ่าๆๆๆ คนอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีศิลปะอะไรสักอย่าง”
“ก็ไม่แน่นะขอรับ บางทีคนที่ไม่ดื่มสุราอาจจะมีศิลปะในด้านอื่นก็ได้” อังชุนเป่าออกความเห็นโดยไม่รู้ตัวว่าเผลอวิจารณ์พนักงานที่ได้เงินเดือนเยอะที่สุดในวังหลวงเสียแล้ว
“คงจะใช่ ศิลปะในการเป็น…หนอนตำรา…”
“ฮ่าๆๆๆ หนอนตำราก็ดีนะ” หลอกว้านที่เมาไม่แพ้กันเอ่ยพลางปรบมือแล้วหัวเราะชอบใจ หานหมิงซานได้ทีเลยเอาใหญ่
“แถมยัง…งกด้วย ขยันเก็บเงินชิบหายวายวอด”
“ดีจัง ไม่เหมือนพวกเราที่เอามาใช้กับเรื่องแบบนี้” อังชุนเป่ากล่าว หลอกว้านพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ส่วนหานหมิงซานก็พูดต่อพร้อมกับยิ้มบางๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเริ่มอ้อแอ้แต่ยังพอฟังได้ความ
“แต่ข้าน่ะไม่สนหรอกนะ มีเท่าไรข้าก็ใช้ไปจนเกือบหมดน่านแหละ ขอแค่ม่ายเดือดร้อนที่บ้านก็พอ”
“ข้าก็เช่นกานขอรับ”
“ใจตรงกานน อ้าว~~ โชน~~” ผู้ที่อาวุโสที่สุดเอ่ยพลางชนจอกกับทุกคนแล้วกระดกของเหลวรสชาติขมปร่าลงไปในลำคอ ฝ่ายหานหมิงซานก็เปรยต่อ
“ก็นะ…อาเป่า พี่กว้าน ชีวิตคนเรามันจะไปไกลได้สักเท่าไรเชียว? สมมติว่าข้าร่ำรวยมีเงินเป็นล้านล้านชั่ง แต่ถ้าอยู่ๆ ข้าเกิดตายขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้ใช้เงินสักอีแปะเลยเล่า? เช่นนี้ข้าจาสะสมเงินมากมายปายเพื่ออะราย”
“นั่นสิ…” อีกสองคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“ข้าก็เลยคิดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ อะรายที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปดีกว่า…แค่ม่ายไปทำให้ครายเดือดร้อนก็พอ กิน เที่ยว ทำงาน อยู่กับครอบครัวที่มี…อยู่แบบเน้ไปวันๆ คิดว่าไม่หาคนรักหรอก เพราะข้าเอาใจผู้ใดม่ายเป็น”
“ไม่กลัวอ้างว้างหรือขอรับ?” อังชุนเป่าถามด้วยความสงสัย หานหมิงซานส่ายหน้า
“คนคุยแก้เหงาเยอะจาตาย หาม่ายด้ายยังมีหอนางโลม”
“แต่สำหรับข้า…ลึกๆ ในใจเองก็อยากมีคนรัก จะได้รู้ว่ามันดีอย่างไร” อังชุนเป่า หนึ่งเดียวที่ยังครองสติไว้ได้เต็มร้อยเอ่ย
“ข้าเองก็อยากเริ่มต้นกับคนใหม่เช่นกัน หลังจากคนเก่าทิ้งข้าไปเอากับบุรุษที่แก่กว่า” หลอกว้านที่เริ่มไม่สนใจระดับภาษากล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม
“เป้าหมายของพวกเราไม่เหมือนกัน หากทำสิ่งใดแล้วมีความสุขพวกท่านก็ทำเถิด พวกเรายางเป็นเพียงปุถุโชน ม่ายช่ายพระโพธิสัตว์เทวดาอวตารที่จาต้องถือศีลบำเพ็ญเพียร ข้ายอมรับว่าตอนนี้ข้ายางปล่อยวางจากความสุขบนโลกนี้ม่ายด้าย” หานหมิงซานเอ่ยในขณะที่ตัวเริ่มเอียงไปเอียงมา
“โอ…แท้จริงแล้วพี่หมิงซานก็เป็นคนที่รู้แจ้งในสัจธรรมของโลกผู้หนึ่ง”
“อา…ใช่แล้ว ตระกูลของพวกท่านนี่สุดยอดจริงๆ น้องสาวกล้าแกร่ง พี่ชายคนโตขยันขันแข็ง พี่ชายคนรองเป็นปราชญ์” ผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนเอ่ยชมแล้วยกนิ้วโป้งให้
“ฮ่าๆๆ มิกล้ารับๆ เทียบกับพี่น้องข้านับว่าห่างไกลแล้ว หากยังเทียบกับท่านพ่อเกรงว่าไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น”
“น้องหมิงซานช่างถ่อมตัวยิ่ง”
“ข้าเพียงพูดความจริง ดูอย่างพี่ใหญ่เซ่ เป็นคนได้เงินเดือนเยอะสุด อิงมี่แต่งเป็นฮูหยินของสุดยอดแม่ทัพอย่างอาหง ท่านพ่อเป็นอัจฉริยะที่ช่วยคิดค้นระบบอะรายสักอย่างห้ายวังหลวงน้องเขยมีวีรกรรมออกรบมากมาย อาเป่ากับพี่กว้านก็รับราชการ ส่วนข้าเนี่ยม่ายมีงานทำเป็นหลักแหล่งแบบชาวบ้าน ถ้าท่านพ่อม่ายห้ายข้ามาขายของแทน ข้าคงม่ายมีงานทำเลย~~” หานหมิงซานเปรยออกมาพลางใช้น้ำเปล่าที่เถ้าแก่แซ่เนี้ยเอามาวางคู่ไว้ให้สาดใส่หน้าของตนเพื่อเรียกสติ แล้วเปลี่ยนประเด็นการสนทนา
“ว่าแต่ทุกคนได้วางแผนไว้ไหมว่าเสร็จแล้วจะไปทำอะไรต่อ?”
“ข้าจะกลับเรือนรับรองไปเตรียมเอกสารสำหรับสอนลูกศิษย์วันพรุ่งนี้”
“ข้า…น่าจะกลับจวนไปนอนแหละขอรับ เพราะไม่มีอะไรทำ” อังชุนเป่าตอบตามประสาคนเหงา กลับบ้านไปก็เจอท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ด้วยกัน เห็นแล้วได้แต่อิจฉา
“ข้าจะไปหอเทียนลู่ฮัว มีผู้ใดอยากไปกับข้าบ้าง?” หานหมิงซานเอ่ยชวน แน่นอนว่าอีกฝ่ายรีบตอบรับทันทีด้วยความดีใจ
“ไปขอรับ!!”
“ข้าไปด้วยละกัน เรื่องเตรียมเอกสารไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยรีบทำก็ได้” หลอกว้านกล่าว
“ดี! เช่นนั้นพวกเราก็จะไปร่ำสุราเคล้านารีกันต่อที่นั่น!!”
“ใช่ขอรับ! ไม่เมาไม่กลับ! แต่ถ้าเมาก็ค้างคืนไปเล้ย!” แล้วทั้งสามคนก็วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วกอดคอกันเดินออกไป
อืม…คำพูดก็ฟังไม่ได้ความสิ้นดี แต่จะเอาอะไรกับคนเมาล่ะ!?
“ฮัดชิ้ว!!” พลันหานหมิงซานก็ไอออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“อะไรเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยไอเลย” ร่างสูงโปร่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างสหายต่างวัยทั้งสองพึมพำ ฝ่ายอังชุนเป่าก็หัวเราะร่วนแล้วกล่าวว่า
“ไม่ใช่ว่ามีคนนึกนินทาท่านอยู่หรือขอรับ?”
“เป็นไปได้…ก็คนมันหล่อขนาดนี้ ไม่แปลกที่จะโดนหมั่นไส้ ฮ่าๆๆ” ก่อนจะเอามือตบหน้าเรียกสติตัวเองแล้วเดินต่อ…
